9/26/2555

น้ำตาฟินิกซ์ 14




“ขอให้ชั้นจัดการกับพวกนี้ก่อนนะ   แล้วค่อยว่ากัน   ..เอาล่ะ!” เกรลหันกลับไปย่อตัวแล้วส่งจูบให้ฝ่ายตรงข้าม   ก่อนจะแสยะยิ้มอวดฟันคมกริบในปาก 


“คราวนี้ชั้นจะย้อมพวกเธอให้เป็นสีกุหลาบสวยสดกันถ้วนหน้าเลย   เตรียมตัวเตรียมใจไว้นะยะ”


ถ้าหากเป็นเวลาปกติล่ะก็ชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์คงจะถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายที่ได้พบกับยมทูตผมแดงที่ชอบทำตัวน่าคลื่นไส้ตนนี้   ทว่าเวลานี้ความรู้สึกยามที่ได้พบหน้าเกรล  แซตคลิฟกลับกลายเป็นคนละเรื่องกับที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง   ถึงแม้เจ้านี่จะไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่..  ทว่าหนุ่มน้อยก็ยังบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกโล่งใจมากแค่ไหนที่อย่างน้อยก็ได้พบคนที่เคยรู้จัก   และเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นเต้นดีใจดังมาจากข้างหลังเขาก็หันกลับไปมอง   และยิ่งทำให้โล่งใจพร้อมกับประหลาดใจเป็นที่สุดเมื่อได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย   

ชิเอลไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบคนเหล่านี้ในโลกอีกฟากหนึ่งหลังจากที่ตนละทิ้งความเป็นมนุษย์แล้ว   หนุ่มน้อยจ้องมองด้วยความตื่นเต้น   นัยน์ตากลมโตกวาดมองใบหน้าที่คิดถึงทีละคนๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง  พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่ตนเคยรู้จักมาก่อนทั้งนั้น   ไม่ว่าจะเป็นสองนายบ่าวจากอินเดีย  เจ้าชายโซมาและอัคนีผู้ติดตามซึ่งมักจะคอยสร้างปัญหาและความรำคาญใจให้อยู่เสมอ   แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมิตรที่ดีรวมทั้งมีอุปนิสัยที่ช่างเป็นห่วงเป็นใยและเห็นเขาเป็นน้องชายตัวน้อยอยู่เรื่อยไป    ตามหลังด้วยสองสหายชาวจีนที่เคยเป็นทั้งอดีตมิตรและหุ้นส่วนทางธุรกิจ   ซึ่งเคยมีบุญคุณความแค้นกันมาและยังไม่ทันได้ชำระความ   เหลาและรันเหมาซึ่งควงคู่ตัวติดกันอยู่เหมือนทุกครั้งที่พบกัน   ทว่าน่าแปลกที่เวลานี้ทั้งสี่คนกลับอยู่ในสภาพเหมือนเงาเลือนลางเช่นเดียวกับวินเซนต์  แฟนธอมไฮฟ์  ..บิดาของเขาซึ่งอยู่ในอาณาจักรของคนตายในขณะนี้
 

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาย”  โดยที่ลืมไปว่าตนเองกำลังเปลือยโล่งอยู่   ชิเอลเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจก่อนจะต้องพบกับสีหน้าพิลึกกึกกือของแต่ละคนและทำให้นึกเรื่องสำคัญขึ้นได้  


โซมาและอัคนียืนตกตะลึงกันทั้งคู่   ต่างคนต่างก็อ้าปากค้างแต่ก็ยังพยายามจะรักษามารยาทเอาไว้อย่างสุดชีวิต    และนั่นจะทำให้เขารู้สึกสำนึกบุญคุณไปจนวันตาย   แต่ในทางตรงกันข้าม..  เหลากำลังกลั้นหัวเราะเต็มที่แต่ก็ยังไม่วายปล่อยเสียงเอิ๊กอ๊ากลงลูกคอหลุดออกมาอย่างไม่เกรงใจ   แต่ที่ทำให้ชิเอลแทบอยากจะมุดดินหนีก็คือ  ท่ายืนเขย่งเกาะไหล่ชายหนุ่มแล้วชะโงกหน้าออกมามองจ้องตรงกึ่งกลางลำตัวเขาอย่างไม่กระพริบตาของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่ม   ทำให้หนุ่มน้อยถึงกับใบหน้าร้อนฉ่าจนแทบลุกไหม้พร้อมกับรีบหันหลังหนีทันที


