แสงจันทร์อันเย็นตาทอแสงนวลอาบไล้ไปทั่วพื้นพิภพ
ท่ามกลางละอองหมอกอันแสนเบาบางที่แผ่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณย่านที่อยู่อาศัยของผู้คน...
เกสต์เฮาท์แบบโบราณ ตลอดจนบ้านเรือนในรูปแบบเก่าแก่ที่ทางการได้อนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับในอดีต....
แม้ว่าประเทศกรีซ จะได้เคยผ่านร้อนผ่านหนาว
ตลอดจนก้าวข้ามกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานหลายศตวรรษ หากทว่า.....
“เธอ”
ก็คงยังยืนหยัดอยู่ได้อย่างสง่างามอย่างเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต
แต่ใครเลยจะรู้ว่า...ในยามที่ความมืดย่างกรายเข้ามาเยือนนั้น
มีอะไรบ้าง....ที่เที่ยวเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกนั่น...
บางครั้ง....เรื่องเล่าอันเก่าแก่โบร่ำโบราณ หรือว่าตำนานปรำปรานั้น ก็มีเค้าโครงมาจากความเป็นจริง และมิใช่เรื่องที่ควรจะมองข้าม....
โดยเฉพาะ
เรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งที่ออกหากินในยามวิกาลและเสพโลหิตเป็นภักษา
.........อย่างเช่นดีมอน
.......คำบอกเล่าที่พวกเรามักจะได้รับเมื่อครั้งยังเด็ก... ว่ากลางคืนอย่าออกจากบ้าน....มิใช่เรื่องโกหกไร้สาระ ทว่า....มันมีเหตุผล…..
ดีมอนหนุ่มรูปงามจำนวน3คน ได้ปรากฏกายขึ้นบนถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง....
ทว่า.. คืนนี้พวกเขามีเป้าหมายต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา
หลังจากที่ได้โต้เถียงกันอย่างดุเดือดกับสภาสูงของดีมอน
เรื่องการแอนตี้การกระทำที่โหดร้ายต่อมนุษย์เมื่อหลายคืนที่ผ่านมานั้น ทำให้พวกเขาทั้ง3
ได้ตัดสินใจที่จะทำการทดสอบ....จิตใจของตนเอง
และเพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงที่ว่า....ดีมอนก็รักสันติเป็นเหมือนกัน....
ทั้งกลุ่มจึงได้ส่งตัวแทน1คนออกไปทำการทดสอบในค่ำคืนนี้
“จำใส่หัวเอาไว้นะพวกเรา มนุษย์คือมิตร....ไม่ใช่อาหาร!”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ดังกังวานของดีมอนคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวมมั่นคงยิ่งนัก ในขณะที่อีก2คนต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
“ใช่แล้วคามิว.....พวกเราอุตส่าห์หาอาสาสมัครที่จะมาทำการทดลองครั้งนี้ได้อย่างยากลำยาก.....
ยังไงซะ..นายจะพลาดไม่ได้เด็ดๆนา”
สหายรักที่ออกล่าด้วยกันเป็นประจำนาม..
มิโร่เอ่ยขึ้นเป็นคนถัดมา.....
เรือนผมสีน้ำเงินเข้มอมม่วงที่ยาวสลวย
รวบหลวมๆไว้ที่ท้ายทอยด้วยเชือกหนังเส้นเก่าคร่ำคร่า
ในขณะที่ดวงหน้าอันหล่อเหลาคมคายที่ยังคงแฝงกายอยู่ในเงามืด ตลอดจนเรือนที่ร่างสูงแกร่งกำยำ เปล่งรัศมีกร้าวเยี่ยงนักล่าแห่งรัตติกาล
“ข้าไม่พลาดล่ะน่า....ไว้ใจได้เลย คืนนี้พวกเราจะกลับไปอย่างผู้ชนะ แล้วทีนี้ล่ะ....
ข้าจะตอกหน้าเจ้าซากะให้หงายหลังไปเลย”
“เฮ้อ!....”
เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
ดังมาจากชายหนุ่มคนที่3
ที่สู้ทนนิ่งฟังอยู่นานจนในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้
ช่วงขายาวแข็งแรงก้าวพ้นเงามืดออกมา
เรือนผมหยักศกสีน้ำเงินที่ยาวสยายถึงสะโพกเพรียวแกร่งพริ้วไหวไปตามแรงลม
ในขณะที่เรือนร่างสูงสง่าผึ่งผายยกแขนขึ้นท้าวสะเอว
พร้อมกับดวงตาสีน้ำเงินอันวาววับที่จับจ้องใบหน้าของสหายอีก2คนอย่างไม่สู้จะพอใจนัก
“จะยังไงนั่นก็พี่ชายข้า....พวกเจ้าก็ให้มันน้อยๆหน่อยแล้วกันน่า” คาน่อนเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงอันติดจะหงุดหงิด
“พอๆ......โน่น ลุยเลยคามิว
บ้านพักของหญิงสาวที่จะมาเป็นอาสาสมัครให้พวกเราอยู่โน่นแล้ว
ตามที่ตกลงนะเพื่อน.....ถ้าเมื่อไหร่เห็นท่าไม่ดี เราจะบุกเข้าไปในทันที....”
คามิวสูดหายใจเข้าโดยแรงเพื่อเรียกความมั่นใจ
ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปยังประตูไม้สีทึมๆอันเก่าคร่ำคร่าของเกสต์เฮาท์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ก่อนจะเอื้อมมือไปเคาะประตู
“ก็อกๆ”
ในอึดใจเดียวกันนั้นเอง ที่ประตูเปิดออก พร้อมกับสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งยืนแอบอยู่หลังบานประตูนั้น
“นามิใช่มั้ยครับ” ดีมอนหนุ่มถามอย่างลังเลใจ ก่อนจะขยับก้าวเข้าไปข้างใน
แต่แล้วก็ต้องหรี่ตาลงเมื่อแสงไฟในบ้านทำให้เขาตาพร่าจนมองอะไรไม่เห็น
“ค่ะ...ฉันเอง คือคนที่คุณติดต่อไปทางเมล์”เสียงใสตอบอย่างเป็นกันเอง ดวงตากลมโตสีดำขลับราวกับคืนเดือนมืดจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มอย่างไม่วางตา
“คือ....จะเป็นพระคุณมากถ้าคุณจะช่วยหรี่ไฟ..”คามิวบอกด้วยน้ำเสียงอันตะกุกตะกักพร้อมกับยกแขนขึ้นบังดวงตา
หญิงสาวทำตาโต
“โอ...ตายจริง......ขอโทษนะคะ พอดีฉันลืมไป”หล่อนร้องแล้วรีบวิ่งไปหรี่ไฟ
แล้วในอึดใจนั้น
แสงสว่างในห้องก็พลันลดลงเหลือแค่เพียงแสงสลัวๆของโคมไฟเพียงดวงเดียว
(เหมือนจะโรแมนติกชอบกล)
หญิงสาว
ในชุดติดกันสีเขียวอ่อนที่ขับผิวขาวผ่องกับใบหน้าอันงดงามน่ารัก
ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ลงตัวอย่างไม่มีที่ติจากซีกโลกตะวันออก ผายมือเชิญให้ชายหนุ่มผู้มาเยือนนั่งลงที่เก้าอี้รับแขก
“ฉันกำลังกังวลเชียวค่ะ ว่าคุณจะมาจริงๆรึเปล่า ในเมื่อฉันลงทุนขึ้นเครื่องมาถึงกรีซแล้ว”
“แต่ไหนๆคุณก็มาแล้ว...เราจะเริ่มกันเลยดีมั้ยคะ....เพราะฉันจะต้องจับเครื่องกลับบ้านวันพรุ่งนี้แล้วล่ะค่ะ”
คามิวยิ้มน้อยๆอย่างอ่อนโยนพลางนึกขำกับท่าทีของสาวแปลกหน้าชาวมนุษย์ผู้นี้
เรือนร่างอันสูงสง่าผึ่งผายนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟา
เรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลทิ้งตัวยาวคลุมแผ่นหลัง
ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าครามและใบหน้าอันขาวซีดกำลังจ้องมองหล่อนอย่างสนอกสนใจ ด้วยสาวน้อยตัวเล็กๆตรงหน้านี้ช่างงดงามน่ารักนัก
นานแค่ไหนแล้ว
ที่จะมีมนุษย์ตัวเล็กๆสักคนเข้ามาพูดคุยกับเขาได้นานเกินกว่า5นาที โดยที่ยังมีลมหายใจเหลืออยู่......
