“ขอให้ชั้นจัดการกับพวกนี้ก่อนนะ
แล้วค่อยว่ากัน ..เอาล่ะ!” เกรลหันกลับไปย่อตัวแล้วส่งจูบให้ฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะแสยะยิ้มอวดฟันคมกริบในปาก
“คราวนี้ชั้นจะย้อมพวกเธอให้เป็นสีกุหลาบสวยสดกันถ้วนหน้าเลย เตรียมตัวเตรียมใจไว้นะยะ”
ถ้าหากเป็นเวลาปกติล่ะก็ชิเอล
แฟนธอมไฮฟ์คงจะถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายที่ได้พบกับยมทูตผมแดงที่ชอบทำตัวน่าคลื่นไส้ตนนี้ ทว่าเวลานี้ความรู้สึกยามที่ได้พบหน้าเกรล แซตคลิฟกลับกลายเป็นคนละเรื่องกับที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ถึงแม้เจ้านี่จะไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่.. ทว่าหนุ่มน้อยก็ยังบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกโล่งใจมากแค่ไหนที่อย่างน้อยก็ได้พบคนที่เคยรู้จัก และเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นเต้นดีใจดังมาจากข้างหลังเขาก็หันกลับไปมอง และยิ่งทำให้โล่งใจพร้อมกับประหลาดใจเป็นที่สุดเมื่อได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย
ชิเอลไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบคนเหล่านี้ในโลกอีกฟากหนึ่งหลังจากที่ตนละทิ้งความเป็นมนุษย์แล้ว หนุ่มน้อยจ้องมองด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตากลมโตกวาดมองใบหน้าที่คิดถึงทีละคนๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่ตนเคยรู้จักมาก่อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสองนายบ่าวจากอินเดีย เจ้าชายโซมาและอัคนีผู้ติดตามซึ่งมักจะคอยสร้างปัญหาและความรำคาญใจให้อยู่เสมอ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมิตรที่ดีรวมทั้งมีอุปนิสัยที่ช่างเป็นห่วงเป็นใยและเห็นเขาเป็นน้องชายตัวน้อยอยู่เรื่อยไป ตามหลังด้วยสองสหายชาวจีนที่เคยเป็นทั้งอดีตมิตรและหุ้นส่วนทางธุรกิจ ซึ่งเคยมีบุญคุณความแค้นกันมาและยังไม่ทันได้ชำระความ เหลาและรันเหมาซึ่งควงคู่ตัวติดกันอยู่เหมือนทุกครั้งที่พบกัน ทว่าน่าแปลกที่เวลานี้ทั้งสี่คนกลับอยู่ในสภาพเหมือนเงาเลือนลางเช่นเดียวกับวินเซนต์ แฟนธอมไฮฟ์
..บิดาของเขาซึ่งอยู่ในอาณาจักรของคนตายในขณะนี้
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาย”
โดยที่ลืมไปว่าตนเองกำลังเปลือยโล่งอยู่
ชิเอลเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจก่อนจะต้องพบกับสีหน้าพิลึกกึกกือของแต่ละคนและทำให้นึกเรื่องสำคัญขึ้นได้
โซมาและอัคนียืนตกตะลึงกันทั้งคู่
ต่างคนต่างก็อ้าปากค้างแต่ก็ยังพยายามจะรักษามารยาทเอาไว้อย่างสุดชีวิต และนั่นจะทำให้เขารู้สึกสำนึกบุญคุณไปจนวันตาย แต่ในทางตรงกันข้าม.. เหลากำลังกลั้นหัวเราะเต็มที่แต่ก็ยังไม่วายปล่อยเสียงเอิ๊กอ๊ากลงลูกคอหลุดออกมาอย่างไม่เกรงใจ แต่ที่ทำให้ชิเอลแทบอยากจะมุดดินหนีก็คือ ท่ายืนเขย่งเกาะไหล่ชายหนุ่มแล้วชะโงกหน้าออกมามองจ้องตรงกึ่งกลางลำตัวเขาอย่างไม่กระพริบตาของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่ม ทำให้หนุ่มน้อยถึงกับใบหน้าร้อนฉ่าจนแทบลุกไหม้พร้อมกับรีบหันหลังหนีทันที
“ฮะ ฮะ.. พวกเราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม”
เป็นดังคาด..