“ฮะ  ฮะ..  พวกเราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม” 


เป็นดังคาด..  ในที่สุดไอ้บ้าสูบฝิ่นนั่นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่   ..ถึงกับตัวงอน้ำหูน้ำตาไหลเลยเชียว   แล้วก็พลอยทำให้คนอื่นๆ หลุดเสียงหัวเราะออกมาตามๆ กันจนในที่สุดชิเอลก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งคนหนึ่ง   ..ให้ตายสิ..  ตอนนั้นเขาน่าจะจับเจ้าหมอนี่มาสับเป็นชิ้นๆ ซะตั้งแต่เมื่อยังมีโอกาส   ปีศาจหนุ่มน้อยได้แต่ถอนหายใจพลางพยายามปิดป้องส่วนสำคัญบนร่างกายตนเองอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อไป   หากได้รู้ก่อนสักนิดว่าจะถูกจับโยนลงมาที่นี่เขาคงจะแต่งกายให้มิดชิดรัดกุมกว่านี้   ชิเอลสะอื้นในใจพลางคิดอยากจะให้แผ่นดินใต้ฝ่าเท้ายุบตัวลงไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด   นาทีนั้นเขาอดคิดไม่ได้ว่าเขาสู้ยอมถูกซาตานโรคจิตนั่นจับตัวอีกครั้ง   รวมทั้งยอมถูกทรมานยังจะดีเสียกว่าต้องมาเป็นจำอวดอยู่ต่อหน้าเจ้าพวกนี้   ดูเอาเถอะ..  เวลานี้แต่ละคนต่างก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง   ทำเสียจนศักดิ์ศรีหน้าตาเขาพังพินาศไม่เหลือชิ้นดีแล้ว  


“พวกนายจะขำกันอีกนานมั้ย!


“นี่ครับ..  ท่านชิเอล”  ในที่สุดพ่อบ้านของโซมาก็ได้สติเป็นคนแรก   อัคนีรีบปลดกระดุมเสื้อของตนแล้วถอดมันออกก่อนจะยื่นส่งให้   และช่วยกู้สถานการณ์ให้หนุ่มน้อยรอดพ้นจากสภาพที่น่าขายหน้ามาได้  


จากนั้นชิเอลจึงมีโอกาสได้สำรวจรอบตัว   ดูเหมือนว่ายมทูตผมแดงจะยังสนุกอยู่กับการต่อสู้ขับไล่เทวดา   ซึ่งเมื่อคิดว่าเป็นการเผชิญหน้ากับศัตรูกลุ่มใหญ่ถึงเพียงนี้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว   เขาก็ต้องยอมรับว่าหมอนั่นทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว    เลื่อยไฟฟ้าสีแดงสดพุ่งแหวกเข้าไปตรงไหน   กลุ่มทูตสวรรค์ก็วงแตกตรงนั้น   ต่างคนต่างก็หนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง   แต่ขณะเดียวกันก็ดูจะยังไม่ละความพยายามที่จะโต้กลับแล้วโฉบเข้ามาใกล้เขาเพื่อจะชิงตัว  

ปีศาจตัวน้อยเพิ่งจะได้สังเกตเห็นว่าเวลานี้รอบๆ ตัวไม่ใช่ทัศนวิสัยแบบเดิมที่มีเพียงวงกตหินกับเสียงลมหวีดหวิวอีกต่อไปแล้ว   แน่นอนว่าความมืดสลัวที่ชวนให้รู้สึกหดหู่ยังคงมีอยู่   และบอกให้รู้ว่าสถานที่นี้ยังมิได้หลุดพ้นไปจากเขตแดนของปีศาจเสียทีเดียว   ทว่าท้องฟ้าซึ่งเป็นสีม่วงเช่นเดียวกับที่เคยเห็นมาก่อนทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น   ประกอบกับกลิ่นของน้ำที่เจือมากับสายลมจางๆ ทำให้เขาพอจะเดาได้ว่าคงมีทะเลสาบอยู่แถวนี้   นั่นทำให้ชิเอลรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก   และคิดว่าตนคงจะถูกทูตสวรรค์เหล่านั้นพาตัวมาไกลจากที่ซึ่งถูกโยนลงมาตอนแรกมากพอดู  


