8/16/2555

Special Request For MISAKICHAN : Without The Moonlight (ไร้จันทร์) nc17







อา.....      


ข้าเกลียดตัวเองเหลือเกิน   

ผีป่าตนใดมันเข้าสิงข้านะ  ถึงได้ทำให้ข้ากระทำการเช่นนั้นลงไปได้....  



ไม่สิ....     อันที่จริงเป็นเพราะคนๆนั้น....  

บุรุษผู้มีดวงตาสีฟ้าใสกับท่าทีที่ดูสงบนิ่งราวกับผิวน้ำมาตลอด



ใครเลยจะได้ทันคาดคิด    ว่าเพียงพริบตาเดียวที่ท้องฟ้าไร้เเสงจันทร์ "มันก็เกิดขึ้น   เมื่อเขาคนนั้นกลับเปลี่ยนเป็นคนละคนกับที่ตนเคยรู้จักมา



.....เวอร์โก  ชากะ...   


บุรุษผู้เปรียบเสมือนตัวเเทนเเห่งความดี...    ชายผู้ซึ่งพิสุทธิ์ดุจผ้าขาวสะอาดยิ่งกว่าผู้ใด


ทว่า....   ในคืนที่ไร้ซึ่งเเสงจันทร์   เขากลับกลายเป็นอสูรร้าย....



คามิวกัดริมฝีปากเสียจนห้อเลือดพลางเเข็งใจพยุงร่างอันบอบช้ำของตนกลับเข้าไปในห้อง    โดยพยายามที่จะไม่นำพากับความเจ็บปวดรวดร้าวที่เเผ่กระจายไปทั่วร่าง   หากเเต่รอยช้ำเป็นจ้ำๆตามร่างกายของตนก็เป็นหลักฐานฟ้องถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับชากะได้เป็นอย่างดี....  ถึงเเม้ว่ามันยากที่จะเชื่อก็ตามที    หากเเต่เขาก็คงต้องทำใจยอมรับ



ว่าตั้งเเต่นี้ต่อไป  ..ความสัมพันธ์ของทั้งตนเเละโกลเซนต์หนุ่มเเห่งวิหารที่6ได้เปลี่ยนไปเเล้ว....  


ตลอดกาล...........



.....................................................


"ชากะ....   วันนี้น่ะวันสิ้นปีทั้งทีนะ   เจ้าจะไม่ไปกับพวกเราหรือ"



ใช่....   เป็นเขาเอง   ที่เอ่ยปากชวนบุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าให้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศในวันสิ้นปีพร้อมๆกับสหายคนอื่นๆ   โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดประโยคนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไป....  ทั้งชีวิต



ในตอนนั้น...   ชากะยังคงไว้ซึ่งกิริยาอันเรียบเฉยสงบนิ่ง   เรือนร่างอันสูงสง่าผึ่งผายในชุดโกลครอธเวอร์โกซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับยังคงนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่เช่นเดิมพร้อมด้วยดวงตาที่ปิดสนิทราวกับกำลังเข้าฌาณ  

และยังต้องใช้เวลาอีกเป็นครู่  กว่าที่โกลเซนต์เวอร์โกจะตอบสนองต่อคำถามนั้น


"ไหนๆพวกเจ้าก็มีน้ำใจมาชวนข้าเเล้ว...   ครั้นจะปฏิเสธก็ดูจะไร้น้ำใจจนเกินไป



น้ำเสียงทุ้มนุ่มหลุดออกมาจากริมฝีปากเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ยาวในที่สุด    ก่อนที่บุรุษผู้งดงามจะค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ     เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าใสราวกับท้องฟ้าที่ไร้เมฆหมอกพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ


"ตกลง..   ข้าจะไปกับพวกเจ้า"   ชากะลุกขึ้นยืนในที่สุด  




ร้านอาหารในตัวเมืองกับบรรยากาศของวันสิ้นปี   เป็นอะไรที่เเสนจะครึกครื้นไปด้วยเสียงร้องรำทำเพลงของชาวบ้าน 