ในที่สุดไอ้บ้าสูบฝิ่นนั่นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ..ถึงกับตัวงอน้ำหูน้ำตาไหลเลยเชียว แล้วก็พลอยทำให้คนอื่นๆ หลุดเสียงหัวเราะออกมาตามๆ
กันจนในที่สุดชิเอลก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งคนหนึ่ง ..ให้ตายสิ..
ตอนนั้นเขาน่าจะจับเจ้าหมอนี่มาสับเป็นชิ้นๆ ซะตั้งแต่เมื่อยังมีโอกาส ปีศาจหนุ่มน้อยได้แต่ถอนหายใจพลางพยายามปิดป้องส่วนสำคัญบนร่างกายตนเองอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไป หากได้รู้ก่อนสักนิดว่าจะถูกจับโยนลงมาที่นี่เขาคงจะแต่งกายให้มิดชิดรัดกุมกว่านี้ ชิเอลสะอื้นในใจพลางคิดอยากจะให้แผ่นดินใต้ฝ่าเท้ายุบตัวลงไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
นาทีนั้นเขาอดคิดไม่ได้ว่าเขาสู้ยอมถูกซาตานโรคจิตนั่นจับตัวอีกครั้ง รวมทั้งยอมถูกทรมานยังจะดีเสียกว่าต้องมาเป็นจำอวดอยู่ต่อหน้าเจ้าพวกนี้ ดูเอาเถอะ..
เวลานี้แต่ละคนต่างก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ทำเสียจนศักดิ์ศรีหน้าตาเขาพังพินาศไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
“พวกนายจะขำกันอีกนานมั้ย!”
“นี่ครับ.. ท่านชิเอล” ในที่สุดพ่อบ้านของโซมาก็ได้สติเป็นคนแรก อัคนีรีบปลดกระดุมเสื้อของตนแล้วถอดมันออกก่อนจะยื่นส่งให้ และช่วยกู้สถานการณ์ให้หนุ่มน้อยรอดพ้นจากสภาพที่น่าขายหน้ามาได้
จากนั้นชิเอลจึงมีโอกาสได้สำรวจรอบตัว ดูเหมือนว่ายมทูตผมแดงจะยังสนุกอยู่กับการต่อสู้ขับไล่เทวดา ซึ่งเมื่อคิดว่าเป็นการเผชิญหน้ากับศัตรูกลุ่มใหญ่ถึงเพียงนี้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่าหมอนั่นทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เลื่อยไฟฟ้าสีแดงสดพุ่งแหวกเข้าไปตรงไหน กลุ่มทูตสวรรค์ก็วงแตกตรงนั้น ต่างคนต่างก็หนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่ขณะเดียวกันก็ดูจะยังไม่ละความพยายามที่จะโต้กลับแล้วโฉบเข้ามาใกล้เขาเพื่อจะชิงตัว
ปีศาจตัวน้อยเพิ่งจะได้สังเกตเห็นว่าเวลานี้รอบๆ
ตัวไม่ใช่ทัศนวิสัยแบบเดิมที่มีเพียงวงกตหินกับเสียงลมหวีดหวิวอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าความมืดสลัวที่ชวนให้รู้สึกหดหู่ยังคงมีอยู่ และบอกให้รู้ว่าสถานที่นี้ยังมิได้หลุดพ้นไปจากเขตแดนของปีศาจเสียทีเดียว ทว่าท้องฟ้าซึ่งเป็นสีม่วงเช่นเดียวกับที่เคยเห็นมาก่อนทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น ประกอบกับกลิ่นของน้ำที่เจือมากับสายลมจางๆ
ทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าคงมีทะเลสาบอยู่แถวนี้
นั่นทำให้ชิเอลรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก
และคิดว่าตนคงจะถูกทูตสวรรค์เหล่านั้นพาตัวมาไกลจากที่ซึ่งถูกโยนลงมาตอนแรกมากพอดู
“ชิเอล.. ทำไมจู่ๆ
ถึงหายไปโดยไม่บอกพวกข้า” คำถามของโซมาส่งผลให้หนุ่มน้อยหันกลับมา ก่อนจะต้องถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังทำตาแดงๆ
พลางกลั้นน้ำตาอย่างสุดฤทธิ์ และก่อนที่เจ้าคนไม่รู้จักโตนี่จะปล่อยโฮออกมาและพลอยทำให้อัคนีร่วมร้องไห้ประสานเสียงไปด้วยเขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง
“ใครว่าไม่บอก..
