8/16/2555

Scecial Request For Nami:Meets The Demon






กรีซ  คศ.2007

เวลา   21.35นาฬิกา



แสงจันทร์อันเย็นตาทอแสงนวลอาบไล้ไปทั่วพื้นพิภพ   ท่ามกลางละอองหมอกอันแสนเบาบางที่แผ่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณย่านที่อยู่อาศัยของผู้คน...

เกสต์เฮาท์แบบโบราณ  ตลอดจนบ้านเรือนในรูปแบบเก่าแก่ที่ทางการได้อนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับในอดีต....  

แม้ว่าประเทศกรีซ  จะได้เคยผ่านร้อนผ่านหนาว  ตลอดจนก้าวข้ามกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานหลายศตวรรษ   หากทว่า.....

เธอ ก็คงยังยืนหยัดอยู่ได้อย่างสง่างามอย่างเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต
                                              


แต่ใครเลยจะรู้ว่า...ในยามที่ความมืดย่างกรายเข้ามาเยือนนั้น

มีอะไรบ้าง....ที่เที่ยวเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกนั่น...



บางครั้ง....เรื่องเล่าอันเก่าแก่โบร่ำโบราณ  หรือว่าตำนานปรำปรานั้น  ก็มีเค้าโครงมาจากความเป็นจริง   และมิใช่เรื่องที่ควรจะมองข้าม....


โดยเฉพาะ   เรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งที่ออกหากินในยามวิกาลและเสพโลหิตเป็นภักษา

.........อย่างเช่นดีมอน



.......คำบอกเล่าที่พวกเรามักจะได้รับเมื่อครั้งยังเด็ก...   ว่ากลางคืนอย่าออกจากบ้าน....มิใช่เรื่องโกหกไร้สาระ   ทว่า....มันมีเหตุผล…..




ดีมอนหนุ่มรูปงามจำนวน3คน  ได้ปรากฏกายขึ้นบนถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง....

ทว่า..  คืนนี้พวกเขามีเป้าหมายต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา


หลังจากที่ได้โต้เถียงกันอย่างดุเดือดกับสภาสูงของดีมอน  เรื่องการแอนตี้การกระทำที่โหดร้ายต่อมนุษย์เมื่อหลายคืนที่ผ่านมานั้น   ทำให้พวกเขาทั้ง3  ได้ตัดสินใจที่จะทำการทดสอบ....จิตใจของตนเอง  

และเพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงที่ว่า....ดีมอนก็รักสันติเป็นเหมือนกัน....


ทั้งกลุ่มจึงได้ส่งตัวแทน1คนออกไปทำการทดสอบในค่ำคืนนี้


จำใส่หัวเอาไว้นะพวกเรา   มนุษย์คือมิตร....ไม่ใช่อาหาร!”


น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ดังกังวานของดีมอนคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวมมั่นคงยิ่งนัก   ในขณะที่อีก2คนต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


ใช่แล้วคามิว.....พวกเราอุตส่าห์หาอาสาสมัครที่จะมาทำการทดลองครั้งนี้ได้อย่างยากลำยาก.....
ยังไงซะ..นายจะพลาดไม่ได้เด็ดๆนา

สหายรักที่ออกล่าด้วยกันเป็นประจำนาม.. มิโร่เอ่ยขึ้นเป็นคนถัดมา.....

เรือนผมสีน้ำเงินเข้มอมม่วงที่ยาวสลวย  รวบหลวมๆไว้ที่ท้ายทอยด้วยเชือกหนังเส้นเก่าคร่ำคร่า   ในขณะที่ดวงหน้าอันหล่อเหลาคมคายที่ยังคงแฝงกายอยู่ในเงามืด   ตลอดจนเรือนที่ร่างสูงแกร่งกำยำ  เปล่งรัศมีกร้าวเยี่ยงนักล่าแห่งรัตติกาล


ข้าไม่พลาดล่ะน่า....ไว้ใจได้เลย   คืนนี้พวกเราจะกลับไปอย่างผู้ชนะ   แล้วทีนี้ล่ะ....

