8/11/2555

Blue Sapphire







สตอกโฮล์ม, มีนาคม 1897 



ท่ามกลางช่วงเวลาเงียบงัน   เสียงหวูดจากเรือสินค้าที่แว่วมาจากที่ไกลๆแต่งเติมให้ชั่วโมงแห่งการหลับใหลดูน่าสนใจขึ้น   แต่ก็แค่เล็กน้อยจริงๆ   บุรุษร่างสูงแค่นยิ้ม  ..หัวเราะเสียงต่ำๆขณะที่อาศัยแสงจากโคมไฟถนนมองดูภาพตนเองในหนังสือพิมพ์ฉบับวานนี้   อันที่จริงข่าวการหายตัวอย่างไร้ร่องรอยของเขาพาดหัวอยู่บนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมาตั้งเเต่สองวันก่อน   เดสมาร์ส..  จอมโจรผู้มีประวัติอื้อฉาวที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์แหกคุก!   เขานิ่วหน้าให้กับคำๆนั้นอย่างไม่ชอบใจ   ทำไมคนอย่างเขาจะต้องแหกคุกด้วย   ในเมื่อไม่มีกุญแจชนิดใดในโลกนี้จะสามารถจับตัวเขาไว้ได้   ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็มีเพียงแค่สะเดาะมันแล้วเดินออกมา    ก็ง่ายๆแค่นี้เอง  ..เป็นการแหกคุกตรงไหนไม่ทราบ

เดสมาร์สล้วงไฟแชคออกมาจุด   แล้วจ่อปลายบุหรี่ที่คาบไว้ในปากเข้ากับเปลวไฟก่อนจะพ่นควันออกมาทางจมูก   เวลานี้เขาจะเลิกสนใจกับการให้ข่าวผิดๆเพราะที่นี่ยังมีสิ่งซึ่งน่าสนใจยิ่งกว่านั้น   แม้จะเพิ่งพ้นเทียงคืนมาไม่กี่นาทีทว่าเขารู้ดี..   ราตรีนี้ยังอีกยาวนัก   และรู้ดียิ่งกว่านั้น..  ว่าจะสามารถแสวงหาดวงดาวที่สวยที่สุดได้ที่ไหน   บลูแชฟไฟร์ที่มีขนาดใหญ่และงดงามที่สุดในโลก   สมบัติซึ่งทรงค่าควรเมืองอยู่ไม่ไกลจากที่นี่  

อัญมณีสีน้ำเงินซึ่งมีค่าคู่ควรต่อการเก็บสะสมไว้ในคอนเลคชั่นส่วนตัวของเขายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นคือเป้าหมายที่ทำให้เขามาไกลถึงที่นี่   สตอกโฮล์ม..   เมืองที่สงบเงียบมีอาชญากรรมอยู่เพียงประปรายกำลังจะได้ตื่นตัวอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง   และถ้าเพียงแค่ทับทิมยอดมงกุฏในพิพิธภัณฑ์ลูฟที่ฝรั่งเศสถูกเขาโจรกรรมกลายเป็นข่าวใหญ่ได้ล่ะก็   คดีโจรกรรมบลูแชฟไฟร์ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกันนัก

เดสมาร์สดึงก้นบุหรี่ออกจากปากก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้ให้ดับด้วยรองเท้า   ร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิทยืดร่างขึ้นมองเข้าไปในคฤหาสน์เก่าแก่สไตล์บาโร้ค..   สถานที่ซึ่งบลูแชฟไฟร์นอนสงบนิ่งอยู่พลางกระหยิ่มยิ้มย่อง   ทางเข้าปกติมิใช่หนทางสะดวกง่ายดายสำหรับการลอบเข้าไป   หากเป็นด่านทดสอบความอดทนและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยาม  หรือไม่ก็สุนัขล่าเนื้อหิวโซทั้งฝูง   จอมโจรหนุ่มตวัดขอเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้สูงเหนือศีรษะแล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไปเกาะนิ่งอยู่บนคาคบไม้   เพียงเท่านี้เขาก็สามารถลอบเข้ามาได้อย่างง่ายดาย   และจุดที่หมายตาไว้ก็คือ...   ที่นั่น