เสียงเฮฮาของผู้คนในร้านทั้งบุรุษ  สตรี   มีตั้งแต่วัยหนุ่มสาวเรื่อยไปจนกระทั่งวัยชรา   ที่บ้างก็ส่งเสียงร้องเพลงเพี้ยนๆผิดคีย์ด้วยความเมา   บ้างก็กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส...  กระทั่งบางกลุ่มที่กำลังเล่นไพ่ พร้อมด้วยกลุ่มมิตรสหายที่พนันขันต่อและวางเดิมพัน

 ประกอบกับกลิ่นเหล้าเเละอาหารอันโอชะมากมายหลายชนิดที่ลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วชวนให้ลิ้มลองนั้นเตะจมูกพวกตนเข้าอย่างจัง   เเละมันก็ส่งผลให้กระเพาะเริ่มส่งเสียงประท้วงทันที



มันเป็นภาพที่หาดูได้ไม่บ่อยนัก........   เมื่อโกลเซนต์จำนวนไม่ต่ำกว่า7-8คนในชุดลำลองพากันละทิ้งวิหารของตนลงมานั่งดื่มกิน  สรวลเสเฮฮากันอย่างสนุกสนานที่ร้านอาหารในตัวเมืองเช่นนี้   




...........................................................


ดึกดื่นค่อนคืนเต็มทีเเล้ว....  


หลังจากร้านปิดเป็นที่เรียบร้อยพวกตนก็พากันกลับวิหาร...   ภาพอันงดงามของถนนหนทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเนียนละเอียดสีขาวพร่างเเทบจะทำให้เหล่าโกลเซนต์หายเมาในชั่วอึดใจ   




จริงสินะ.........   เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นหลังจากนั้น....


เมื่อพวกตนได้กล่าวคำอวยพรให้เเก่กันพร้อมทั้งคำราตรีสวัสดิ์ให้เเก่มิตรสหายที่อยู่วิหารล่างๆเป็นที่เรียบร้อยเเล้วก็เหลือเพียงเเค่...... ตน.. เเละชากะเพียง2คน



"เดินไหวมั้ย  ชากะ" ด้วยความเป็นห่วง   คามิวจึงได้เอ่ยปากถามสหาย  ซึ่งเห็นได้ชัดว่าใบหน้าเเดงก่ำด้วยฤิทธิ์เหล้า    


อาจเป็นเพราะในเวลานั้น   คามิวเข้าใจว่าบุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าไม่เคยเเตะต้องเครื่องดื่มเหล่านั้นมาก่อน   เเละคืนนั้นอาจจะเป็นครั้งเเรกที่ชากะดื่มเหล้า   เขาจึงได้นึกเป็นห่วงสารพัด



"ข้า...  ข้าไม่เป็นไร


น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ชักเริ่มจะอ้อเเอ้ตอบกลับมา  ทว่าเรือนกายอันสูงใหญ่นั้นกลับส่ายโงนเงนอย่างน่ากลัวว่าคงจะกลับไปไม่ถึงวิหารของตนเป็นเเน่เเท้

คามิวได้เเต่ถอนหายใจ......    ช่วยไม่ได้   ขืนปล่อยชากะเอาไว้ในสภาพนี้สงสัยว่าคงจะไม่พ้นหลับอยู่ตรงนี้จนถึงเช้าอย่างเเน่นอน



"ส่งมือมาสิ....    ข้าจะประคองเจ้าเข้าไปในวิหารเอง



คามิวได้เเต่นึกเสียใจที่ตนหลวมตัวเเสดงความมีน้ำใจออกไป    เมื่อเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่เเทบจะโถมน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมาบนร่างของตน  ในขณะที่ท่อนเเขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนบ่าของฝ่ายตรงข้าม

นัยน์ตาสีฟ้าครามของโกลเซนต์อควอเรียสลอบสังเกตดวงหน้าอันเเดงก่ำของสหายอย่างพินิจพิเคราะห์   ด้วยสิ่งที่บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าเป็นอยู่ในเวลานี้   มันช่างห่างไกลจากภาพลักษณ์ปรกติอย่างเหลือเกิน   



.....คนๆนี้ช่างงามนัก.........  


