ในที่สุดมันก็ผ่านพ้นไปแล้วใช่ไหม....
พายุมฤตยูที่เฝ้าพัดโหมกระหน่ำไม่หยุดมาถึง14วัน14คืนเต็มๆ...
มหันตภัยร้าย..
ที่กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างลงสู่ท้องมหาสมุทร กลืนกินชีวิตลูกเรือมากมาย
แทบมิแตกต่างอะไรกับอสูรกายแห่งท้องทะเลลึกที่มีตัวตนอยู่แค่ในตำนานปรัมปราของชาวเรือ
เสียงไชโยโห่ร้องอย่างยินดีของพวกกลาสีที่ยังเหลือรอด
ท่ามกลางท้องฟ้าใสและแสงตะวันอันอบอุ่นอ่อนโยน
กับสายลมเย็นระรื่นที่พัดพาเอากลิ่นไอแห่งความหวังมาให้
เปรียบเสมือนเสียงเพลงกล่อมเด็กสำหรับข้าในเวลานี้
ถึงแม้ว่าบนเรือจะไม่มีน้ำจืดเหลืออยู่เลย
อีกทั้งเสบียงทั้งหมดก็ยังถูกคลื่นซัดจมหายไปในทะเลตั้งแต่2วันก่อน เมื่อพวกเราสุดที่จะคุ้มครองมันเอาไว้ได้ เพียงแค่จะเอาชีวิตให้รอดจากคลื่นมฤตยูนั่นก็แทบแย่แล้ว.....
ทว่า... ถึงกระนั้นพวกเราทุกคนก็ยังคงมีความหวังว่าจะต้องได้พบแผ่นดินในอีกไม่นาน
และเมื่อถึงเวลานั้นเราจะได้อาบน้ำหลังจากที่ไม่ได้อาบมานานแรมเดือน ได้ดื่มและกินมากเท่าที่ต้องการ
ข้าหลับตาลงช้าๆ......
พยายามจะไม่นำพากับความเจ็บปวดจากบาดแผลที่กลางหลังอันเกิดจากเสากระโดงเรือที่หักลงมาฟาด หากว่าข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง
คืนนั้นคงจะเป็นคืนสุดท้ายที่ข้าจะได้มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ข้านึกขอบใจต่อชะตากรรมที่ทำให้ข้าได้กลายเป็นเซนต์..... ด้วยนามของเลโอ ไอโอเรียย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าบาดแผลแค่นี้มันขี้ประติ๋วเพียงไร
หึ.....
หากสวรรค์อยากจะได้ชีวิตข้าคงจะต้องใช้มากกว่าคลื่นกระจอกงอกง่อยนั่นล่ะนะ
ทว่า... ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้ายังคงยืนกรานที่จะมีชีวิตรอดต่อไปก็คือ.... ..จดหมายของเจ้า.
ยอดรักของข้า....
ลายมืออันสวยงามน่ารักในกระดาษแผ่นน้อยที่เจ้าทิ้งใว้ให้ข้า
ทำให้ข้าตัดสินใจออกเดินทางตามหาเจ้ามายังแดนดินถิ่นทะเลใต้ที่อยู่ไกลแสนไกลสุดขอบฟ้า......
ข้าไม่เชื่อพวกเขาหรอก แม้ใครๆจะบอกข้าว่าเจ้าตายแล้ว แต่ข้ารู้....
ว่าเจ้ายังคงรอข้า อยู่ที่ไหนสักแห่ง
……If you try, you'll
find me Where the sky meets the sea.
Here am I your
special island Come to me, Come
to me…………
ข้าก็กำลังไปหาเจ้าอยู่นี่ไง....
เจ้าคงกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนเงียบๆแต่เพียงลำพังอย่างเคยสินะ พร้อมทั้งเก็บความเหงาและโหยหาเอาไว้ในใจ ด้วยความที่เจ้าเป็นเซนต์หญิงจึงมิอาจกระทำสิ่งที่ตรงกับใจได้และข้าก็เห็นใจเจ้าตลอดมา.....