“ชิเอล..  ทำไมจู่ๆ ถึงหายไปโดยไม่บอกพวกข้า”  คำถามของโซมาส่งผลให้หนุ่มน้อยหันกลับมา   ก่อนจะต้องถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังทำตาแดงๆ พลางกลั้นน้ำตาอย่างสุดฤทธิ์    และก่อนที่เจ้าคนไม่รู้จักโตนี่จะปล่อยโฮออกมาและพลอยทำให้อัคนีร่วมร้องไห้ประสานเสียงไปด้วยเขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง


“ใครว่าไม่บอก..  ฉันก็ให้เซบาสเตียนส่งของที่จะลึกไปให้แล้วไม่ใช่หรือไง”


“แต่ว่า..”


“จริงสิเอิร์ล..  แล้วคุณพ่อบ้านไปไหนเสียล่ะ”


 เขายังไม่ทันได้จบเรื่องกับสหายเจ้าน้ำตาเหลาก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นอีก  หนุ่มน้อยจ้องมองใบหน้าเรียวยาวซึ่งแตะแต้มรอยยิ้มน้อยๆ ตามแบบฉบับของเจ้าตัวอย่างไม่สบอารมณ์   ..นี่ก็ด้วย..  ช่างเป็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอาเสียเลย   ทว่าเวลานี้เขายังไม่มีแก่ใจอยากจะคิดบัญชีเรื่องเก่าที่แล้วมาหรอก


“ช่างหมอนั่นเถอะน่า..”  ชิเอลหลบสายตา   พลางเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงสาเหตุที่ทำให้ตนกับพ่อบ้านคนสนิทต้องแยกจากกัน   อันที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้มากนักหรอก   ก็แค่ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก  ..มันก็เท่านั้น  


“ไม่ได้นะ!   ไม่งั้นชั้นก็มาเสียเที่ยวเปล่าน่ะสิ”  เสียงเกรลโวยวายมาแต่ไกล  


ยมทูตผมแดงเช็ดคราบเลือดออกจากใบเลื่อยขณะที่เดินเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคนหลังจากเสร็จเรื่องกับเทวดา    เห็นได้ชัดว่าเทวดากลุ่มใหญ่ขนาดนั้นเอาเข้าจริงก็คงฝีมือไม่เท่าไหร่  ..ถ้าหากว่ายมทูตจอมเพี้ยนเพียงตนเดียวยังสามารถขับไล่ไปได้อย่างไม่ยากเย็นล่ะก็นะ


“ใครว่าเสียเที่ยว..”  อดีตหุ้นส่วนชาวจีนแย้งขึ้นอีกครั้ง   เหลาก้าวออกมากลางวงขณะที่มือทั้งสองประสานกันอยู่ตรงกลางลำตัวอันเป็นภาพที่ชินตา   ส่งผลให้ชายแขนเสื้อขนาดใหญ่ห้อยย้อยลงมา  


“ไม่ว่ายังไงคุณยมทูตที่เราต้องการพบก็ต้องมาหาเอิร์ลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ   ในเมื่อยังมีเรื่องนั้นอยู่อีกนี่นะ”


“มันก็ใช่..”  เกรลรับคำอย่างเสียไม่ได้  ยมทูตเกาศีรษะพลางขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์  “แต่เวลานี้คนที่ควรจะกำลังตามหาเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์อย่างเอาเป็นเอาตายก็กลับยังไม่ปรากฏตัวเลยสักคน”  ถึงตอนนี้เจ้าตัวทำเสียงเชอะ   แล้วสะบัดหน้าหนีเมื่อพูดถึง เจ้าของน้ำตาฟินิกซ์   “แล้วทีนี้จะเอายังไงดีล่ะ”


“อือม  ..นั่นสินะ”  ราวกับพบปริศนาชวนคิด   เหลายกมือขึ้นกอดอกพลางทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา


“ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันเหรอ~




เอาละ..   นั่นทำให้อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นอีกสองหรือสามองศา   และช่วยเพิ่มระดับความกระหายเลือดของใครบางคนแถวๆ นี้ขึ้นอีกนิดหน่อย   ชิเอลกุมขมับ..  ทั้งที่รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของอาการอยากมีส่วนร่วมที่มักจะเกินกว่าเหตุของเจ้าบ้านี่   ทว่าเขาก็ยังอดเคืองไม่ได้ทุกครั้งที่ถูกขัดคอในเวลาที่กำลังคุยกันอย่างเป็นการเป็นงาน   ขณะที่ยมทูตผมแดงเองก็กำลังพยายามระงับความอยากผ่าหัวเจ้าวิญญาณเง่านี่ออกเป็นสองซีกเสียให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อจะได้ดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง   ก่อนจะทำให้ตนเองใจเย็นได้ในที่สุดแล้ววกกลับมาเข้าประเด็น


“พอดีว่ามันมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น   เราก็เลยวางแผนกันไว้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากเซบาสจังสักหน่อย   จึงคิดว่าถ้าหาตัวเธอพบก็คงพบเซบาสจังด้วย   แล้วนี่มันอะไรกันยะ!
อย่าบอกนะว่าเซบาสจังทิ้งเธอ..   ชั้นเห็นปกติแทบไม่เคยอยู่ห่างกันเลยนี่นา   เกิดอะไรขึ้น”


..ทิ้ง..  งั้นหรือ..

อาจใช่..  หรืออาจไม่ใช่    ใครจะรู้



ให้ตายสิ..  


ทำไมถึงชอบถามในเรื่องที่คนอื่นเค้าไม่อยากจะตอบนะ   นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเอามาพูด   ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว    ชิเอลตลบชายแขนเสื้อที่ยาวเกินไปมากให้สูงขึ้น    พลางใช้ปลายนิ้วนวดคลึงขมับพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์  ..อีกครั้ง  


“ไม่ใช่ความผิดของเจ้านั่นหรอก  ช่างเถอะน่า  

ว่าแต่บอกมาซิ..   พวกนายมาทำอะไรที่นี่”





.......................................... 


ลูซิเฟอร์ยืนนิ่งอยู่บนริมผาสูงพร้อมด้วยอกาเลียเรป  ..ขุนพลอีกคนหนึ่งซึ่งคุกเข่ารออย่างสงบอยู่เบื้องหลัง     ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราชันย์ปีศาจเช่นเขาจะออกมานอกเขตแดนของตนเอง   ทว่าการออกมาพร้อมด้วยผู้ติดตามและรูปลักษณ์อันสมฐานะเจ้านรก   โดยที่ไม่ได้สวมชุดซานตาคลอสตัวโปรด   พร้อมด้วยเลื่อนเทียมกวางที่ห้อยกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งตลอดทั้งคันอย่างทุกครั้งคงต้องนับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ   และเขาก็คงจะไม่ทำเช่นนี้..  หากมิใช่เป็นเพราะคำเชิญจากใครบางคน

สถานที่นัดพบแห่งนี้คือจุดกึ่งกลางระหว่างโลกเบื้องบนและเบื้องล่าง   และเนื่องจากเป็นเขตซึ่งเชื่อมต่อของแสงสว่างกับความมืด   ที่นี่จึงมีทั้งกลางวันและกลางคืนเช่นเดียวกับดินแดนของมนุษย์    ชายอาภรณ์ดำสนิทบนร่างเจ้าแห่งปีศาจพลิ้วสะบัดไปตามแรงลม   รับกันกับปีกคู่ใหญ่และเขายาวสีดำตรงกลางหน้าผาก   ขณะที่รัดเกล้าทองคำ   สร้อยคอ   กับต่างหูประดับอัญมณีซึ่งห้อยยาวลงมาเกือบถึงบ่า   รวมทั้งเกศาสีทองยาวตรงซึ่งแผ่สยายคลุมสะโพกสอบเพรียวนั้นสะท้อนแสงตะวันเป็นประกายระยิบระยับงามจับตา   นานเพียงใดแล้วที่เขาไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างเต็มยศเช่นนี้  ..นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้พบกับคนผู้นั้น  

..นับแต่วันที่ถูกขับไล่ออกมาจากสวรรค์..