ถึงเเม้ว่าจะเมามายเสียจนคอพับคออ่อนดูไม่จืด   หากเเต่เค้าโครงหน้า  จมูกที่โด่งเป็นสัน  ริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูป  .....ตลอดจนเเพขนตายาวงอนที่ปิดสนิทนั้น    คือความงดงามสมบูรณ์เเบบที่พระผู้เป็นเจ้าได้รังสรรค์เอาไว้ลงตัวอย่างไม่มีที่ติ




คามิวเเข็งใจพยุงร่างของสหายเข้าไปส่งถึงด้านในวิหาร



"เอ้า...   นั่งที่นี่ก่อน   รอเดี๋ยวนะ  ข้าจะไปชงชาเเก่ๆมาให้เจ้าดื่มจะได้ดีขึ้น"


ทว่ายังไม่ทันที่คามิวจะได้หันหลังกลับ..  ในเสี้ยวพริบตานั้นเองชากะก็คว้าข้อมือตนเอาไว้แน่น



"ไม่ต้องหรอก......   "


น้ำเสียงอ้อเเอ้ของบุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าดังขึ้นอย่างเเผ่วเบา   ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าครามของคามิวก็ต้องเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ   เมื่อพบว่าตนเองกำลังถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงเเขนของฝ่ายตรงข้าม  


ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาประหลาดใจได้มากเท่ากับการที่ตนเองถูกจับให้นั่งลงบนตักของสหายในสภาพเช่นนี้อีกแล้ว   และด้วยปฏิกิริยาโต้ตอบที่ฉับไวพอๆกันก็ทำให้เขาสะบัดตัวหนีทันที  




โครม!!”


ร่าง2ร่างหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นทั้งคู่   คามิวได้แต่สูดปากด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกว่าศีรษะฟาดเข้ากับพื้นแรงเอาการ   ในขณะที่ร่างอันหนาหนักชากะกลับทาบทับอยู่ด้านบน



"อะ..  " 


น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตระหนกต้องพลันชะงักงันอยู่เพียงเท่านั้น   เมื่อสัมผัสจากลมหายใจอันร้อนผ่าวที่เป่ารดอยู่ที่ซอกคอนั้นทำให้เลือดในกายของตนเเทบจะเย็นเป็นน้ำเเข็ง



"ข้าเสียใจ...   คามิว.."


ชากะเอ่ยเบาๆ   ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าใสคมกล้าเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นด้วยเเรงอารมณ์   



"อันที่จริงข้าเองก็ตั้งใจจะเตือนเจ้าอยู่เเล้วเหมือนกัน   .

....ว่าในเวลาเช่นนี้เจ้าควรจะอยู่ห่างๆจากข้าเป็นดีที่สุด   เเต่ว่าตอนนี้...."


ลมหายใจอันร้อนระอุของชากะที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้านั้นยิ่งทำให้คามิวต้องขวัญกระเจิง    เมื่อเขาพบว่าอ้อมเเขนเเข็งเเรงของโกลเซนต์เวอร์โกยิ่งกอดรัดตนเเน่นขึ้นอีก



"มันสายเกินไปเสียเเล้ว......"




เเละก่อนที่คามิวจะทันได้ห้ามปรามอะไร   เขาก็พบว่ามือใหญ่เเข็งเเรงข้างหนึ่งของชากะได้รุก
คืบจนเกินงามเสียเเล้ว.... เมื่อมันได้สอดเข้าไปในอกเสื้อของเขาเเละลูบไล้สัมผัสผิวกายอันเปล่าเปลือยของตนอย่างจาบจ้วง    ในขณะที่ริมฝีปากอันร้อนผ่าวได้ประทับเเน่น...   ฝังรอยจารึกลงบนลำคอของตนอย่างถือดี




"ยะ.. หยุดนะ  ..เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้กับข้า!!"