แต่เจ้ารู้มั้ย
ว่าการเป็นเซนต์ชายก็มิได้ทำให้หัวใจข้าเป็นอิสระนักหรอก เมื่อสตรีที่ข้าเฝ้าหลงรักมาตลอดเวลาหลายปีนั้นช่างไว้ตัวเหลือเกิน ด้วยกฏเกณฑ์ข้อห้ามมากมายของการเป็นเซนต์หญิงมันรัดตัวเจ้าไว้เสียแน่นเลยใช่ไหม... เจ้าจึงยอมถอดหน้ากากออก ก็ต่อเมื่อเวลาที่เจ้าเข้ามาหาข้าในยามค่ำคืน.... ในความฝันของข้าเท่านั้น
แต่ว่าครั้งนี้ข้าจะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว...
หากว่าข้าพบเจ้า... คราวนี้ข้าจะโอบกอดเจ้าไว้ด้วยสองแขนของข้า
ข้าจะจุมพิตเจ้าให้สมกับความคิดถึงที่อัดแน่นจนเจียนระเบิดออกมาจากอก
เจ้าเป็นของข้า.... ของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น......
“เห็นแผ่นดินแล้ว!!!!”
เสียงตะโกนก้องอย่างแสนยินดีปลุกให้ข้าตื่นจากภวังค์ พร้อมด้วยเสียงวิ่งโครมครามของเหล่าลูกเรือไปยังกราบเรื่องฝั่งหนึ่งที่แหว่งหายไปเกินครึ่ง
ก่อนที่คนอื่นๆจะกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจสุดชีวิต
....พวกเรารอดตายแล้ว.......
ความคิดนั้นทำให้ความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าที่ประดังกันเข้ามาพลันเลือนหายไปหมด ข้ากวาดสายตามองดูใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของพวกเขาอย่างยินดี พร้อมกับจับมือกับทุกคนด้วยความปลื้มปิติ
เกาะกลางทะเลอันแสนโดดเดี่ยวที่เห็นลิบๆอยู่เบื้องหน้า เปรียบเสมือนรางวัลจากพระผู้เป็นเจ้า ที่ประทานให้แก่พวกเราทุกคน ที่สามารถเอาชีวิตรอดมาจากการทดสอบของพระองค์ได้แต่กระนั้นข้าก็รู้ดี ว่ารางวัลสูงสุดของข้ามิใช่เกาะเล็กๆเบื้องหน้านั้น......
Bali Ha'i will
whisper… In the wind of the sea…
"Here am I, your special island!..... Come to me, come to me!"
ราวกับเกาะนั้นจะมีมนตร์ขลังบางอย่างเมื่อข้าแน่ใจว่ามันกำลังเพรียกหาข้าอยู่ เสียงกระซิบอันอ่อนหวานนุ่มนวลของมันล่องลอยอยู่ในสายลม ทว่า....
ข้ากลับได้ยินเป็นเสียงของเจ้ามากกว่า....
เจ้ากำลังเพรียกหาข้าใช่มั้ย ...ยอดรักของข้า....
You'll hear me call you,
Singin' through the sunshine
Sweet and clear as can be………
หึ.... ช่างน่ารักเสียจริง.....
แล้วข้าจะรับขวัญเจ้า ให้สมกับที่รอคอย....
อีกไม่นานแล้ว.... ยอดรัก..
อีกไม่นานเราก็จะได้พบกัน......
~End~
Dune
ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ช่างงามเหลือเกิน......
ดวงดาวเกลื่อนท้องฟ้ายามราตรีที่กระพริบแสงวับวาวประชันขันแข่งกันอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างสีดำสนิทนั้นพอจะบรรเทาความทรมานในจิตใจของข้าให้เบาบางลงได้บ้าง ในขณะที่เนินทรายน้อยใหญ่ที่มองเห็นจากมุมสูงของพระราชวังในยามทิวา เมื่อต้องแสงตะวันอันแผดร้อนเห็นเป็นลอนคลื่นลูกแล้วลูกเล่าต่อเนื่องกันออกไปไม่มีที่สิ้นสุดนั้น กลับทำให้ใจข้าอ้างว้างเดียวดายยิ่งนัก
ถึงแม้นว่าข้า.... จะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มอำนาจจากเชษฐาต่างมารดาของข้าแล้วปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทนที่แล้ว ...เสียงก่นด่าประณาม เหยียดหยามดูแคลนจากวงศาคณาญาติที่เคยได้ยินกรอกหูอยู่ทุกค่ำเช้าตั้งแต่จำความได้นั้นก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า....