พักตร์งามคมเรียบเฉยขณะที่สัมผัสได้ถึงความพลุกพล่านของกองทัพปีศาจจำนวนมหาศาล   จอมมารรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนขบวนของไพร่พลหลายแสนนายจากเขตแดนอันเป็นที่พักพิงออกมายังโลกภายนอก   นำโดยนายกองซึ่งล้วนแต่ขึ้นตรงกับนายทัพปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของซาตานาเกียทั้งสิ้น   ดูท่าทางขุนพลคนนี้ของเขาจะยังไม่ยอมตัดใจและปล่อยมือจากปีศาจตัวน้อยนั่นง่ายๆ   เจ้าแห่งความมืดเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าลำบากใจกับท่าทีอ้ำอึ้งของซาตานาเกียยามที่ถูกถามจี้อย่างตรงไปตรงมา   เขารู้ดีว่าเจ้าหนูนั่นมีนิสัยดื้อดึงปากแข็งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วจึงย่อมไม่มีวันยอมรับความจริงอย่างแน่นอน   ทว่าการกระทำที่โฉ่งฉ่างโดยปราศจากความเกรงอกเกรงใจเขาเช่นนี้มันหมายความว่ากระไรกัน

...เช่นนี้แล้วยังจะปฏิเสธอีกหรือ..  ว่าไม่ได้รัก






เสียงกระพือปีกซึ่งแว่วมาตามสายลมพร้อมด้วยกระไอเทพที่บริสุทธิ์รุนแรงส่งผลให้ลูซิเฟอร์หลุดจากภวังค์ในที่สุด  จอมปีศาจผินหน้ามองไปทางทิศตะวันออก   ท่ามกลางแสงสว่างจ้า..  ร่างสีขาวระยิบระยับที่กำลังบินใกล้เข้ามานั้นมิใช่ใครที่ไหนนอกจากบุคคลผู้ซึ่งมีนัดหมายกับตนในวันนี้    นั่นคือทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งมาพร้อมกับผู้ติดตาม   เจ้าแห่งความมืดยังคงรักษาอาการสงบนิ่งยามที่สองผู้มาใหม่ร่อนลงยืนอย่างสง่างาม   ชุดคลุมยาวสีขาวพร่างบนเรือนร่างผึ่งผายนั้นตัดกับเกศาดำสนิทซึ่งทิ้งตัวปกคลุมแผ่นหลังอย่างเด่นชัด   ขณะที่ปีกขาวพิสุทธิ์ซึ่งกำลังหุบแนบลำตัวก็ช่างดูขัดตาเสียจนเขานึกอยากจะฉีกทำลายเสียให้ย่อยยับ   ทว่าก็รู้ดีเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น


“ถอยออกไป..  อกาเลียเรป”


โดยมิได้หันกลับไปมอง  ..ลูซิเฟอร์ออกคำสั่งขุนพลของตนด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาด   ขณะที่บุคคลที่เพิ่งมาถึงก็กระทำเช่นเดียวกัน 


“เจ้าก็ด้วย..  เซราฟิเอล” 



บริวารของทั้งสองฝ่ายต่างก็ค้อมศีรษะลงแล้วจากไป   ปล่อยให้ผู้เป็นนายอยู่พูดคุยกันตามลำพัง   

เทวดาผู้มาใหม่มีรูปโฉมซึ่งแทบไม่ต่างกับราชันย์ปีศาจเลย   ไม่ว่าจะเป็นดวงพักตร์สลักเสลาคมคาย   จมูกโด่งงาม   และริมฝีปากสีสดซึ่งแตะแต้มรอยยิ้มบางๆ นั้นล้วนแต่สะกดให้ผู้ที่พบเห็นต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล   ทว่านัยน์ตาสีฟ้าสดซึ่งทอประกายกล้ากลับสะท้อนถึงความกร้าวแกร่งซึ่งซุกซ่อนมิดชิดอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์อันงามพิสุทธิ์   ดวงตายาวเรียวคู่นั้นเปล่งประกายวาววามยามที่จับจ้องอดีตทูตสวรรค์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใกล้ชิดสนิทสนมกัน


“นานแล้วมิได้พบกัน  ..สบายดีหรือลูซิเฟอร์”  เสียงทุ้มนุ่มหูที่เคยคุ้นเอ่ยถามด้วยมารยาทอันดีงาม    หากอีกฝ่ายกลับตอบรับคำทักทายด้วยความเย็นชา