หลังจากประพฤติตนดุจเงาดำที่เร้นกายเงียบเชียบเข้ามายังส่วนในสุดของคฤหาสน์ได้สำเร็จ      ไอ้โม่งก็ปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้วย่องไปตามทางเดินสู่ห้องลับซึ่งจดจำแปลนได้อย่างขึ้นใจ   ระบบการคุ้มกันภัยแน่นหนามิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด   เมื่อหัวขโมยตัวเเสบใช้เวลาสะเดาะกุญเเจแบบพิเศษอยู่เพียงอึดใจเดียวประตูไม้หน้าหนักสูงไม่ต่ำกว่าสิบฟุตก็เเง้มออกอย่างง่ายดาย   เดสมาร์สไม่รอช้า..  ร่างดำสนิทเคลื่อนกายเข้าไปในห้องอย่างสบายใจพลางสอดส่ายสายตามองหาที่เก็บสมบัติล้ำค่า   ทว่าไม่นานนักจอมโจรหนุ่มก็ได้ตระหนักว่าตนมิได้อยู่ตามลำพัง


“สายันต์สวัสดิ์   คนแปลกหน้า” 

เสียงทุ้มลึกเอ่ยทักมาจากด้านหลัง   แล้วเดสมาร์สก็พลันรู้สึกถึงปลายโลหะแหลมคมจิ้มเข้าที่กลางหลัง   ก่อนจะสะกิดเบาๆสองครั้งราวกับจะกระตุ้นให้หันหน้ามา   ไม่มีทางเลือก...  หัวขโมยจนตรอกจำต้องปฏิบัติตามแต่โดยดี   มือทั้งสองชูขึ้นเหนือศีรษะอย่างยอมจำนนพลางหมุนร่างกลับมาช้าๆ   ท่ามกลางความมืด.. เงาตะคุ่มของใครบางคนยืนเอนหลังพิงฝาผนังห้องอย่างไม่อนาทรร้อนใจพร้อมด้วยกระบี่คมกริบในมือ  

“ที่นี่ไม่ได้ต้อนรับแขกยามวิกาลมานานแล้ว   หวังว่าคงไม่ว่ากันนะ” 

มีเสียงสะบัดดัง ควั่บ!   แล้วพริบตานั้นเดสมาร์คก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกพันธนาการแน่นหนาจนขยับตัวไม่ได้   มันมิใช่กุญแจมือหรือโซ่ตรวนที่ง่ายต่อการสะเดาะให้หลุดเช่นทุกครั้ง  แต่มันเหนียวกว่า   แข็งแรงกว่า   และพริบตานั้นเขาก็จำต้องตระหนักว่าตนสูญเสียอิสรภาพเสียแล้วในนาทีที่เชิงเทียนในห้องลุกโชนขึ้น   เปลวสีทองสะท้อนให้เห็นแชฟไฟร์ที่งดงามที่สุดกำลังจ้องมองตรงมาสะกดทุกความเคลื่อนไหว   รูปลักษณ์แห่งบุรุษผู้นี้เปรียบดังภาพเขียนเลอค่า   เครื่องหน้าอันงดงามไร้ที่ติและไฝทรงเสน่ห์ใต้ดวงตาล้อมกรอบด้วยเรือนผมยาวสีบลอนด์ซึ่งรวบหลวมๆไว้ที่ท้ายทอย   ลำคอระหง   บ่ากว้างสะโพกสอบสมชายชาตรี   เรือนกายเพรียวแกร่งสวมเสื้อลินินสีขาวผ่าหน้าอวดแผงอกกว้างและกล้ามเนื้อหนั่นแน่นสมบูรณ์กับกางเกงขายาวสีเข้ม   พร้อมด้วย..  แส้สีดำสนิทซึ่งยื้อยุดจับตนเป็นเชลย