ข้าจะตอกหน้าเจ้าซากะให้หงายหลังไปเลย


เฮ้อ!.... เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง   ดังมาจากชายหนุ่มคนที่3   ที่สู้ทนนิ่งฟังอยู่นานจนในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้

ช่วงขายาวแข็งแรงก้าวพ้นเงามืดออกมา   เรือนผมหยักศกสีน้ำเงินที่ยาวสยายถึงสะโพกเพรียวแกร่งพริ้วไหวไปตามแรงลม   ในขณะที่เรือนร่างสูงสง่าผึ่งผายยกแขนขึ้นท้าวสะเอว   พร้อมกับดวงตาสีน้ำเงินอันวาววับที่จับจ้องใบหน้าของสหายอีก2คนอย่างไม่สู้จะพอใจนัก


จะยังไงนั่นก็พี่ชายข้า....พวกเจ้าก็ให้มันน้อยๆหน่อยแล้วกันน่า คาน่อนเอ่ยออกมา   ด้วยน้ำเสียงอันติดจะหงุดหงิด


พอๆ......โน่น  ลุยเลยคามิว   บ้านพักของหญิงสาวที่จะมาเป็นอาสาสมัครให้พวกเราอยู่โน่นแล้ว

ตามที่ตกลงนะเพื่อน.....ถ้าเมื่อไหร่เห็นท่าไม่ดี   เราจะบุกเข้าไปในทันที....



คามิวสูดหายใจเข้าโดยแรงเพื่อเรียกความมั่นใจ   ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปยังประตูไม้สีทึมๆอันเก่าคร่ำคร่าของเกสต์เฮาท์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ก่อนจะเอื้อมมือไปเคาะประตู


ก็อกๆ

ในอึดใจเดียวกันนั้นเอง  ที่ประตูเปิดออก   พร้อมกับสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งยืนแอบอยู่หลังบานประตูนั้น


นามิใช่มั้ยครับ ดีมอนหนุ่มถามอย่างลังเลใจ   ก่อนจะขยับก้าวเข้าไปข้างใน   แต่แล้วก็ต้องหรี่ตาลงเมื่อแสงไฟในบ้านทำให้เขาตาพร่าจนมองอะไรไม่เห็น


ค่ะ...ฉันเอง   คือคนที่คุณติดต่อไปทางเมล์เสียงใสตอบอย่างเป็นกันเอง  ดวงตากลมโตสีดำขลับราวกับคืนเดือนมืดจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มอย่างไม่วางตา


คือ....จะเป็นพระคุณมากถ้าคุณจะช่วยหรี่ไฟ..คามิวบอกด้วยน้ำเสียงอันตะกุกตะกักพร้อมกับยกแขนขึ้นบังดวงตา


หญิงสาวทำตาโต

โอ...ตายจริง......ขอโทษนะคะ  พอดีฉันลืมไปหล่อนร้องแล้วรีบวิ่งไปหรี่ไฟ

แล้วในอึดใจนั้น  แสงสว่างในห้องก็พลันลดลงเหลือแค่เพียงแสงสลัวๆของโคมไฟเพียงดวงเดียว
(เหมือนจะโรแมนติกชอบกล)


หญิงสาว   ในชุดติดกันสีเขียวอ่อนที่ขับผิวขาวผ่องกับใบหน้าอันงดงามน่ารัก   ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ลงตัวอย่างไม่มีที่ติจากซีกโลกตะวันออก   ผายมือเชิญให้ชายหนุ่มผู้มาเยือนนั่งลงที่เก้าอี้รับแขก

ฉันกำลังกังวลเชียวค่ะ  ว่าคุณจะมาจริงๆรึเปล่า  ในเมื่อฉันลงทุนขึ้นเครื่องมาถึงกรีซแล้ว


แต่ไหนๆคุณก็มาแล้ว...เราจะเริ่มกันเลยดีมั้ยคะ....เพราะฉันจะต้องจับเครื่องกลับบ้านวันพรุ่งนี้แล้วล่ะค่ะ


คามิวยิ้มน้อยๆอย่างอ่อนโยนพลางนึกขำกับท่าทีของสาวแปลกหน้าชาวมนุษย์ผู้นี้  

เรือนร่างอันสูงสง่าผึ่งผายนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟา   เรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลทิ้งตัวยาวคลุมแผ่นหลัง   ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าครามและใบหน้าอันขาวซีดกำลังจ้องมองหล่อนอย่างสนอกสนใจ   ด้วยสาวน้อยตัวเล็กๆตรงหน้านี้ช่างงดงามน่ารักนัก


นานแค่ไหนแล้ว    ที่จะมีมนุษย์ตัวเล็กๆสักคนเข้ามาพูดคุยกับเขาได้นานเกินกว่า5นาที  โดยที่ยังมีลมหายใจเหลืออยู่......