“ข้าทิ้งชื่อนั้นไปนานแล้ว  ..มิคาเอล   เวลานี้ข้าคือซาตาน   มีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น”


“เจ้าคงยังโกรธข้าอยู่กระมัง”  เมื่อความตั้งใจที่จะพูดคุยด้วยดีๆ ไม่เป็นผล   จอมเทพ..  อัครเทวดาผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ก็จำต้องถอนหายใจออกมา   แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืม..   แม้ในอดีตทั้งคู่จะเคยใกล้ชิดกันสักเพียงใด   ทว่าเวลานี้ต่างก็เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของกันและกัน   นั่นคือความจริงซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ..แต่



“ไม่ว่ายังไงก็ตาม   สำหรับข้าแล้วเจ้าก็คือลูซิเฟอร์เสมอมา”


“มาพูดธุระกันดีกว่า” จอมมารเปลี่ยนเรื่องขณะที่สีหน้ายังคงเย็นชาดุจเดิม   ร่างในอาภรณ์ดำสนิทขยับถอยห่างออกมาพร้อมทั้งหันข้างให้   “ที่เชิญข้าออกมาในวันนี้คงมีเรื่องสำคัญสินะ   อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่เลย”


“ก็ได้..  เจ้าคงเห็นแล้ว   ว่าปีศาจของเจ้ากำลังก่อความวุ่นวายไปทั่ว”


“ใช่  ..รวมทั้งพวกเทวดาเองก็วิ่งพล่านยังกับฝูงหนูได้กลิ่นเนยแข็งเหมือนกัน  
เป็นคำสั่งของเจ้างั้นหรือ”


“ข้าต้องการยุติความวุ่นวายของปรากฏการณ์น้ำตาฟินิกซ์ครั้งใหม่   จึงคิดจะจัดการกับตัวต้นเหตุเสียแต่เนิ่นๆ   เพราะหากยังปล่อยเอาไว้เช่นนี้ไม่นานคงเกิดสงครามขึ้นจนได้”


“แล้วยังไง..  อย่างกับข้าจะสนแน่ะ” 


จะเป็นไรไปหากสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์จะปะทุขึ้นอีกครั้ง    ในเมื่อเสียงกรีดร้องคร่ำครวญ   ภาพของความสูญเสียและความพินาศย่อยยับทั่วทุกแห่งหนคือมหรสพชั้นเยี่ยมที่ควรค่าแก่การรอชมมิใช่หรือ   ..พวกมันสวยงามออกจะตายไป..  เจ้าแห่งความมืดเหยียดยิ้มหยันอย่างไม่แยแสต่อเรื่องร้ายที่อาจส่งผลให้โลกทั้งสามต้องสั่นสะเทือนพร้อมทั้งตั้งใจจะผละไปเสียดื้อๆ   ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้แน่น


“รอก่อนสิ!


ลูซิเฟอร์มีอันต้องชะงักงันในวินาทีที่ข้อมือข้างหนึ่งถูกยึดไว้   พริบตานั้นภาพในอดีตที่ผ่านมาแสนนานได้ผุดขึ้นในความทรงจำ   หากก็เลือนหายไปแทบจะทันที


“ปล่อยมือ..   มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายนะ”


“เหตุใดเจ้าจึงเย็นชานัก  ..ลูซิเฟอร์คนเก่าที่ข้ารู้จักทั้งสุภาพอ่อนโยนและ..”


“ไม่มีลูซิเฟอร์อีกแล้วมิคาเอล  ..นับจากวันที่เจ้าจับข้าโยนลงมายังโลกเบื้องล่าง   ทูตสวรรค์ที่ชื่อว่าลูซิเฟอร์ก็ได้ดับสูญไปแล้ว   และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าในเวลานี้มีเพียงซาตานผู้เป็นเจ้าแห่งนรกเท่านั้น”