“ครับ”
เขาตอบรับอย่างแผ่วเบา
“งั้น....ช่วยบอกเล่าความเป็นตัวคุณให้ฟังทีสิคะ”นามิเปิดฉากอย่างเป็นทางการด้วยการพุ่งเป้าหมายเข้าสู่จุดมุ่งหมายหลัก คือ....การได้ทำความรู้จักกับดีมอนสักตัว
“ก็....ไม่มีอะไรมากครับ...
พวกเรามีชีวิตอยู่ได้นานตราบเท่าที่ข้างนอกนั่นยังมีเลือดให้เรากิน เพียงแค่....เราไม่ชอบแสงสว่าง
นอกนั้น....เราก็มีทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต่างจากมนุษย์หรอกครับ”
“อือม์ๆ……”หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ในขณะที่มือจดชอตโน้ตอย่างละเอียดยิบ
“แล้ว....เขี้ยวของคุณ....”
ถึงตอนนี้หล่อนถามขึ้นมาอย่างลังเล
ก่อนจะต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
เมื่อเขาเผยคมเขี้ยวคู่ยาวในปากให้เห็น
…โอ้ว.....หวังว่านั่นคงจะเป็นของแท้นะ...
“แต่ว่าเห็นอย่างนี้แล้ว...คุณอย่างเพิ่งนึกกลัวเสียก่อนนะครับ เพราะพวกผมตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายมนุษย์โดยไม่จำเป็น”
...ถึงจำเป็นก็ห้ามทำย่ะ....
“คือ...พวกผมเองก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน ว่าดีมอนอย่างเราๆ สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้โดยสันติ”
นามิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
พลางเล่นปลายผมหางม้าที่ดำขลับและยาวตรงของตัวเองอย่างใจลอย
ในขณะที่หัวสมองกำลังนึกถึงนิทานก่อนนอนที่แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งยังเล็ก
…น่าเหลือเชื่อนัก ว่าดีมอนจะมีอยู่จริง และถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตา หล่อนก็คงจะยังไม่ปักใจเชื่อ
ทว่า.....สาเหตุที่หล่อนยอมตกปากรับคำเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ ก็เพราะชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้แหละ
ทันทีที่ได้เห็นหน้าเขา...หล่อนก็รู้ได้ทันทีว่า....
คนนี้ล่ะ...ใช่เลย.....
“เอ้อ!....ลืมสนิทเลยว่าฉันปอกแตงโมค้างไว้ รอเดี๋ยวนะคะ จะยกมาให้คุณ”หล่อนบอกทันทีที่นึกขึ้นได้ พร้อมกับวิ่งหายเข้าไปในครัว
ปล่อยให้คามิวนั่งคอยอยู่ที่โซฟาตัวเดิมอย่างใจชื้นขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
....เป็นไงล่ะ......ฉันยังไม่ได้กัดหล่อน.....
นี่ล่ะจะเป็นข้อพิสูจน์ความพยายามอันยาวนานของพวกเรา......
แต่ทว่า......
ทันใดนั้นก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น
“ว๊ายยย!!”
ด้วยความว่องไวเฉกเช่นนักล่า คามิวพุ่งเข้าไปถึงตัวต้นเสียงทันที ก่อนจะพบว่ามีดปอกผลไม้ตกอยู่ที่พื้น พร้อมกับนามิที่กำลังกุมมือข้างที่ถูกมีดบาดเอาไว้
เลือดจากบาดแผล
ที่หยดลงบนพื้นส่งกลิ่นอันหอมหวนไปทั่งทั้งห้อง
ส่งผลให้คามิวเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิม ดวงตาสีฟ้าครามอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน กลับกลายเป็นดวงตาที่แข็งกระด้าง เต็มไปด้วยความหิวกระหาย......
