สตอกโฮล์ม,
มีนาคม 1897
ท่ามกลางช่วงเวลาเงียบงัน เสียงหวูดจากเรือสินค้าที่แว่วมาจากที่ไกลๆแต่งเติมให้ชั่วโมงแห่งการหลับใหลดูน่าสนใจขึ้น แต่ก็แค่เล็กน้อยจริงๆ บุรุษร่างสูงแค่นยิ้ม ..หัวเราะเสียงต่ำๆขณะที่อาศัยแสงจากโคมไฟถนนมองดูภาพตนเองในหนังสือพิมพ์ฉบับวานนี้ อันที่จริงข่าวการหายตัวอย่างไร้ร่องรอยของเขาพาดหัวอยู่บนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมาตั้งเเต่สองวันก่อน เดสมาร์ส..
จอมโจรผู้มีประวัติอื้อฉาวที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์แหกคุก! เขานิ่วหน้าให้กับคำๆนั้นอย่างไม่ชอบใจ ทำไมคนอย่างเขาจะต้องแหกคุกด้วย ในเมื่อไม่มีกุญแจชนิดใดในโลกนี้จะสามารถจับตัวเขาไว้ได้
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็มีเพียงแค่สะเดาะมันแล้วเดินออกมา ก็ง่ายๆแค่นี้เอง ..เป็นการแหกคุกตรงไหนไม่ทราบ
เดสมาร์สล้วงไฟแชคออกมาจุด แล้วจ่อปลายบุหรี่ที่คาบไว้ในปากเข้ากับเปลวไฟก่อนจะพ่นควันออกมาทางจมูก เวลานี้เขาจะเลิกสนใจกับการให้ข่าวผิดๆเพราะที่นี่ยังมีสิ่งซึ่งน่าสนใจยิ่งกว่านั้น
แม้จะเพิ่งพ้นเทียงคืนมาไม่กี่นาทีทว่าเขารู้ดี.. ราตรีนี้ยังอีกยาวนัก และรู้ดียิ่งกว่านั้น..
ว่าจะสามารถแสวงหาดวงดาวที่สวยที่สุดได้ที่ไหน บลูแชฟไฟร์ที่มีขนาดใหญ่และงดงามที่สุดในโลก
สมบัติซึ่งทรงค่าควรเมืองอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
อัญมณีสีน้ำเงินซึ่งมีค่าคู่ควรต่อการเก็บสะสมไว้ในคอนเลคชั่นส่วนตัวของเขายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นคือเป้าหมายที่ทำให้เขามาไกลถึงที่นี่ สตอกโฮล์ม..
เมืองที่สงบเงียบมีอาชญากรรมอยู่เพียงประปรายกำลังจะได้ตื่นตัวอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง และถ้าเพียงแค่ทับทิมยอดมงกุฏในพิพิธภัณฑ์ลูฟที่ฝรั่งเศสถูกเขาโจรกรรมกลายเป็นข่าวใหญ่ได้ล่ะก็ คดีโจรกรรมบลูแชฟไฟร์ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกันนัก
เดสมาร์สดึงก้นบุหรี่ออกจากปากก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้ให้ดับด้วยรองเท้า
ร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิทยืดร่างขึ้นมองเข้าไปในคฤหาสน์เก่าแก่สไตล์บาโร้ค..
สถานที่ซึ่งบลูแชฟไฟร์นอนสงบนิ่งอยู่พลางกระหยิ่มยิ้มย่อง ทางเข้าปกติมิใช่หนทางสะดวกง่ายดายสำหรับการลอบเข้าไป หากเป็นด่านทดสอบความอดทนและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยาม หรือไม่ก็สุนัขล่าเนื้อหิวโซทั้งฝูง
จอมโจรหนุ่มตวัดขอเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้สูงเหนือศีรษะแล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไปเกาะนิ่งอยู่บนคาคบไม้ เพียงเท่านี้เขาก็สามารถลอบเข้ามาได้อย่างง่ายดาย และจุดที่หมายตาไว้ก็คือ... ที่นั่น
หลังจากประพฤติตนดุจเงาดำที่เร้นกายเงียบเชียบเข้ามายังส่วนในสุดของคฤหาสน์ได้สำเร็จ ไอ้โม่งก็ปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้วย่องไปตามทางเดินสู่ห้องลับซึ่งจดจำแปลนได้อย่างขึ้นใจ
ระบบการคุ้มกันภัยแน่นหนามิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เมื่อหัวขโมยตัวเเสบใช้เวลาสะเดาะกุญเเจแบบพิเศษอยู่เพียงอึดใจเดียวประตูไม้หน้าหนักสูงไม่ต่ำกว่าสิบฟุตก็เเง้มออกอย่างง่ายดาย เดสมาร์สไม่รอช้า.. ร่างดำสนิทเคลื่อนกายเข้าไปในห้องอย่างสบายใจพลางสอดส่ายสายตามองหาที่เก็บสมบัติล้ำค่า ทว่าไม่นานนักจอมโจรหนุ่มก็ได้ตระหนักว่าตนมิได้อยู่ตามลำพัง
“สายันต์สวัสดิ์ คนแปลกหน้า”
เสียงทุ้มลึกเอ่ยทักมาจากด้านหลัง แล้วเดสมาร์สก็พลันรู้สึกถึงปลายโลหะแหลมคมจิ้มเข้าที่กลางหลัง ก่อนจะสะกิดเบาๆสองครั้งราวกับจะกระตุ้นให้หันหน้ามา ไม่มีทางเลือก... หัวขโมยจนตรอกจำต้องปฏิบัติตามแต่โดยดี มือทั้งสองชูขึ้นเหนือศีรษะอย่างยอมจำนนพลางหมุนร่างกลับมาช้าๆ ท่ามกลางความมืด..