จอมปีศาจสะบัดข้อมือตนเองให้หลุดจากการเกาะกุมอีกครั้งทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยินยอม   และโดยปราศจากคำเตือนครั้งที่สอง   วินาทีนั้นลูกไฟขนาดมหึมาจำนวนหลายลูกก็พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมด้วยเสียงระเบิดกึกก้องแล้วตกลงมาใส่ร่างทูตสวรรค์ผู้ยังดื้อดึง   เพลิงนรกลุกลามไปทั่วร่างของจอมเทพอย่างรวดเร็วและรุนแรงเสียจนบริเวณโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงขนาดย่อมๆ ไปในพริบตา   หากเจ้าตัวกลับดูจะไม่ใส่ใจ   มิคาเอลยังคงยื้อข้อมือลูซิเฟอร์ไว้แน่นก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่วงแขนแล้วโอบกอดไว้   ท่ามกลางกองเพลิงอันร้อนระอุที่แม้แต่พื้นใต้ฝ่าเท้าก็ยังละลาย   ทูตสวรรค์ผู้เป็นใหญ่ยืนซ้อนแผ่นหลังจอมมารไม่หนีหายไปไหน   มือข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น   ขณะที่อีกข้างกระหวัดอยู่รอบเอวพร้อมกับซบศีรษะตนเองลงบนบ่าของคนที่คุ้นเคย


“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนใจร้ายถึงเพียงนั้น

อย่าทำอย่างนี้อีกเลย  ..ขอร้องล่ะ”


ทว่าคำพูดอ่อนหวานไม่เคยเกิดผลอันใดกับสิ่งซึ่งเรียกว่า ปีศาจ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว   ดังนั้นจอมเทพจึงได้แต่เบี่ยงกายหลบกรงเล็บดำสนิทที่พุ่งเข้าหาหมายเจาะกลางหว่างคิ้วอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต   ขณะเดียวกันก็ดับไฟที่ลุกคลอกร่างตนเองด้วยพลังอำนาจในระดับเดียวกัน    และแล้วกองเพลิงขนาดใหญ่ก็พลันเปลี่ยนเป็นน้ำพุเย็นชุ่มฉ่ำในนาทีต่อมา    และนั่นเป็นโอกาสให้ลูซิเฟอร์หลบหนีจากการเกาะกุมไปได้


“จงวางใจเถอะ”


เจ้าแห่งความมืดเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่กางปีกร่อนลงพื้นในตำแหน่งที่ห่างออกไปแล้วจัดการกับร่างที่เปียกน้ำชุ่มของตนเอง   ใบหน้างามยังคงแตะแต้มรอยยิ้มบางๆ อย่างไม่สะทกสะท้านแม้จะเต็มไปด้วยหยดเหงื่อเกาะพราว   ขณะที่นัยน์ตาสีโลหิตกลับเสมองไปทางอื่น


“เด็กคนนั้น..  ที่เป็นเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์คนล่าสุดไม่ใช่พวกอ่อนแอ   เขามีความเข้มแข็งและหยิ่งในศักดิ์ศรีมากกว่าที่เจ้ามีเสียอีก   และดูท่าทางเรื่องนี้คงจะไม่ยืดเยื้ออย่างที่เจ้าคิดหรอก”


“เพราะอะไร”


ไม่มีคำตอบใดๆ จากราชาปีศาจ   ลูซิเฟอร์เรียกหาผู้ติดตามของตนก่อนจะบินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันมากล่าวลา   ทิ้งให้ผู้ยิ่งใหญ่จากสวรรค์เฝ้ามองตามหลังไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร




“อย่างนี้จะดีแล้วหรือขอรับ  ..ท่านพ่อ”  ทันทีที่ห่างจากทูตสวรรค์ซึ่งเปรียบเสมือนศัตรูตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ตนแล้ว   อกาเลียเรปก็อดถามขึ้นไม่ได้   ขณะที่ลูซิเฟอร์ดูจะล่วงรู้ความในใจของบริวารจึงได้ห้ามปรามเสียแต่เนิ่นๆ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคงไร้ประโยชน์ 


“เจ้าก็อย่าเข้าไปยุ่งล่ะ   ข้าอยากจะเห็นการตัดสินใจของซาตานาเกีย

มาดูกันซิว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร”



ก็ในเมื่อเขาสร้างซาตานาเกียกับอกาเลียเรปขึ้นมาเพื่อให้คานอำนาจซึ่งกันและกัน   ดังนั้นต่างฝ่ายจึงมักจะขัดคอหรือไม่ก็งัดข้อประลองกำลังกันเองอยู่เป็นระยะๆ โดยนิสัยอยู่แล้ว    แต่ว่ามันก็สนุกดีมิใช่หรือที่จะได้เฝ้าดูลูกๆ ทำศึกกันบ้างเป็นครั้งคราว   ..ขืนวันใดเจ้าเด็กสองคนนี้เกิดจะรักใคร่กลมเกลียวกันขึ้นมาชีวิตมันก็คงน่าเบื่อสิ้นดี





............................................................


