เสียงอะไรน่ะ......
หนวกหูจังเลย.......
ว้า..... วันดีๆอากาศเย็นๆอย่างนี้ จะขอนอนให้มันเต็มอิ่มหน่อยไม่ได้รึไงกันนะ
เด็กที่ไหนมาร้องไห้อยู่แถวนี้นะ... พ่อแม่ไม่รู้จักดูแลลูกเลย...
เอาละ.. ตื่นก็ตื่น..... . .พอซะทีเถอะ หยุดร้องซะที
หนวกหู....
สาวน้อยร่างเพรียวบางจำต้องลืมตาขึ้นอย่างเสียไม่ได้เมื่อต้องเจอกับมลพิษทางเสียง
ใบหน้างามบูดบึ้งด้วยเพราะถูกรบกวนการนอนหลับ
ร่างบางในชุดนอนผ้าสำลีอย่างหนาเลิกผ้าห่มออกจากตัวอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วหย่อนปลายเท้าลงสู่พื้น
แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อปลายเท้าที่สวมเพียงถุงเท้าบางๆสัมผัสเข้ากับพื้นหินอ่อนเย็นจัด
เธอร้องอุทานแผ่วเบา
ก่อนจะหันไปเห็นว่าเครื่องทำความร้อนในห้องนอนถูกปิดไปตั้งนานแล้ว พร้อมกันนั้น... บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียงนอน
มีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งวางอยู่พร้อมด้วยแจกันดอกไม้ใบจิ๋วทับมุมเอาไว้
..............ถ้าพ่อกับแม่ไม่ทำแบบนี้หนูคงจะนอนจนตะวันโด่งก็ยังไม่ฟื้น.....
เฝ้าบ้านดีๆด้วยนะลูก
วันนี้พ่อกับแม่จะไปดูพระราชวังแวร์ซายแล้วก็จะเดินเที่ยวชอปปิ้งกันต่อให้สนุกไปเลย....
ปล :
ขนมปังกระเทียมกับซุปอยู่ในตู้เย็น
ใส่เวฟทำเอาเองนะ
แล้วเรา2คนจะเที่ยวเผื่อลูกจ้ะ....
คนเป็นลูกอ่านแล้วก็อยากจะโวยวายเหลือเกิน
พร้อมทั้งนึกโมโหตัวเองที่นอนขี้เซาเสียจนอดเที่ยวไปอีก1วัน
เมื่อเธอแน่ใจนักหนาว่ากว่าที่พ่อกับแม่ของเธอจะเขียนโน้ตสั้นๆฉบับนี้ทิ้งไว้ให้
พวกท่านจะต้องใช้ความพยายามมากมายมหาศาลในการปลุกเธอเลยทีเดียว จนกระทั่ง... ความขี้เซาของตัวเองทำให้พวกท่านหมดความอดทนในที่สุด
......อดเที่ยวอีกแล้ว......
..มาฝรั่งเศสคราวนี้ ยังไม่ได้ออกไปดูอะไรเลย.......
เสียงร้องไห้ที่ปลุกให้จอมขี้เซาตื่นจากนิทรา
ส่งผลให้เจ้าของร่างบางก้าวไปที่ประตูบ้านแล้วแหวกผ้าม่านออกดู..... ดวงตาสีดำขลับเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
เมื่อพบว่าที่หน้าบ้านพักมีร่างเล็กๆของเด็กชายตัวน้อยนั่งร้องไห้อยู่ และโดยไม่รอช้าเธอก็เปิดประตูออกไปทันที
“หนู.... ร้องไห้ทำไม.. เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
เสียงใสที่หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้งเมื่อสัมผัสลมหนาวเอ่ยถามเด็กชายที่กำลังซบหน้าอยู่กับท่อนแขนของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษอย่างอ่อนโยน
พร้อมกับหวังไว้ในใจลึกๆว่าคงจะคุยกันรู้เรื่อง
ศีรษะเล็กๆที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีฟ้าน้ำทะเลที่ปล่อยยาวถึงกลางหลังค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนแปลกหน้าที่เข้ามาใกล้
ใบหน้ากลมน่ารักน่าชังของเด็กชายตัวน้อยซึ่งดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเกิน6ขวบ...
เต็มไปด้วยคราบเลอะเทอะและรอยเปียกชื้นของน้ำตา ร่างเล็กจิ๋วยังคงสะอื้นเป็นพักๆ ในขณะที่ดวงตากลมโตสีฟ้าครามสบตาเข้ากับคนที่โตกว่าอย่างไม่ไว้วางใจ
“เธอเป็นใครน่ะ”
เด็กชายตัวน้อยเอ่ยปากถามในที่สุด ทว่า...
เพียงแค่ประโยคแรกที่ออกมาจากปากเล็กๆนั่นก็มากพอจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องกุมขมับแล้ว เมื่อได้ตระหนักชัดในความจริงที่ว่า ..พ่อหนูน้อยคนนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย และคำพูดที่เปล่งออกมานั่นก็มีแต่ภาษาฝรั่งเศสล้วนๆ
.....เอาล่ะสิ.. จะทำยังไงดี........