ครับ

เขาตอบรับอย่างแผ่วเบา


งั้น....ช่วยบอกเล่าความเป็นตัวคุณให้ฟังทีสิคะนามิเปิดฉากอย่างเป็นทางการด้วยการพุ่งเป้าหมายเข้าสู่จุดมุ่งหมายหลัก   คือ....การได้ทำความรู้จักกับดีมอนสักตัว

ก็....ไม่มีอะไรมากครับ...

พวกเรามีชีวิตอยู่ได้นานตราบเท่าที่ข้างนอกนั่นยังมีเลือดให้เรากิน   เพียงแค่....เราไม่ชอบแสงสว่าง
นอกนั้น....เราก็มีทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต่างจากมนุษย์หรอกครับ


อือม์ๆ……”หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย   ในขณะที่มือจดชอตโน้ตอย่างละเอียดยิบ

แล้ว....เขี้ยวของคุณ.... ถึงตอนนี้หล่อนถามขึ้นมาอย่างลังเล   ก่อนจะต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง   เมื่อเขาเผยคมเขี้ยวคู่ยาวในปากให้เห็น


โอ้ว.....หวังว่านั่นคงจะเป็นของแท้นะ...


แต่ว่าเห็นอย่างนี้แล้ว...คุณอย่างเพิ่งนึกกลัวเสียก่อนนะครับ   เพราะพวกผมตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายมนุษย์โดยไม่จำเป็น


...ถึงจำเป็นก็ห้ามทำย่ะ....


คือ...พวกผมเองก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน   ว่าดีมอนอย่างเราๆ  สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้โดยสันติ


นามิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  พลางเล่นปลายผมหางม้าที่ดำขลับและยาวตรงของตัวเองอย่างใจลอย   ในขณะที่หัวสมองกำลังนึกถึงนิทานก่อนนอนที่แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งยังเล็ก


น่าเหลือเชื่อนัก  ว่าดีมอนจะมีอยู่จริง   และถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตา   หล่อนก็คงจะยังไม่ปักใจเชื่อ

ทว่า.....สาเหตุที่หล่อนยอมตกปากรับคำเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้  ก็เพราะชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้แหละ   ทันทีที่ได้เห็นหน้าเขา...หล่อนก็รู้ได้ทันทีว่า....

คนนี้ล่ะ...ใช่เลย.....



เอ้อ!....ลืมสนิทเลยว่าฉันปอกแตงโมค้างไว้   รอเดี๋ยวนะคะ   จะยกมาให้คุณหล่อนบอกทันทีที่นึกขึ้นได้  พร้อมกับวิ่งหายเข้าไปในครัว  ปล่อยให้คามิวนั่งคอยอยู่ที่โซฟาตัวเดิมอย่างใจชื้นขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

....เป็นไงล่ะ......ฉันยังไม่ได้กัดหล่อน.....

นี่ล่ะจะเป็นข้อพิสูจน์ความพยายามอันยาวนานของพวกเรา......




แต่ทว่า......

ทันใดนั้นก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น


ว๊ายยย!!”


ด้วยความว่องไวเฉกเช่นนักล่า   คามิวพุ่งเข้าไปถึงตัวต้นเสียงทันที   ก่อนจะพบว่ามีดปอกผลไม้ตกอยู่ที่พื้น    พร้อมกับนามิที่กำลังกุมมือข้างที่ถูกมีดบาดเอาไว้ 



เลือดจากบาดแผล   ที่หยดลงบนพื้นส่งกลิ่นอันหอมหวนไปทั่งทั้งห้อง   ส่งผลให้คามิวเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิม    ดวงตาสีฟ้าครามอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน  กลับกลายเป็นดวงตาที่แข็งกระด้าง   เต็มไปด้วยความหิวกระหาย......