“นายท่าน..  ข้ามีเรื่องมารายงาน”


ซาตานาเกียนิ่งฟังข้อมูลลับจากปีศาจใต้บังคับบัญชา   ไม่น่าแปลกใจเลย..   ที่เจ้านั่นจะเคลื่อนไหวในลักษณะนี้   อกาเลียเรปกับตัวเขามักจะอยู่ห่างจากการเปิดศึกละเลงเลือดกันเพียงก้าวเดียวอยู่เสมอ   เป็นเช่นนี้มานมนานเสียจนเขาไม่รู้สึกประหลาดใจอีกแล้ว   แม้ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะออกคำสั่งให้ปีศาจที่ขึ้นตรงกับตนเองแทรกซึมเข้าไปในกองทัพที่กำลังออกค้นหาตัวเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์อย่างเอาเป็นเอาตาย   เพื่อจะชิงตัวเด็กคนนั้นตัดหน้าเป็นการขัดแข้งขัดขา   และเจตนากวนอารมณ์ให้เขาเดือดพล่านก็ตาม    แต่คราวนี้เจ้าหมอนั่นจะไม่มีทางได้สมหวังหรอก   เขาจะไม่ยอมให้มันเข้าถึงตัวชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์ได้อย่างแน่นอน   



“ดี..  สมแล้วที่เป็นเจ้า   ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”


“ธุระของท่านคือธุระของข้า..  เป็นเช่นนี้เสมอมา”


ไม่เสียแรงที่เขาสั่งให้แอสทารอทกระทำตัวเป็น บ่าวสองนาย มานานนับศตวรรษ   ด้วยภาพลักษณ์ของปีศาจจอมโฉดชั่วผู้ไม่เคยมอบใจภักดิ์ต่อผู้ใดอย่างแท้จริงนั้น   แอสทารอทตีบทได้แตกกระจุยเลยทีเดียว ..  ใครๆ ก็รู้ว่านายทัพของเขาตนนี้เอาใจออกห่างเขาแล้วไปรับใช้อกาเลียเรปอย่างใกล้ชิดมาพักใหญ่แล้ว  ยิ่งกว่านั้นยังได้รับความดีความชอบและไว้วางใจจนถึงกับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพฝ่ายซ้าย   และเพราะเหตุนี้ทำให้แอสทารอทต้องแบกรับคำประณามจากใครต่อใครมากมาย   ซึ่งก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะภูมิอกภูมิใจเป็นนักหนา

ซาตานาเกียไม่สนใจปีศาจใต้บังคับบัญชาอีกต่อไป   ขุนพลหนุ่มเพียงแต่โบกมือไล่อีกฝ่ายพลางทอดสายตาไกลออกไป   ขณะที่ใจกระหวัดคิดถึงเจ้าของดวงหน้างามกับเรือนผมสีมิดไนท์บลู    เขายังคงจำได้ดีถึงสัมผัสนุ่มลื่นยามที่ปรนนิบัติอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้อยู่ปีแล้วปีเล่า   จมูกยังคุ้นชินกับกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมตัดสั้นที่เพิ่งเสร็จจากการสระล้าง   ร่างกายที่ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นทีละน้อย   สบู่กลิ่นที่เคยใช้เป็นประจำ    แชมพูที่ไม่เคยเปลี่ยน   ตารางเวลาซ้ำๆ   บทสนทนาเดิมๆ    ทุกสิ่งยังคงตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำ   ..เหยื่อของเขา   ..อดีตเจ้านายของเขา   ทว่าเวลานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่คืออะไร


..แต่ไม่เป็นไร..


เมื่อได้พบกันก็คงจะรู้เอง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น