ฉันก็ให้เซบาสเตียนส่งของที่จะลึกไปให้แล้วไม่ใช่หรือไง”
“แต่ว่า..”
“จริงสิเอิร์ล..
แล้วคุณพ่อบ้านไปไหนเสียล่ะ”
เขายังไม่ทันได้จบเรื่องกับสหายเจ้าน้ำตาเหลาก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นอีก หนุ่มน้อยจ้องมองใบหน้าเรียวยาวซึ่งแตะแต้มรอยยิ้มน้อยๆ
ตามแบบฉบับของเจ้าตัวอย่างไม่สบอารมณ์ ..นี่ก็ด้วย.. ช่างเป็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอาเสียเลย
ทว่าเวลานี้เขายังไม่มีแก่ใจอยากจะคิดบัญชีเรื่องเก่าที่แล้วมาหรอก
“ช่างหมอนั่นเถอะน่า..” ชิเอลหลบสายตา
พลางเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงสาเหตุที่ทำให้ตนกับพ่อบ้านคนสนิทต้องแยกจากกัน อันที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้มากนักหรอก
ก็แค่ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ..มันก็เท่านั้น
“ไม่ได้นะ!
ไม่งั้นชั้นก็มาเสียเที่ยวเปล่าน่ะสิ” เสียงเกรลโวยวายมาแต่ไกล
ยมทูตผมแดงเช็ดคราบเลือดออกจากใบเลื่อยขณะที่เดินเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคนหลังจากเสร็จเรื่องกับเทวดา
เห็นได้ชัดว่าเทวดากลุ่มใหญ่ขนาดนั้นเอาเข้าจริงก็คงฝีมือไม่เท่าไหร่ ..ถ้าหากว่ายมทูตจอมเพี้ยนเพียงตนเดียวยังสามารถขับไล่ไปได้อย่างไม่ยากเย็นล่ะก็นะ
“ใครว่าเสียเที่ยว..” อดีตหุ้นส่วนชาวจีนแย้งขึ้นอีกครั้ง
เหลาก้าวออกมากลางวงขณะที่มือทั้งสองประสานกันอยู่ตรงกลางลำตัวอันเป็นภาพที่ชินตา ส่งผลให้ชายแขนเสื้อขนาดใหญ่ห้อยย้อยลงมา
“ไม่ว่ายังไงคุณยมทูตที่เราต้องการพบก็ต้องมาหาเอิร์ลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ในเมื่อยังมีเรื่องนั้นอยู่อีกนี่นะ”
“มันก็ใช่..”
เกรลรับคำอย่างเสียไม่ได้
ยมทูตเกาศีรษะพลางขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่เวลานี้คนที่ควรจะกำลังตามหาเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์อย่างเอาเป็นเอาตายก็กลับยังไม่ปรากฏตัวเลยสักคน” ถึงตอนนี้เจ้าตัวทำเสียงเชอะ แล้วสะบัดหน้าหนีเมื่อพูดถึง ‘เจ้าของน้ำตาฟินิกซ์’ “แล้วทีนี้จะเอายังไงดีล่ะ”
“อือม ..นั่นสินะ” ราวกับพบปริศนาชวนคิด เหลายกมือขึ้นกอดอกพลางทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา
“ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันเหรอ~ ”
เอาละ..
นั่นทำให้อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นอีกสองหรือสามองศา และช่วยเพิ่มระดับความกระหายเลือดของใครบางคนแถวๆ
นี้ขึ้นอีกนิดหน่อย ชิเอลกุมขมับ..