“ข้าชื่ออโฟรดิเท   แล้วท่านล่ะ”

“เดส..  เดสมาร์ส”  หัวขโมยทำได้เพียงตอบงึมงำ   เมื่อนามของเทวีแห่งความงามนั้นช่างเหมาะเจาะลงตัวกับคนผู้นี้เหลือเกิน 

“อ้อ..  เป็นเกียรติที่ได้รู้จักคุณโจรผู้โด่งดัง”  อโฟรดิเทยกกำปั้นขึ้นแตะบ่าแล้วโค้งคำนับอย่างล้อเลียน   ก่อนจะยืดร่างขึ้นเต็มความสูงแล้วก้าวเข้ามาใกล้   มือเรียวยาวมัดปลายแส้เป็นปมแน่นหนาเพื่อป้องกันมิให้เหยื่อสะบัดหลุด   เจ้าของสถานที่เลยผ่านเชลยที่จับได้เพื่อไปรินบรั่นดีให้ตนเองอย่างสบายใจ  และยังมีแก่ใจรินเผื่อคนถูกมัดอีกต่างหาก

“จะดื่มสักหน่อยมั้ย”

ราวกับกำลังถูกท้าทายทางอ้อมว่ากล้าพอรึไม่..  เจอไม้นี้เข้าหากปฏิเสธก็ดูจะเสียหน้าไม่น้อย   ถึงแม้ว่าจะเป็นยาพิษทว่าเดสมาร์สก็จำต้องตอบรับอย่างเสียมิได้   ใบหน้าเข้มซึ่งส่อแววไม่สบอารมณ์พลอยทำให้อโฟรดิเทเผยอรอยยิ้มที่พลอยทำให้ทั้งห้องสว่างสดใสขึ้นอีกเท่าตัว   ปลายกระบี่ในมือซ้ายยังคงยกขึ้นในท่าเตรียมพร้อมขณะที่เจ้าตัวเข้ามาใกล้พร้อมด้วยแก้วบรั่นดี

“ถูกมัดเช่นนี้แล้วข้าจะดื่มได้อย่างไร”  ด้วยรู้สึกราวกับถูกดูแคลนน้ำเสียงที่เอ่ยถามจึงห้วนไม่น่าฟัง   หากคนมีน้ำใจรินเหล้าให้ก็มิได้ถือสา   กลับมองว่ากิริยาดุจม้าพยศเช่นนี้ดูน่ารักน่าชังมิใช่น้อย   “มันก็ขึ้นอยู่กับท่านว่าต้องการให้ข้าป้อนให้หรือไม่”

“ไม่   ..ถ้าต้องดื่มจากริมฝีปากท่านแม้แต่อึกเดียว   สู้ส่งตัวข้าให้ตำรวจเสียยังดีกว่า” 

เสียงหัวเราะนุ่มนวลดังขึ้นทันที


“รังเกียจข้าถึงเพียงนั้นเชียว..  กระทั่งยอมแลกกับอิสรภาพและชื่อเสียงทีเดียวหรือ
ไม่เอาน่าคุณโจร..   ข้าว่าข้าอาบน้ำมาแล้วนะ   ย่อมไร้กลิ่นกายไม่พึงประสงค์แน่ๆ” อโฟรดิยังคงหัวเราะอย่างรื่นรมย์  ปลายนิ้วเรียวยาวประคองใบหน้าเชลยให้เงยขึ้นแล้วจรดปากแก้วดีบุกเข้าที่ริมฝีปากที่เม้มสนิท   มิใยว่าเดสมาร์สจะดิ้นรนสักเพียงใดก็ไม่อาจหนีพ้นอุ้งมือทรงพลังนั้นได้