เงาตะคุ่มของใครบางคนยืนเอนหลังพิงฝาผนังห้องอย่างไม่อนาทรร้อนใจพร้อมด้วยกระบี่คมกริบในมือ
“ที่นี่ไม่ได้ต้อนรับแขกยามวิกาลมานานแล้ว หวังว่าคงไม่ว่ากันนะ”
มีเสียงสะบัดดัง ควั่บ! แล้วพริบตานั้นเดสมาร์คก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกพันธนาการแน่นหนาจนขยับตัวไม่ได้ มันมิใช่กุญแจมือหรือโซ่ตรวนที่ง่ายต่อการสะเดาะให้หลุดเช่นทุกครั้ง แต่มันเหนียวกว่า แข็งแรงกว่า
และพริบตานั้นเขาก็จำต้องตระหนักว่าตนสูญเสียอิสรภาพเสียแล้วในนาทีที่เชิงเทียนในห้องลุกโชนขึ้น เปลวสีทองสะท้อนให้เห็นแชฟไฟร์ที่งดงามที่สุดกำลังจ้องมองตรงมาสะกดทุกความเคลื่อนไหว รูปลักษณ์แห่งบุรุษผู้นี้เปรียบดังภาพเขียนเลอค่า
เครื่องหน้าอันงดงามไร้ที่ติและไฝทรงเสน่ห์ใต้ดวงตาล้อมกรอบด้วยเรือนผมยาวสีบลอนด์ซึ่งรวบหลวมๆไว้ที่ท้ายทอย ลำคอระหง
บ่ากว้างสะโพกสอบสมชายชาตรี เรือนกายเพรียวแกร่งสวมเสื้อลินินสีขาวผ่าหน้าอวดแผงอกกว้างและกล้ามเนื้อหนั่นแน่นสมบูรณ์กับกางเกงขายาวสีเข้ม พร้อมด้วย..
แส้สีดำสนิทซึ่งยื้อยุดจับตนเป็นเชลย
“ข้าชื่ออโฟรดิเท แล้วท่านล่ะ”
“เดส..
เดสมาร์ส”
หัวขโมยทำได้เพียงตอบงึมงำ
เมื่อนามของเทวีแห่งความงามนั้นช่างเหมาะเจาะลงตัวกับคนผู้นี้เหลือเกิน
“อ้อ.. เป็นเกียรติที่ได้รู้จักคุณโจรผู้โด่งดัง” อโฟรดิเทยกกำปั้นขึ้นแตะบ่าแล้วโค้งคำนับอย่างล้อเลียน
ก่อนจะยืดร่างขึ้นเต็มความสูงแล้วก้าวเข้ามาใกล้ มือเรียวยาวมัดปลายแส้เป็นปมแน่นหนาเพื่อป้องกันมิให้เหยื่อสะบัดหลุด เจ้าของสถานที่เลยผ่านเชลยที่จับได้เพื่อไปรินบรั่นดีให้ตนเองอย่างสบายใจ และยังมีแก่ใจรินเผื่อคนถูกมัดอีกต่างหาก
“จะดื่มสักหน่อยมั้ย”
ราวกับกำลังถูกท้าทายทางอ้อมว่ากล้าพอรึไม่.. เจอไม้นี้เข้าหากปฏิเสธก็ดูจะเสียหน้าไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นยาพิษทว่าเดสมาร์สก็จำต้องตอบรับอย่างเสียมิได้ ใบหน้าเข้มซึ่งส่อแววไม่สบอารมณ์พลอยทำให้อโฟรดิเทเผยอรอยยิ้มที่พลอยทำให้ทั้งห้องสว่างสดใสขึ้นอีกเท่าตัว ปลายกระบี่ในมือซ้ายยังคงยกขึ้นในท่าเตรียมพร้อมขณะที่เจ้าตัวเข้ามาใกล้พร้อมด้วยแก้วบรั่นดี
“ถูกมัดเช่นนี้แล้วข้าจะดื่มได้อย่างไร” ด้วยรู้สึกราวกับถูกดูแคลนน้ำเสียงที่เอ่ยถามจึงห้วนไม่น่าฟัง หากคนมีน้ำใจรินเหล้าให้ก็มิได้ถือสา
กลับมองว่ากิริยาดุจม้าพยศเช่นนี้ดูน่ารักน่าชังมิใช่น้อย
“มันก็ขึ้นอยู่กับท่านว่าต้องการให้ข้าป้อนให้หรือไม่”
“ไม่ ..ถ้าต้องดื่มจากริมฝีปากท่านแม้แต่อึกเดียว สู้ส่งตัวข้าให้ตำรวจเสียยังดีกว่า”
เสียงหัวเราะนุ่มนวลดังขึ้นทันที
“รังเกียจข้าถึงเพียงนั้นเชียว..