ทั้งที่รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของอาการอยากมีส่วนร่วมที่มักจะเกินกว่าเหตุของเจ้าบ้านี่ ทว่าเขาก็ยังอดเคืองไม่ได้ทุกครั้งที่ถูกขัดคอในเวลาที่กำลังคุยกันอย่างเป็นการเป็นงาน ขณะที่ยมทูตผมแดงเองก็กำลังพยายามระงับความอยากผ่าหัวเจ้าวิญญาณเง่านี่ออกเป็นสองซีกเสียให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อจะได้ดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ก่อนจะทำให้ตนเองใจเย็นได้ในที่สุดแล้ววกกลับมาเข้าประเด็น
“พอดีว่ามันมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น
เราก็เลยวางแผนกันไว้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากเซบาสจังสักหน่อย จึงคิดว่าถ้าหาตัวเธอพบก็คงพบเซบาสจังด้วย แล้วนี่มันอะไรกันยะ!
อย่าบอกนะว่าเซบาสจังทิ้งเธอ..
ชั้นเห็นปกติแทบไม่เคยอยู่ห่างกันเลยนี่นา เกิดอะไรขึ้น”
..ทิ้ง.. งั้นหรือ..
อาจใช่.. หรืออาจไม่ใช่ ใครจะรู้
ให้ตายสิ..
ทำไมถึงชอบถามในเรื่องที่คนอื่นเค้าไม่อยากจะตอบนะ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเอามาพูด ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว ชิเอลตลบชายแขนเสื้อที่ยาวเกินไปมากให้สูงขึ้น พลางใช้ปลายนิ้วนวดคลึงขมับพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์ ..อีกครั้ง
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้านั่นหรอก
ช่างเถอะน่า
ว่าแต่บอกมาซิ.. พวกนายมาทำอะไรที่นี่”
..........................................
ลูซิเฟอร์ยืนนิ่งอยู่บนริมผาสูงพร้อมด้วยอกาเลียเรป ..ขุนพลอีกคนหนึ่งซึ่งคุกเข่ารออย่างสงบอยู่เบื้องหลัง ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราชันย์ปีศาจเช่นเขาจะออกมานอกเขตแดนของตนเอง ทว่าการออกมาพร้อมด้วยผู้ติดตามและรูปลักษณ์อันสมฐานะเจ้านรก โดยที่ไม่ได้สวมชุดซานตาคลอสตัวโปรด พร้อมด้วยเลื่อนเทียมกวางที่ห้อยกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งตลอดทั้งคันอย่างทุกครั้งคงต้องนับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ และเขาก็คงจะไม่ทำเช่นนี้.. หากมิใช่เป็นเพราะคำเชิญจากใครบางคน
สถานที่นัดพบแห่งนี้คือจุดกึ่งกลางระหว่างโลกเบื้องบนและเบื้องล่าง และเนื่องจากเป็นเขตซึ่งเชื่อมต่อของแสงสว่างกับความมืด ที่นี่จึงมีทั้งกลางวันและกลางคืนเช่นเดียวกับดินแดนของมนุษย์ ชายอาภรณ์ดำสนิทบนร่างเจ้าแห่งปีศาจพลิ้วสะบัดไปตามแรงลม รับกันกับปีกคู่ใหญ่และเขายาวสีดำตรงกลางหน้าผาก ขณะที่รัดเกล้าทองคำ สร้อยคอ
กับต่างหูประดับอัญมณีซึ่งห้อยยาวลงมาเกือบถึงบ่า รวมทั้งเกศาสีทองยาวตรงซึ่งแผ่สยายคลุมสะโพกสอบเพรียวนั้นสะท้อนแสงตะวันเป็นประกายระยิบระยับงามจับตา
นานเพียงใดแล้วที่เขาไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างเต็มยศเช่นนี้ ..นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้พบกับคนผู้นั้น
..นับแต่วันที่ถูกขับไล่ออกมาจากสวรรค์..