ด้วยเหตุที่ข้าถือกำเนิดขึ้นมาจากนางทาสในฮาเร็มของพระบิดาข้า.....
เจ้าชายองค์น้อย.. จึงไม่เป็นที่ต้องการของผู้ใดทั้งสิ้น
พวกมันพากันดูถูกเหยียดหยามกระทั่งมารดาข้าและปฏิบัติต่อข้าราวกับสัตว์ตัวหนึ่งก็มิปาน..
แม้นว่าในยามนี้ซากอันปราศจากวิญญาณของพวกมันจะถูกแขวนเอาไว้ให้เป็นทานแก่แร้งกาอยู่ที่ด้านนอกกำแพงเมืองตั้งนานแล้ว ทว่ามันก็หาทำให้จิตใจอันรุ่มร้อนไปด้วยเพลิงแค้นของข้าเบาบางลงไม่
อาจเป็นด้วยเพราะบรรดาเหล่าเสนาข้ารับใช้น้อยใหญ่ที่แสดงท่าทียำเกรงต่อข้า ด้วยหัวใจที่คิดคดไม่ซื่อตรง ข้ารู้ดี........
วันใดที่ข้าเผลอ วันนั้นพวกมันคงจะไม่รีรอที่จะปาดคอข้า เช่นเดียวกับที่ข้าได้กระทำต่อเหล่าเชษฐาและอนุชาของตนเอง
ข้าโหดเหี้ยมอำมหิต เลือดเย็น
ไร้หัวใจ..
และมันก็ช่างสมกับนามที่พวกมันตั้งให้ข้ายิ่งนัก....
แคนเซอร์ เดธมาร์ค
....หึ... ข้าชอบชื่อนี้จริงๆ.....
แต่ในเวลานี้ข้าจะเก็บชีวิตของพวกมันไว้ก่อน
แม้ว่าเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ทั้ง2ที่มักจะหมอบอยู่แทบเท้าข้ามิห่างจะแสดงทีท่ากระตือรือร้นอยากจะลิ้มรสเนื้อของพวกมันก็ตามที
.....สักวันหนึ่งเถอะ
ข้าจะให้พวกเจ้าจะได้ลิ้มรสเลือดเนื้อของพวกมัน
ข้าขอสัญญา เจ้าเพื่อนยาก.....
ข้ายกมือขึ้นลูบขนสั้นเกรียนสีดำมันวาวดุจกำมะหยี่ของสหายรัก ในขณะที่มันครางเสียงต่ำอยู่ในลำคออย่างพออกพอใจ ก่อนจะเหยียดร่างลงนอนตะแคงและกางเล็บออกอันแสดงถึงท่าทางที่สนิทชิดเชื้ออย่างที่สุดหากข้ากลับมิได้แย้มยิ้ม เมื่อหัวใจข้าได้ลอยไปสู่เขตหวงห้ามของฝ่ายใน....
และก็เช่นเดียวกับทุกค่ำคืน
ที่เท้าทั้ง2ที่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตนจะได้นำพาร่างไปยังแหล่งพักพิงที่สิงสถิตของหัวใจ... ไปยังห้องของนาง
สตรีผู้อยู่เหนือสตรีทั้งมวล
นางผู้มีเส้นเกศาและดวงเนตรสีม่วงอันเปล่งประกายงดงามยิ่งกว่าดวงดาวบนฟากฟ้า.... ผู้ที่ข้าจ่ายเงินซื้อมาเช่นเดียวกับนางอื่นๆในฮาเร็ม
ข้าหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของนางแล้วแหวกม่านแพรบางใสเข้าไป ก่อนจะต้องประหลาดใจด้วยที่ผ่านมา
ข้ามักจะพบว่านางเข้านอนแล้วทุกครั้งไปทว่าคืนนี้นางกลับยืนคอยข้าอยู่ ด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งและสูงส่งราวกับนางพญา
....นางจะรู้หรือไม่
ว่าเหตุใดข้าจึงมิเคยได้แตะต้องเชยชมนาง เช่นเดียวกับสตรีคนอื่นๆในฮาเร็ม.....