กระทั่งยอมแลกกับอิสรภาพและชื่อเสียงทีเดียวหรือ
ไม่เอาน่าคุณโจร.. ข้าว่าข้าอาบน้ำมาแล้วนะ ย่อมไร้กลิ่นกายไม่พึงประสงค์แน่ๆ” อโฟรดิยังคงหัวเราะอย่างรื่นรมย์
ปลายนิ้วเรียวยาวประคองใบหน้าเชลยให้เงยขึ้นแล้วจรดปากแก้วดีบุกเข้าที่ริมฝีปากที่เม้มสนิท
มิใยว่าเดสมาร์สจะดิ้นรนสักเพียงใดก็ไม่อาจหนีพ้นอุ้งมือทรงพลังนั้นได้
“อย่าให้ข้าต้องใช้อย่างอื่นที่มิใช่แก้วเหล้าเปิดริมฝีปากท่านนะ
มิฉะนั้นท่านอาจมิได้กลับออกไปในสภาพเดิมแล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน”
“ปกติชอบข่มเหงรังแกเหยื่อที่จับได้อย่างนี้เสมอหรือ” เดสมาร์สยังมิวายจิกกัดหลังจากต้องยอมตามใจเจ้าบ้านอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ด้วยคำเตือนเมื่อครู่แม้จะกล่าวด้วยความนุ่มนวล หากกลับทำให้ผู้ฟังเสียวสันหลังวาบ
“ก็แล้วแต่ว่าเชลยนั้นน่าสนใจเพียงใด”
อโฟรดิเทยกบรั่นดีขึ้นจิบ
“และสำหรับคุณโจร
ผู้หมายปองบลูแชฟไฟร์แล้ว
เร้าอารมณ์ที่สุดเลย”
...ช่วยหยุดพูดจาสองแง่สามง่ามสักทีได้ไหม....
คำขอร้องในใจนั้นดูราวกับจะส่งไปถึงเจ้าตัว และลางสังหรณ์บอกเขาว่าความซวยขนานหนักที่จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นของตลกไปเลยกำลังมาเยือน อโฟรดิเทวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะแล้วเดินอ้อมมาหยุดนิ่งอยู่เบื้องหลัง
“สิ่งที่ท่านตามหามิได้อยู่ในห้องนี้แต่อยู่ที่อื่นต่างหาก
ภายในอาณาเขตคฤหาสน์นี้ยังมีห้องลับที่แปลนซึ่งถูกขโมยไปไม่ได้ระบุไว้อีกมากนัก และหากว่าคุณโจรจะยังพอเหลือศักดิ์ศรีอยู่บ้างสักเล็กน้อย...”
เสียงกระซิบแผ่วที่ริมหูเงียบไปเมื่ออโฟรดิเทก้าวถอยหลังออกมา “ลองมาเดิมพันกันดูเป็นไร
ครั้งหน้าหากคุณโจรหาบลูแชฟไฟร์พบข้าก็จะไม่ติดใจเอาความ
และยินยอมที่จะมอบสมบัติตกทอดประจำตระกูลให้โดยไม่มีเงื่อนไข แต่หากถูกข้าจับได้อีก...”
“จะไม่มีคำว่าปราณีเช่นคราวนี้
ท่านจะต้องตกเป็นสมบัติของข้าตราบเท่าที่ข้าพอใจ
และสำหรับตอนนี้ ..ลาจากกันพร้อมด้วยรอยจารึกคงจะดีกว่า”
เดสมาร์สถึงกับสะดุ้งสุดตัว
เมื่อปลายแหลมคมของกระบี่สะกิดเนื้อบริเวณสะโพกซ้ายเยื้องไปด้านหลังโดยมิทันให้ตั้งตัวก่อนที่พันธนาการทั้งมวลจะถูกปลดเปลื้องคืนไป ชายหนุ่มรีบก้มลงมองความปวดแสบปวดร้อนที่เนินสะโพกแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง ..ตัวอักษร A อันงดงามไร้ที่ติปรากฏอยู่ที่นั่น
“นะ..
นี่ท่าน”
“ชื่อย่อของข้ายังไงล่ะ
เพื่อที่พบกันครั้งหน้าท่านจะได้ไม่ลืมข้า” อโฟรดิเทยืนกอดอกยิ่งพร้อมด้วยแส้ในมือ สีหน้ายังคงบ่งบอกถึงความรื่นรมย์มิเปลี่ยนแปลง
...เพื่อที่ท่านจะได้จดจำให้ขึ้นใจ
ว่าใคร..
คือผู้ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร...
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น