พักตร์งามคมเรียบเฉยขณะที่สัมผัสได้ถึงความพลุกพล่านของกองทัพปีศาจจำนวนมหาศาล จอมมารรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนขบวนของไพร่พลหลายแสนนายจากเขตแดนอันเป็นที่พักพิงออกมายังโลกภายนอก นำโดยนายกองซึ่งล้วนแต่ขึ้นตรงกับนายทัพปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของซาตานาเกียทั้งสิ้น ดูท่าทางขุนพลคนนี้ของเขาจะยังไม่ยอมตัดใจและปล่อยมือจากปีศาจตัวน้อยนั่นง่ายๆ เจ้าแห่งความมืดเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าลำบากใจกับท่าทีอ้ำอึ้งของซาตานาเกียยามที่ถูกถามจี้อย่างตรงไปตรงมา เขารู้ดีว่าเจ้าหนูนั่นมีนิสัยดื้อดึงปากแข็งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วจึงย่อมไม่มีวันยอมรับความจริงอย่างแน่นอน ทว่าการกระทำที่โฉ่งฉ่างโดยปราศจากความเกรงอกเกรงใจเขาเช่นนี้มันหมายความว่ากระไรกัน
...เช่นนี้แล้วยังจะปฏิเสธอีกหรือ..
ว่าไม่ได้รัก
เสียงกระพือปีกซึ่งแว่วมาตามสายลมพร้อมด้วยกระไอเทพที่บริสุทธิ์รุนแรงส่งผลให้ลูซิเฟอร์หลุดจากภวังค์ในที่สุด จอมปีศาจผินหน้ามองไปทางทิศตะวันออก ท่ามกลางแสงสว่างจ้า.. ร่างสีขาวระยิบระยับที่กำลังบินใกล้เข้ามานั้นมิใช่ใครที่ไหนนอกจากบุคคลผู้ซึ่งมีนัดหมายกับตนในวันนี้
นั่นคือทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งมาพร้อมกับผู้ติดตาม เจ้าแห่งความมืดยังคงรักษาอาการสงบนิ่งยามที่สองผู้มาใหม่ร่อนลงยืนอย่างสง่างาม ชุดคลุมยาวสีขาวพร่างบนเรือนร่างผึ่งผายนั้นตัดกับเกศาดำสนิทซึ่งทิ้งตัวปกคลุมแผ่นหลังอย่างเด่นชัด ขณะที่ปีกขาวพิสุทธิ์ซึ่งกำลังหุบแนบลำตัวก็ช่างดูขัดตาเสียจนเขานึกอยากจะฉีกทำลายเสียให้ย่อยยับ ทว่าก็รู้ดีเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น
“ถอยออกไป.. อกาเลียเรป”
โดยมิได้หันกลับไปมอง ..ลูซิเฟอร์ออกคำสั่งขุนพลของตนด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาด ขณะที่บุคคลที่เพิ่งมาถึงก็กระทำเช่นเดียวกัน
“เจ้าก็ด้วย.. เซราฟิเอล”
บริวารของทั้งสองฝ่ายต่างก็ค้อมศีรษะลงแล้วจากไป ปล่อยให้ผู้เป็นนายอยู่พูดคุยกันตามลำพัง
เทวดาผู้มาใหม่มีรูปโฉมซึ่งแทบไม่ต่างกับราชันย์ปีศาจเลย ไม่ว่าจะเป็นดวงพักตร์สลักเสลาคมคาย จมูกโด่งงาม
และริมฝีปากสีสดซึ่งแตะแต้มรอยยิ้มบางๆ นั้นล้วนแต่สะกดให้ผู้ที่พบเห็นต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล ทว่านัยน์ตาสีฟ้าสดซึ่งทอประกายกล้ากลับสะท้อนถึงความกร้าวแกร่งซึ่งซุกซ่อนมิดชิดอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์อันงามพิสุทธิ์ ดวงตายาวเรียวคู่นั้นเปล่งประกายวาววามยามที่จับจ้องอดีตทูตสวรรค์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใกล้ชิดสนิทสนมกัน
“นานแล้วมิได้พบกัน
..สบายดีหรือลูซิเฟอร์”
เสียงทุ้มนุ่มหูที่เคยคุ้นเอ่ยถามด้วยมารยาทอันดีงาม
หากอีกฝ่ายกลับตอบรับคำทักทายด้วยความเย็นชา
“ข้าทิ้งชื่อนั้นไปนานแล้ว
..มิคาเอล
เวลานี้ข้าคือซาตาน มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น”
“เจ้าคงยังโกรธข้าอยู่กระมัง” เมื่อความตั้งใจที่จะพูดคุยด้วยดีๆ ไม่เป็นผล จอมเทพ..
อัครเทวดาผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ก็จำต้องถอนหายใจออกมา แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืม.. แม้ในอดีตทั้งคู่จะเคยใกล้ชิดกันสักเพียงใด
ทว่าเวลานี้ต่างก็เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของกันและกัน นั่นคือความจริงซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ..แต่
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม
สำหรับข้าแล้วเจ้าก็คือลูซิเฟอร์เสมอมา”
“มาพูดธุระกันดีกว่า” จอมมารเปลี่ยนเรื่องขณะที่สีหน้ายังคงเย็นชาดุจเดิม ร่างในอาภรณ์ดำสนิทขยับถอยห่างออกมาพร้อมทั้งหันข้างให้ “ที่เชิญข้าออกมาในวันนี้คงมีเรื่องสำคัญสินะ อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่เลย”
“ก็ได้.. เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าปีศาจของเจ้ากำลังก่อความวุ่นวายไปทั่ว”
“ใช่
..รวมทั้งพวกเทวดาเองก็วิ่งพล่านยังกับฝูงหนูได้กลิ่นเนยแข็งเหมือนกัน
เป็นคำสั่งของเจ้างั้นหรือ”
“ข้าต้องการยุติความวุ่นวายของปรากฏการณ์น้ำตาฟินิกซ์ครั้งใหม่ จึงคิดจะจัดการกับตัวต้นเหตุเสียแต่เนิ่นๆ เพราะหากยังปล่อยเอาไว้เช่นนี้ไม่นานคงเกิดสงครามขึ้นจนได้”
“แล้วยังไง.. อย่างกับข้าจะสนแน่ะ”
จะเป็นไรไปหากสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์จะปะทุขึ้นอีกครั้ง ในเมื่อเสียงกรีดร้องคร่ำครวญ
ภาพของความสูญเสียและความพินาศย่อยยับทั่วทุกแห่งหนคือมหรสพชั้นเยี่ยมที่ควรค่าแก่การรอชมมิใช่หรือ ..พวกมันสวยงามออกจะตายไป.. เจ้าแห่งความมืดเหยียดยิ้มหยันอย่างไม่แยแสต่อเรื่องร้ายที่อาจส่งผลให้โลกทั้งสามต้องสั่นสะเทือนพร้อมทั้งตั้งใจจะผละไปเสียดื้อๆ ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้แน่น
“รอก่อนสิ!”
ลูซิเฟอร์มีอันต้องชะงักงันในวินาทีที่ข้อมือข้างหนึ่งถูกยึดไว้ พริบตานั้นภาพในอดีตที่ผ่านมาแสนนานได้ผุดขึ้นในความทรงจำ หากก็เลือนหายไปแทบจะทันที
“ปล่อยมือ.. มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายนะ”
“เหตุใดเจ้าจึงเย็นชานัก
..ลูซิเฟอร์คนเก่าที่ข้ารู้จักทั้งสุภาพอ่อนโยนและ..”