“อย่าให้ข้าต้องใช้อย่างอื่นที่มิใช่แก้วเหล้าเปิดริมฝีปากท่านนะ   มิฉะนั้นท่านอาจมิได้กลับออกไปในสภาพเดิมแล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน”

“ปกติชอบข่มเหงรังแกเหยื่อที่จับได้อย่างนี้เสมอหรือ”  เดสมาร์สยังมิวายจิกกัดหลังจากต้องยอมตามใจเจ้าบ้านอย่างไม่อาจเลี่ยงได้   ด้วยคำเตือนเมื่อครู่แม้จะกล่าวด้วยความนุ่มนวล   หากกลับทำให้ผู้ฟังเสียวสันหลังวาบ

“ก็แล้วแต่ว่าเชลยนั้นน่าสนใจเพียงใด” อโฟรดิเทยกบรั่นดีขึ้นจิบ  “และสำหรับคุณโจร   ผู้หมายปองบลูแชฟไฟร์แล้ว   เร้าอารมณ์ที่สุดเลย”


...ช่วยหยุดพูดจาสองแง่สามง่ามสักทีได้ไหม....

คำขอร้องในใจนั้นดูราวกับจะส่งไปถึงเจ้าตัว   และลางสังหรณ์บอกเขาว่าความซวยขนานหนักที่จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นของตลกไปเลยกำลังมาเยือน   อโฟรดิเทวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะแล้วเดินอ้อมมาหยุดนิ่งอยู่เบื้องหลัง 

“สิ่งที่ท่านตามหามิได้อยู่ในห้องนี้แต่อยู่ที่อื่นต่างหาก   ภายในอาณาเขตคฤหาสน์นี้ยังมีห้องลับที่แปลนซึ่งถูกขโมยไปไม่ได้ระบุไว้อีกมากนัก   และหากว่าคุณโจรจะยังพอเหลือศักดิ์ศรีอยู่บ้างสักเล็กน้อย...”  เสียงกระซิบแผ่วที่ริมหูเงียบไปเมื่ออโฟรดิเทก้าวถอยหลังออกมา  “ลองมาเดิมพันกันดูเป็นไร    ครั้งหน้าหากคุณโจรหาบลูแชฟไฟร์พบข้าก็จะไม่ติดใจเอาความ   และยินยอมที่จะมอบสมบัติตกทอดประจำตระกูลให้โดยไม่มีเงื่อนไข   แต่หากถูกข้าจับได้อีก...”

“จะไม่มีคำว่าปราณีเช่นคราวนี้   ท่านจะต้องตกเป็นสมบัติของข้าตราบเท่าที่ข้าพอใจ
และสำหรับตอนนี้   ..ลาจากกันพร้อมด้วยรอยจารึกคงจะดีกว่า”

เดสมาร์สถึงกับสะดุ้งสุดตัว   เมื่อปลายแหลมคมของกระบี่สะกิดเนื้อบริเวณสะโพกซ้ายเยื้องไปด้านหลังโดยมิทันให้ตั้งตัวก่อนที่พันธนาการทั้งมวลจะถูกปลดเปลื้องคืนไป    ชายหนุ่มรีบก้มลงมองความปวดแสบปวดร้อนที่เนินสะโพกแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง   ..ตัวอักษร A อันงดงามไร้ที่ติปรากฏอยู่ที่นั่น


“นะ..  นี่ท่าน”

“ชื่อย่อของข้ายังไงล่ะ   เพื่อที่พบกันครั้งหน้าท่านจะได้ไม่ลืมข้า”  อโฟรดิเทยืนกอดอกยิ่งพร้อมด้วยแส้ในมือ   สีหน้ายังคงบ่งบอกถึงความรื่นรมย์มิเปลี่ยนแปลง


...เพื่อที่ท่านจะได้จดจำให้ขึ้นใจ

ว่าใคร..  คือผู้ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร...


~End~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น