คามิวกระซิบเสียงสั่นในขณะที่พยายามจะลุกขึ้น  พร้อมกับดึงชายเสื้อลงมาปกปิดเรือนร่างของตน  ทว่า....



"ไม่มีสิทธิ์งั้นหรือ......  

หากเจ้าคิดว่าเพียงเท่านี้จะเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของในตัวเจ้าล่ะก็......  ข้าขอบอกว่าเจ้าคิดผิดเเล้ว...  คามิว"  





อควอเรียส  คามิวถึงกับสั่นสะท้านด้วยความกลัวอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน     อีกทั้งยิ่งไม่เคยนึกฝันว่าบุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ถึงเพียงนี้....    เมื่อในพริบตานั้นเอง  เขาก็ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตนออกจากร่างอย่างไม่เเยเเส   มิใยว่าตนจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล   




สัมผัสที่ดูหยาบช้ารุนเเรงนั้น   ถึงเเม้ว่าจะทำให้คามิวตกใจเสียใจหน้าถอดสี   ทว่า... 

มันก็ช่างน่าพิศวงนักที่เขากลับมิได้รับความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย....   ตรงกันข้าม.. มันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนหวานนุ่มนวลราวกับว่าชากะเกรงกว่าเขาจะบุบสลายได้กระนั้นล่ะ....   


เเม้กระทั่งกรงนิ้วอันเเข็งเเกร่งที่ยึดปลายคางของตนเอาไว้เเน่นเพื่อบังคับให้เงยหน้าขึ้นรับจุมพิตเเต่โดยดีนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความละมุนละไม...  

หากเเต่ปลายลิ้นที่ตวัดฉกเข้ามาในช่องปากเพื่อสำรวจความหอมหวานภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความเร่าร้อนรุนเเรงและโหยหาอย่างที่สุด    หากทว่า...  มันก็ยังมิอาจเทียบได้กับริมฝีปากอันผ่าวร้อนที่บดขยี้ลงมาอย่างหนักหน่วงเลยแม้แต่น้อย....




และในชั่วอึดใจนั้นเอง   คามิวก็พลันได้คิด...  


ก่อนที่สำนึกเเห่งผิดชอบชั่วดีจะเลือนหายไป    เขาจะต้องหนี...   หนีไปให้พ้นจากคนๆนี้....    





"คามิว.....  เป็นของข้าเถอะนะ"


ลมหายใจที่เริ่มขาดเป็นห้วงของเวอร์โก  ชากะ พร้อมด้วยดวงตาสีฟ้าใสที่พลันเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นนั้น  ราวกับจะรุกไล่ให้คามิวหมดหนทางขัดขืนดิ้นรน    เเละเมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มเสียดสีลำตัวเข้ากับตนเองเขาก็ตระหนักได้ว่าตนจะต้องตัดสินใจเเล้ว....

เเละจะต้องเป็นเดี๋ยวนี้ด้วย...





"ไม่!!....   ข้าอยู่กับเจ้าอย่างนี้ไม่ได้!!! ปล่อยนะ!!!  ออโรร่า.."


"เปล่าประโยชน์น่า


น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกของชากะดังขึ้นเเผ่วๆราวกับต้องการจะหยอกเย้า    ในขณะที่รวบข้อมือของฝ่ายตรงข้ามไว้เหนือศีรษะด้วยมือข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างหนึ่งกลับเขยื้อนต่ำลงเบื้องล่าง



คามิวอุทานหอบๆ  เมื่อมือของเขาซอนไซ้ไปทั่วทุกตารางนิ้วบนร่างอย่างเราร้อนดุเดือด   ก่อนจะสะท้านเฮือกไปทั้งเรือนกาย  ด้วยปลายนิ้วเรียวยาวที่ปลุกเร้ายั่วเย้าจนแทบจะอ่อนเปลี้ยไปเพราะมัน


"เก็บคอสโมของเจ้าไว้เถอะ    ในยามนี้สิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่การต่อสู้หรอก   หากเเต่เป็นสิ่งนี้
ต่างหาก"       



คามิวสะดุ้งเฮือก   เมื่อชากะพลันเคลื่อนกายลงต่ำอย่างกระทันหัน  ก่อนจะรับเขาเข้าไว้ในปาก    เเละในวินาทีนั้นเอง เขาก็ได้สูญเสียซึ่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งมวล...   เมื่อมันได้มลายหายไปกับความมืดมิดของค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์....