“ไม่มีลูซิเฟอร์อีกแล้วมิคาเอล
..นับจากวันที่เจ้าจับข้าโยนลงมายังโลกเบื้องล่าง ทูตสวรรค์ที่ชื่อว่าลูซิเฟอร์ก็ได้ดับสูญไปแล้ว และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าในเวลานี้มีเพียงซาตานผู้เป็นเจ้าแห่งนรกเท่านั้น”
จอมปีศาจสะบัดข้อมือตนเองให้หลุดจากการเกาะกุมอีกครั้งทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยินยอม และโดยปราศจากคำเตือนครั้งที่สอง วินาทีนั้นลูกไฟขนาดมหึมาจำนวนหลายลูกก็พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมด้วยเสียงระเบิดกึกก้องแล้วตกลงมาใส่ร่างทูตสวรรค์ผู้ยังดื้อดึง เพลิงนรกลุกลามไปทั่วร่างของจอมเทพอย่างรวดเร็วและรุนแรงเสียจนบริเวณโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงขนาดย่อมๆ
ไปในพริบตา หากเจ้าตัวกลับดูจะไม่ใส่ใจ มิคาเอลยังคงยื้อข้อมือลูซิเฟอร์ไว้แน่นก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่วงแขนแล้วโอบกอดไว้ ท่ามกลางกองเพลิงอันร้อนระอุที่แม้แต่พื้นใต้ฝ่าเท้าก็ยังละลาย
ทูตสวรรค์ผู้เป็นใหญ่ยืนซ้อนแผ่นหลังจอมมารไม่หนีหายไปไหน มือข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น ขณะที่อีกข้างกระหวัดอยู่รอบเอวพร้อมกับซบศีรษะตนเองลงบนบ่าของคนที่คุ้นเคย
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนใจร้ายถึงเพียงนั้น
อย่าทำอย่างนี้อีกเลย
..ขอร้องล่ะ”
ทว่าคำพูดอ่อนหวานไม่เคยเกิดผลอันใดกับสิ่งซึ่งเรียกว่า ‘ปีศาจ’ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นจอมเทพจึงได้แต่เบี่ยงกายหลบกรงเล็บดำสนิทที่พุ่งเข้าหาหมายเจาะกลางหว่างคิ้วอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ขณะเดียวกันก็ดับไฟที่ลุกคลอกร่างตนเองด้วยพลังอำนาจในระดับเดียวกัน และแล้วกองเพลิงขนาดใหญ่ก็พลันเปลี่ยนเป็นน้ำพุเย็นชุ่มฉ่ำในนาทีต่อมา และนั่นเป็นโอกาสให้ลูซิเฟอร์หลบหนีจากการเกาะกุมไปได้
“จงวางใจเถอะ”
เจ้าแห่งความมืดเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่กางปีกร่อนลงพื้นในตำแหน่งที่ห่างออกไปแล้วจัดการกับร่างที่เปียกน้ำชุ่มของตนเอง ใบหน้างามยังคงแตะแต้มรอยยิ้มบางๆ อย่างไม่สะทกสะท้านแม้จะเต็มไปด้วยหยดเหงื่อเกาะพราว
ขณะที่นัยน์ตาสีโลหิตกลับเสมองไปทางอื่น
“เด็กคนนั้น.. ที่เป็นเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์คนล่าสุดไม่ใช่พวกอ่อนแอ เขามีความเข้มแข็งและหยิ่งในศักดิ์ศรีมากกว่าที่เจ้ามีเสียอีก และดูท่าทางเรื่องนี้คงจะไม่ยืดเยื้ออย่างที่เจ้าคิดหรอก”
“เพราะอะไร”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากราชาปีศาจ
ลูซิเฟอร์เรียกหาผู้ติดตามของตนก่อนจะบินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันมากล่าวลา ทิ้งให้ผู้ยิ่งใหญ่จากสวรรค์เฝ้ามองตามหลังไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“อย่างนี้จะดีแล้วหรือขอรับ
..ท่านพ่อ” ทันทีที่ห่างจากทูตสวรรค์ซึ่งเปรียบเสมือนศัตรูตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ตนแล้ว อกาเลียเรปก็อดถามขึ้นไม่ได้ ขณะที่ลูซิเฟอร์ดูจะล่วงรู้ความในใจของบริวารจึงได้ห้ามปรามเสียแต่เนิ่นๆ
ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคงไร้ประโยชน์
“เจ้าก็อย่าเข้าไปยุ่งล่ะ
ข้าอยากจะเห็นการตัดสินใจของซาตานาเกีย
มาดูกันซิว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร”
ก็ในเมื่อเขาสร้างซาตานาเกียกับอกาเลียเรปขึ้นมาเพื่อให้คานอำนาจซึ่งกันและกัน ดังนั้นต่างฝ่ายจึงมักจะขัดคอหรือไม่ก็งัดข้อประลองกำลังกันเองอยู่เป็นระยะๆ
โดยนิสัยอยู่แล้ว
แต่ว่ามันก็สนุกดีมิใช่หรือที่จะได้เฝ้าดูลูกๆ ทำศึกกันบ้างเป็นครั้งคราว
..ขืนวันใดเจ้าเด็กสองคนนี้เกิดจะรักใคร่กลมเกลียวกันขึ้นมาชีวิตมันก็คงน่าเบื่อสิ้นดี
............................................................