มนุษย์คือมิตร....ไม่ใช่อาหาร....

เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว  ทว่า....


ก่อนที่เขาจะรู้ตัว   ก็กลับพบว่าตัวเองฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอหล่อนเสียแล้ว!!


ร่างอันบอบบางของหญิงสาวกระตุกเฮือก พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตระหนก   แล้วอึดใจนั้นหล่อนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่

แล้วร่างงามของหล่อนก็ถึงกับอ่อนเปลี้ยลงในอ้อมแขนของคามิว


..........................................................


โครม!!!!”

เสียงประตูบ้านถูกถีบเข้ามาเต็มแรง  พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มอีก2คนที่พรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ไอ้บ้าเอ๊ยยย!!!..........  มิโร่คำรามดังลั่น พร้อมกับปราดเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน   ในขณะที่คาน่อนรีบเข้าไปประคองหญิงสาวที่กำลังจะหมดสติ


นามิ!...ทำใจดีๆไว้นะ  น้ำเสียงอันทุ้มห้าวของคาน่อนดังขึ้นอย่างร้อนใจ   พร้อมกับช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วมุ่งตรงไปที่โซฟา


แก!....  ไอ้คามิว...ไหนแกว่ามนุษย์คือมิตร  ไม่ใช่อาหารไงฟะ!!”  มิโร่ตะครุบบ่าของสหายที่กำลังจะบัดตัวอย่างแรงไว้แน่นด้วยกรงเล็บอันแข็งแกร่งแล้วจับเขย่าเต็มแรงเพื่อเรียกสติ

ทว่า  ดูราวกับว่าสัญชาติญาณดั้งเดิมนั้นจะมีอำนาจมากกว่า.....
เมื่อดีมอนหนุ่มยังคงดิ้นรนพร้อมทั้งแยกเขี้ยวคำรามอย่างกระหายเลือด



ไม่มีทางเลือก.....

และไวกว่าความคิด   มิโร่รีบถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างรวดเร็ว   พร้อมกับยื่นแขนของตัวเองเข้าไปตรงหน้าสหายที่กำลังคลั่ง

เอ้า!!กินซะ....แล้วก็รีบๆสงบซะที!”




อือม์....ไม่เอาคนนี้   จะเอามิวๆ  เสียงใสจากร่างบางที่ยังคงเพ้อหาอย่างคนไม่ได้สติ   ทำให้คาน่อนถึงกับฉุนกึก


อยากตายนักหรือไงยายบ้า!!”  ดีมอนหนุ่มหันมาตวาดให้หนหนึ่งพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่

....นี่ถ้าหากว่าเขามิได้เพิ่งอิ่มหนำสำราญมาจากเหยื่อรายล่าสุด    หล่อนคงไม่พ้นคมเขี้ยวเขาเป็นแน่...


....................................................


คาน่อน!!.....ไปกันเถอะ..   ขืนอยู่นานกว่านี้เดี๋ยวเกิดมีพวกเราคนใดคนนึงตบะแตกขึ้นมาอีกมันจะยุ่ง  มิโร่จัดแจงเลียเลือดที่แขนจนสะอาดแล้วลากคามิวออกไปจากบ้าน   ตามด้วยคาน่อนที่เดินตามออกมา


ไว้เราค่อยส่งเมล์ขอโทษไปให้หล่อนก็แล้วกันนะ  คามิวเอ่ยเสียงเครียดอย่างรู้สึกผิด   ที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้


เออว่ะ!...ก็บอกแล้วว่าให้กินให้อิ่มก่อน   ค่อยเข้าไปเจอหล่อนก็ไม่เชื่อกันนี่หว่าคาน่อนหันมาบ่นอุบอิบ   ก่อนที่จะเดินนำหน้าสหายทั้ง2ห่างออกไป





.......คำบอกเล่าที่พวกเรามักจะได้รับเมื่อครั้งยังเด็ก...   ว่ากลางคืนอย่าออกจากบ้าน....มิใช่เรื่องโกหกไร้สาระ   ทว่า....มันมีเหตุผล...

ก็เป็นเช่นนี้เอง......



~End~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น