“เจ้ารู้งั้นหรือ ว่าข้าเฝ้ามองเจ้าอยู่ทุกค่ำคืน.....”
นางไม่ตอบ หากแต่การที่คืนนี้นางยังมิได้เข้านอนก็พอจะเป็นคำตอบสำหรับข้าได้
และมันก็ทำให้หัวใจข้าพองโตยิ่งกว่าครั้งใดๆที่ผ่านมา
.....นางรอข้า......
ความคิดนั้นทำให้หัวใจข้าราวกับจะติดปีกโบยบิน
ด้วยตลอดมานั้นข้าเปรียบเสมือนคนโง่เง่าที่จ่ายเงินซื้อของสูงค่ามาแล้วมิยอมเชยชมให้สมรักด้วยข้าหวาดกลัว... กลัวยิ่งนักว่ามืออันหยาบกร้านที่เต็มไปด้วยคราบโลหิตของข้าจะทำให้ผิวกายขาวผุดผ่องดุจงาช้างของนางต้องมีมลทิน
สตรีสาวผู้งดงามล้ำค่าจากซีกโลกตะวันออก
....เจ้าของนามอันไพเราะที่ทำให้ข้ารู้สึกอุ่นซ่านได้ทุกครั้งยามคิดถึง
......ซาโอริ.......
สายลมยามดึกที่พัดเอากลิ่นไอของทะเลทรายเข้ามาทางระเบียงกว้างทำให้เส้นผมยาวเคลียสะโพกผายพลิ้วสะบัด เช่นเดียวกับภูษาขาวนวลสีงาช้างที่ถูกสัมผัสเย็นยะเยือกลูบไล้ให้เนื้อผ้าบางเบาแนบติดลำตัว
นางช่างงดงามนัก.... ราวกลีบดอกไม้ที่ต้องน้ำค้าง
ประหนึ่งความชุ่มฉ่ำของโอเอซิสท่ามกลางความแห้งแล้งของผืนทรายอันเวิ้งว้างสุดขอบฟ้า
ข้ายกมือขึ้นแตะผ้าโพกศีรษะของตนเพื่อทักทายนางแล้วก้าวเข้าไปใกล้
ก่อนจะย่อกายลงคุกเข่าแล้วยกชายกระโปรงบางเบาของนางขึ้นจุมพิตแผ่วเบาพลางสูดกลิ่นหอมหวานบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด
“พระองค์คือเจ้าชีวิตของหม่อมฉัน... อย่าทรงทำเช่นนี้เลย...”
อัลเลาะห์ทรงโปรด....... เสียงของนางช่างกังวานใส ไพเราะดุจดังระฆังเงิน
เพียงแค่ได้ฟัง
หากแม้นต้องดับดิ้นสิ้นชีวาลงในนาทีนี้ข้าก็จะไม่นึกเสียดายเลย......
“แต่เจ้าคือเจ้าหัวใจของข้า
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกันอย่างแท้จริงทว่าข้าก็มั่นใจในเรื่องนี้...”
ข้าจ้องมองลึกเข้าไปในดวงเนตรสีม่วงใสของนางด้วยความรักและเทิดทูน
ก่อนจะแนบใบหน้าเข้ากับชายภูษานั้นอย่างแสนเสน่หาโดยมิยอมแตะถูกผิวกายนางแม้เเต่ปลายก้อยพร้อมกับรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก ราวกับข้าได้กลับมาถึงบ้านของตนเองแล้วก็ไม่ปาน.....
เเละเเล้วข้าก็ได้เข้าใจในที่สุด.....
ความสุขชั่วชีวิตของข้ามิใช่ราชบัลลังก์หรือยศถาบรรดาศักดิ์ หากแต่เป็นสตรีสาวนามว่า...
ซาโอริ
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น