พูดอังกฤษไม่ได้... ภาษาไทยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย......
ถึงแม้จะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ว่าสาวน้อยก็ยังคงไม่ยอมแพ้
เมื่อเธอแนะนำตัวเองกับเพื่อนใหม่ตัวจิ๋วด้วยภาษาอังกฤษต่อไป
“เอ่อ...พี่ชื่อข้าวหอมนะ รู้จักไหม
...ข้ามหอมอะ”สาวน้อยนามข้าวหอม พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้เพื่อนใหม่รู้จักเธอด้วยการเรียกชื่อตัวเองซ้ำๆพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข่าวววว....หอมมมมมม”
เด็กน้อยพยายามเลียนเสียงภาษาอันแปร่งหูและไม่เคยคุ้นมาก่อน
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามถอนหายใจยาวพร้อมด้วยดวงตาที่เป็นประกายอย่างดีอกดีใจ
“แล้วเธอชื่อไรอะ”คราวนี้เธอเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง
“คามิว”
เด็กชายตัวน้อยบอก ..ตามด้วยอะไรบางอย่างซึ่งเธอไม่เข้าใจ
ทว่าจากท่าทีที่เพื่อนใหม่ทำท่าทำทางประกอบก็พอจะทำให้เธอเข้าใจได้ลางๆ
พ่อหนูน้อยคนนี้คงจะวิ่งผ่านหน้าบ้านพักของเธอแล้วหกล้ม สังเกตได้จากรอยถลอกจนเลือดซิบที่หัวเข่าและข้อศอก
“เข้ามาในบ้านก่อนสิ พี่จะใส่ยาให้”เธอบอกอย่างนุ่มนวลพร้อมกับส่งมือให้พ่อหนู
ดวงตาสีฟ้าครามที่ยังคงมีคราบน้ำตาให้เห็นจ้องมองมือข้างนั้นอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมส่งมือให้จับแต่โดยดี และตอนนั้นเองที่ข้าวหอมได้สังเกตเห็น...
ว่ามีดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งอยู่ในมือเล็กๆอีกข้างหนึ่งของเด็กน้อย หากแต่ก้านดอกไม้หักครึ่งเสียแล้ว.....
ส่วนกลีบดอกไม้สีขาวก็เป็นรอยช้ำจากการที่เจ้าตัวหกล้มเมื่อครู่......
กล่องปฐมพยาบาลใบย่อมถูกรื้อค้นออกมาจากกระเป๋าเดินทาง
ในขณะที่คามิวที่เพิ่งจะหยุดร้องไห้นั่งรออยู่ที่โซฟาพร้อมด้วยดอกไม้ในมือที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมวาง
“เอาละ เธอจะไม่วางมันลงก็ได้”
เสียงใสของคนที่โตกว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเพื่อนตัวน้อย
“แต่ว่าเธอจะต้องยื่นแขนข้างนั้นออกมาให้พี่ใส่ยา”
เธอบอกพร้อมกับชี้มือไปที่บาดแผลตรงข้อศอกของแขนข้างที่กำดอกไม้ไว้แน่นแล้วพยายามทำท่าทำทางบอก สลับกับการชี้นิ้วไปที่ขวดยา
มันได้ผล....
เมื่อพ่อหนูน้อยยอมย้ายดอกไม้สุดรักสุดหวงไปไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง
ก่อนจะยอมยื่นแขนข้างนั้นให้แต่โดยดี
และนั่นทำให้ข้าวหอมอดยิ้มออกมาไม่ได้
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่ทนฝืนกล้ำกลืนความเจ็บปวดยามที่เธอราดน้ำยาฆ่าเชื้อลงบนบาดแผล...
ด้วยอายุเพียงเท่านี้
หากทว่าคามิวตัวน้อยก็ช่างมีน้ำอดน้ำทนดียิ่งนัก และไม่ยอมปริปากร้องเลยแม้แต่น้อยจวบจนกระทั่งทำแผลเสร็จ
พ่อหนูน้อยจับจ้องมองดูคนแปลกหน้าที่กำลังติดพลาสเตอร์ที่หัวเข่าของตนเองด้วยดวงตาสีฟ้าครามกับใบหน้าที่มีวี่แววว่า.. อีกภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้
หน้าตาแบบนี้คงจะทำให้สาวๆหัวใจอ่อนระทวยได้เป็นแน่แท้
“เอาล่ะ.. เสร็จแล้วจ้ะ”เธอเงยหน้าขึ้นบอกพ่อหนูน้อยพร้อมกับปิดกล่องปฐมพยาบาล ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อคามิวพูดอะไรบางอย่างออกมาอีกประโยคหนึ่ง
“เธอพูดอะไรน่ะ พี่ไม่เข้าใจ”
ดูเหมือนว่าความรู้สึกนั้นจะส่งผ่านมาถึงเพื่อนตัวน้อยได้ เมื่อคามิวชูดอกไม้ในมือขึ้นแล้วพูดประโยคเดิมซ้ำพลางทำหน้าเศร้า
“จะให้พี่เหรอ”เสียงใสถามอย่างลังเลพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แต่แล้วก็ต้องยิ่งงงกว่าเดิมอีก
เมื่อศีรษะเล็กๆนั้นส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมกับพูดประโยคเดิมซ้ำๆ
......เอาล่ะสิ..... ซวยของแท้ล่ะทีนี้.....