มนุษย์คือมิตร....ไม่ใช่อาหาร....
เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว ทว่า....
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว
ก็กลับพบว่าตัวเองฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอหล่อนเสียแล้ว!!
ร่างอันบอบบางของหญิงสาวกระตุกเฮือก
พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตระหนก
แล้วอึดใจนั้นหล่อนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่
แล้วร่างงามของหล่อนก็ถึงกับอ่อนเปลี้ยลงในอ้อมแขนของคามิว
..........................................................
“โครม!!!!”
เสียงประตูบ้านถูกถีบเข้ามาเต็มแรง
พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มอีก2คนที่พรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไอ้บ้าเอ๊ยยย!!!..........”
มิโร่คำรามดังลั่น พร้อมกับปราดเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน
ในขณะที่คาน่อนรีบเข้าไปประคองหญิงสาวที่กำลังจะหมดสติ
“นามิ!...ทำใจดีๆไว้นะ”
น้ำเสียงอันทุ้มห้าวของคาน่อนดังขึ้นอย่างร้อนใจ
พร้อมกับช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วมุ่งตรงไปที่โซฟา
“แก!....
ไอ้คามิว...ไหนแกว่ามนุษย์คือมิตร
ไม่ใช่อาหารไงฟะ!!”
มิโร่ตะครุบบ่าของสหายที่กำลังจะบัดตัวอย่างแรงไว้แน่นด้วยกรงเล็บอันแข็งแกร่งแล้วจับเขย่าเต็มแรงเพื่อเรียกสติ
ทว่า
ดูราวกับว่าสัญชาติญาณดั้งเดิมนั้นจะมีอำนาจมากกว่า.....
เมื่อดีมอนหนุ่มยังคงดิ้นรนพร้อมทั้งแยกเขี้ยวคำรามอย่างกระหายเลือด
ไม่มีทางเลือก.....
และไวกว่าความคิด มิโร่รีบถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับยื่นแขนของตัวเองเข้าไปตรงหน้าสหายที่กำลังคลั่ง
“เอ้า!!กินซะ....แล้วก็รีบๆสงบซะที!”
“อือม์....ไม่เอาคนนี้ จะเอามิวๆ” เสียงใสจากร่างบางที่ยังคงเพ้อหาอย่างคนไม่ได้สติ ทำให้คาน่อนถึงกับฉุนกึก
“อยากตายนักหรือไงยายบ้า!!”
ดีมอนหนุ่มหันมาตวาดให้หนหนึ่งพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่
....นี่ถ้าหากว่าเขามิได้เพิ่งอิ่มหนำสำราญมาจากเหยื่อรายล่าสุด หล่อนคงไม่พ้นคมเขี้ยวเขาเป็นแน่...
....................................................
“คาน่อน!!.....ไปกันเถอะ..
ขืนอยู่นานกว่านี้เดี๋ยวเกิดมีพวกเราคนใดคนนึงตบะแตกขึ้นมาอีกมันจะยุ่ง”
มิโร่จัดแจงเลียเลือดที่แขนจนสะอาดแล้วลากคามิวออกไปจากบ้าน ตามด้วยคาน่อนที่เดินตามออกมา
“ไว้เราค่อยส่งเมล์ขอโทษไปให้หล่อนก็แล้วกันนะ”
คามิวเอ่ยเสียงเครียดอย่างรู้สึกผิด
ที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
“เออว่ะ!...ก็บอกแล้วว่าให้กินให้อิ่มก่อน ค่อยเข้าไปเจอหล่อนก็ไม่เชื่อกันนี่หว่า”คาน่อนหันมาบ่นอุบอิบ ก่อนที่จะเดินนำหน้าสหายทั้ง2ห่างออกไป
.......คำบอกเล่าที่พวกเรามักจะได้รับเมื่อครั้งยังเด็ก...
ว่ากลางคืนอย่าออกจากบ้าน....มิใช่เรื่องโกหกไร้สาระ ทว่า....มันมีเหตุผล...
ก็เป็นเช่นนี้เอง......
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น