เเละเเล้ว.......   "มัน"ก็เกิดขึ้น.....


เมื่อความเจ็บปวดที่เเทบจะฉีกกระชากร่างของตนออกเป็นริ้วๆพลันอุบัติขึ้นในที่สุด   




ดวงตาสีฟ้าครามเบิกค้าง...   หยาดน้ำตาอุ่นๆเอ่อคลออยู่ที่ขอบตาก่อนจะม้วนตัวลงสู่เรียวเเก้ม   ในขณะที่ชากะกลับหยุดชะงักด้วยการชำเเรกลึกเพียงครั้งเดียว  ท่อนแขนแข็งแกร่งข้างหนึ่งโอบกระชับอยู่รอบลำตัว   ในขณะที่อีกข้างหนึ่งกลับยึดต้นขายาวเรียวไว้แน่น




".....ข้ารักเจ้า..."  


น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบเเผ่วชิดริมฝีปากที่บวมช้ำอย่างปลอบประโลม  ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปจูบซับหยาดน้ำตาให้กับคามิวอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล  ท่ามกลางเสียงสะอื้นแผ่วของร่างที่แนบชิดอยู่ข้างใต้                 



และในอึดใจนั้นเอง...


คำรักที่ควรจะอ่อนหวานนุ่มนวลก็กลับถูกเเทนที่ด้วยเสียงครางลึก   ยามที่บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าเริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว   ในขณะที่คามิวทำได้เพียงเเค่เพียงหลับตาพร้อมกับกัดฟันเเน่นเพื่อสะกดกลั้นเสียงของตนเอง


"อย่า.........    ลืมตาสิคามิว....  ข้าต้องการให้เจ้ารับรู้ถึงการครอบครองของข้าอย่างเต็มที่   มองตาข้าสิ"


ทว่า..


......เขาจะทำได้อย่างไร........



ในเมื่อการกระเเทกกระทั้นเเต่ละครั้งมันเเทบจะส่งให้เขาสอยสูงขึ้นทุกทีๆ   จนในที่สุด.....



ก่อนที่เขาจะทันตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น   เรือนร่างอันสูงใหญ่ที่ประกบชิดอยู่ด้านบนก็กระตุกเกร็งอย่างรุนเเรง   พร้อมกับกัดฟันเเน่น   ก่อนจะปลดปล่อยสายพันธุ์ของเขาอย่างหมดสิ้น    เเละนั่นก็มากเกินพอที่จะทำให้คามิวระเบิดพร่าง....





สายไปเสียเเล้ว....  สำหรับการปฏิเสธ   


.....ว่าไม่ต้องการเขา......


เมื่อคามิวพลันได้ตระหนักซึ้งถึงหัวใจว่า...




 บัดนี้  ไม่มีคำว่า  "สหาย"   หลงเหลืออยู่ระหว่างพวกตนอีกต่อไป



เมื่อตนกลับกลายเป็น"ทาสเสน่หาที่ไม่ว่าจะอย่างไร  ก็ย่อมจะรอคอยความเมตตาจากเขาผู้เป็น นาย เพียงคนเดียวเท่านั้น...






ใช่.......   มันคือค่ำคืนที่ไร้ซึ่งเเสงจันทร์   


หากทว่า  มันก็เป็นค่ำคืนที่เปลี่ยนเเปลงชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง   เมื่อต่อเเต่นี้ไป...



ทุกลมหายใจเข้าออกของเขาคงจะมิอาจเรียกหาใครได้อีกต่อไปเเล้ว  นอกจาก...       



...ชากะ....                                                                



เพียงผู้เดียวเท่านั้น........................




~End~



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น