....ฟังไม่รู้เรื่องเลย.....
ข้าวหอมถอนหายใจพรืดอย่างยอมแพ้ก่อนจะลุกขึ้นยืนในที่สุด... หากทว่าในตอนนั้นเอง
ที่ดูเหมือนจะมีคำๆหนึ่งในประโยคที่ซ้ำไปซ้ำมานั้นที่เธอพอจะเข้าใจ
“มามองค์...... เธอพูดว่ามามองค์งั้นเหรอ”
ถึงแม้ว่าจะไม่แน่ใจนัก ทว่าสาวน้อยก็ถามออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และก็ต้องยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ เพื่อคามิวพยักหน้าถี่รัว
“มามองค์ทำไม”
คราวนี้คามิวตัวน้อยทำหน้าเศร้าพร้อมกับเริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นมาอีกครั้งพลางก้มลงมองดูดอกไม้ช้ำๆในมือของตัวเอง
และนั่นก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดชักจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
“เข้าใจล่ะ!... เธออยากจะเอานี่กลับไปให้มามองค์สินะ”
ข้าวหอมถามขึ้นพลางชี้ที่ดอกไม้ในขณะที่คามิวพยักหน้ารับ น้ำตาอุ่นๆหยดหนึ่งหยดแหมะลงบนหัวเข่าที่ปิดพลาสเตอร์
ก่อนที่เจ้าตัวจะยกแขนขึ้นปาดมันทิ้งแล้วเช็ดมือเข้ากับกางเกงขาสั้นที่เลอะฝุ่นมอมแมม
และนั่นทำให้เธอต้องถอนหายใจอย่างสงสาร พร้อมกับเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“รอแปปนะ”
เจ้าของเสียงใสบอกกับพ่อหนูน้อย ก่อนจะวิ่งหายกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วแล้วกลับออกมาพร้อมกับริบบิ้นสีแดงสดใสและกรรไกรอันเล็กๆพร้อมด้วยขวดแก้วใสใบเล็กๆที่ขนาดเหมาะเจาะ
ในขณะที่คามิวได้แต่ทำหน้างง
ก่อนจะยอมส่งดอกไม้ในมือให้เธออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ด้วยเกรงว่าพี่สาวแปลกหน้าคนนี้จะขโมยดอกไม้ดอกสำคัญของตนไป ดวงตาสีฟ้าครามที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆจึงมองตามดอกไม้ของตนอย่างชนิดตาไม่กระพริบ
เมื่อได้ดอกไม้มาแล้วข้าวหอมก็ไม่รอช้า.. ร่างเพรียวบางลงนั่งคุกเข่าทันที
มือเรียวเล็กจัดแจงตัดก้านดอกลิลลี่ที่หักครึ่งออกอย่างรวดเร็วแล้วแต่งกลีบดอกไม้เสียใหม่ให้ดูดี จากนั้นจึงผูกริบบิ้นสีแดงเข้าที่ก้าน และสุดท้าย...
เธอก็จับดอกลิลลี่เสียบลงไปในขวดแก้วที่ถือติดมือมาด้วย ...
สีแดง
เขียวและขาวตัดกันชัดเจนสวยสดงดงามจนทำให้คามิวพอจะมีรอยยิ้มให้เห็นบ้าง
ข้าวหอมส่งขวดใส่ดอกลิลลี่ที่จัดการตกแต่งเรียบร้อยแล้วคืนให้พ่อหนู ก่อนจะลูบศีรษะเล็กๆอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า
“คราวนี้พี่รับรองว่ามันจะไม่หักอีกแล้วล่ะ เอาไปให้มามองค์ได้แล้วล่ะจ้ะ”
ถึงแม้ว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง
หากทว่าคามิวก็ยิ้มกว้างอย่างรับรู้และเข้าใจ
พ่อหนูน้อยลุกขึ้นยืนก่อนจะโผเข้าหาพี่สาวผู้แสนดี แล้วโอบแขนกลมๆกอดรัดรอบลำคอก่อนจะมอบจุมพิตอันแสนไร้เดียงสาให้ที่เรียวแก้ม
“แมร์ซี”
ร่างน้อยกล่าวคำขอบคุณด้วยใบหน้าบานแฉ่งก่อนจะหมุนร่างวิ่งออกไปจากบ้าน ในขณะที่ข้าวหอมเดินตามออกมาส่งถึงหน้าบ้าน
พลางมองดูพ่อหนูน้อยวิ่งห่างออกไปด้วยความปลาบปลื้มก่อนจะต้องโบกมือตอบ
เมื่อคามิวตัวน้อยกระโดดหยอยๆโบกมือเห็นอยู่ลิบๆ
.....ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกไปเที่ยว...........แต่ว่าแบบนี้ ก็ดีเหมือนกันนะ
มาฝรั่งเศสรอบนี้ไม่เสียเที่ยวแล้วเรา.......
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น