“นายท่าน..
ข้ามีเรื่องมารายงาน”
ซาตานาเกียนิ่งฟังข้อมูลลับจากปีศาจใต้บังคับบัญชา ไม่น่าแปลกใจเลย.. ที่เจ้านั่นจะเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ อกาเลียเรปกับตัวเขามักจะอยู่ห่างจากการเปิดศึกละเลงเลือดกันเพียงก้าวเดียวอยู่เสมอ
เป็นเช่นนี้มานมนานเสียจนเขาไม่รู้สึกประหลาดใจอีกแล้ว แม้ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะออกคำสั่งให้ปีศาจที่ขึ้นตรงกับตนเองแทรกซึมเข้าไปในกองทัพที่กำลังออกค้นหาตัวเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อจะชิงตัวเด็กคนนั้นตัดหน้าเป็นการขัดแข้งขัดขา และเจตนากวนอารมณ์ให้เขาเดือดพล่านก็ตาม แต่คราวนี้เจ้าหมอนั่นจะไม่มีทางได้สมหวังหรอก เขาจะไม่ยอมให้มันเข้าถึงตัวชิเอล แฟนธอมไฮฟ์ได้อย่างแน่นอน
“ดี.. สมแล้วที่เป็นเจ้า ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
“ธุระของท่านคือธุระของข้า..
เป็นเช่นนี้เสมอมา”
ไม่เสียแรงที่เขาสั่งให้แอสทารอทกระทำตัวเป็น ‘บ่าวสองนาย’ มานานนับศตวรรษ ด้วยภาพลักษณ์ของปีศาจจอมโฉดชั่วผู้ไม่เคยมอบใจภักดิ์ต่อผู้ใดอย่างแท้จริงนั้น แอสทารอทตีบทได้แตกกระจุยเลยทีเดียว .. ใครๆ ก็รู้ว่านายทัพของเขาตนนี้เอาใจออกห่างเขาแล้วไปรับใช้อกาเลียเรปอย่างใกล้ชิดมาพักใหญ่แล้ว
ยิ่งกว่านั้นยังได้รับความดีความชอบและไว้วางใจจนถึงกับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพฝ่ายซ้าย และเพราะเหตุนี้ทำให้แอสทารอทต้องแบกรับคำประณามจากใครต่อใครมากมาย ซึ่งก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะภูมิอกภูมิใจเป็นนักหนา
ซาตานาเกียไม่สนใจปีศาจใต้บังคับบัญชาอีกต่อไป
ขุนพลหนุ่มเพียงแต่โบกมือไล่อีกฝ่ายพลางทอดสายตาไกลออกไป
ขณะที่ใจกระหวัดคิดถึงเจ้าของดวงหน้างามกับเรือนผมสีมิดไนท์บลู
เขายังคงจำได้ดีถึงสัมผัสนุ่มลื่นยามที่ปรนนิบัติอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้อยู่ปีแล้วปีเล่า จมูกยังคุ้นชินกับกลิ่นหอมอ่อนๆ
จากเส้นผมตัดสั้นที่เพิ่งเสร็จจากการสระล้าง
ร่างกายที่ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นทีละน้อย
สบู่กลิ่นที่เคยใช้เป็นประจำ
แชมพูที่ไม่เคยเปลี่ยน
ตารางเวลาซ้ำๆ บทสนทนาเดิมๆ ทุกสิ่งยังคงตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำ ..เหยื่อของเขา ..อดีตเจ้านายของเขา
ทว่าเวลานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่คืออะไร
..แต่ไม่เป็นไร..
เมื่อได้พบกันก็คงจะรู้เอง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น