แซงทัวรี่......
เวลาย่ำรุ่ง
หลังจากค่ำคืนที่ยาวนานอันแสนทรมานได้ผ่านพ้นไป
ดวงตะวันก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว
และอีกไม่นานก็จะเริ่มอาบไล้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยแสงสีทองอันอบอุ่น ปลุกทุกชีวิตบนผืนพิภพที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้น เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป ทว่า......
มีอยู่ไม่กี่คน....ที่เพิ่งจะได้ร่วงผล็อยสู่ห้วงนิทรารมย์อย่างเหนื่อยอ่อน... และอีกไม่กี่คน.. ที่เพิ่งจะได้มีโอกาสทำเรื่องดีๆ.. เรื่องที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเอง เป็นต้นว่า........ ทำแผล
เหล่าเซนต์แห่งอาเทน่า
มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกจัดอยู่ในประเภทหลังสุด....
ในเมื่อพวกเขาแต่ละคน
ต่างก็มีแต่บาดแผลอันเกิดจากการต่อสู้กับดีมอนกันตามสมควร มากบ้างน้อยบ้าง และมันคงจะไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากนัก ถ้าหากว่าพวกเขาจะรู้จักดูแลตัวเองให้ได้รับการเยียวยาอย่างที่ควรจะเป็น
หากทว่า......
บางคนกลับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา กับการที่จะปล่อยทิ้งไว้ให้แผลหายเอง โดยไม่สนใจจะดูแลตัวเอง....
และปัญหาทั้งหมดมันก็เกิดจากตรงนี้แหละ.....
เมื่อทีมแพทย์จากมูลนิธิแกรนด์ที่ถูกส่งมาประจำ
ณ แซงทัวรี่
มีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะอื่นๆเพิ่มเติมนอกเหนือจากความถนัดด้านการแพทย์...คือ
การวิ่งร้อยเมตรทำสถิติใหม่ผสมกับเทคนิคการสืบสวนสอบสวนหาเหยื่อที่ปล่อยให้คลาดสายตาไปได้.... อีกแล้ว
ด้วยยังคงมีโกลเซนต์บางคน
ที่ไม่เคยจะนึกพิศวาสกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อหรือผ้าพันแผลเอาเสียเลย
จึงได้จงใจหลบเลี่ยงการที่จะต้องพาตัวเองเข้าไปพบเจอกับสิ่งเหล่านี้ ทั้งๆที่ตัวเองกลับบาดเจ็บสาหัส และกำลังต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน.....
อย่างเช่น...เวอร์โก ชากะ
ซึ่งได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ในทันทีที่หมอทุกคนได้เห็นสภาพของเขาและก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่า.... เขาคือคนไข้หนัก(ใจ)ของหมอ
และมิใยว่าจะตามหาตัวเท่าไรๆก็ไม่พบ
ไม่มีเงาของบุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าปรากฏให้เห็น เเม้แต่ในวิหารสาวพรหมจรรย์
เป็นที่รู้ๆกันอยู่... ว่าชากะนั้น
เกลียดการมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสัมผัสตัวเป็นที่สุด และ.....ที่เกลียดยิ่งกว่านั้นก็คือ
กลิ่นฉุนๆของยาฆ่าเชื้อและยาใส่แผลสารพัดชนิด....
“หาไม่เจอจริงๆเหรอ”
คุณหมอใหญ่ผู้มากอาวุโสที่สุดและเป็นหัวหน้าทีมเอ่ยถามพยาบาลสาว
ทันทีที่หล่อนกลับเข้ามาในห้องในสภาพเหงื่อโทรมกาย เส้นผมสีดำขลับยาวประบ่าพันกันยุ่งไปทั้งหัวจากการตามหา
“เหยื่อ” ที่หายตัวไปได้ร่วม2ชั่วโมงแล้ว
ฟูจังถอนหายใจเฮือกพร้อมกับส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า
“ที่ไหนๆก็ไม่มีค่ะหมอ.... หาจนฟูจังจะลมจับเสียเองแล้วเนี่ย”
น้ำเสียงอันเหนื่อยหน่ายกับสำเนียงการพูดที่แปร่งหูแบบคนเอเชียของพยาบาลสาวผมชี้ฟู ส่งผลให้เลโอ
ไอโอเรีย
ที่นอนพักอยู่บนเตียงซึ่งไม่ห่างออกไปนักต้องเผยอเปลือกตาขึ้นมอง
“....ชากะหนีไปแล้วล่ะสิ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำอันทรงอำนาจถามขึ้นอย่างขบขัน
ก่อนที่เจ้าของเรือนร่างอันกำยำบึกบึนจะค่อยๆพยุงกายลุกขึ้นนั่ง ในสภาพที่มีผ้าพันแผลเต็มตัว พร้อมทั้งสายระโยงระยางของน้ำเกลือ
“เอ้อ....คุณอย่าเพิ่งลุกจะดีกว่านะคะ เดี๋ยวแผลจะ..”
เสียงใสที่เป็นกังวลของหญิงสาวยังไม่ทันจะได้พูดจบดี ชายหนุ่มก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ข้าไม่เป็นไรแล้วล่ะน่า... ได้ยินว่าพวกเจ้ากำลังตามหาชากะอยู่มิใช่หรือ...”โกลเซนต์หนุ่มถาม
พลางเอื้อมมือไปกระชากสายยางสารพัดเส้นออกจากตัว
ท่ามกลางเสียงอุทานอย่างตระหนกระคนไม่พอใจของบรรดาแพทย์และพยาบาล ก่อนที่เขาจะหันมามองหน้าคนเหล่านั้นอย่างงงๆราวกับไม่รู้สีรู้สาถึงการกระทำของตน แล้วลุกขึ้นจากเตียง
“ต่อให้พวกเจ้าหาชากะเจอ
ก็ไม่มีปัญญาจัดการกับหมอนั่นหรอกน่า...ให้ข้าเองดีกว่า”
ไอโอเรียจบประโยค
พร้อมกับเดินออกไปจากห้องในสภาพที่สวมเพียงกางเกงขายาวเพียงตัวเดียว
ในขณะที่ร่างกายท่อนบนถูกปกปิดอย่างมิดชิดด้วยผ้าพันแผลสีขาวซึ่งยังคงมีรอยเลือดซึมอยู่ทั่วทั้งตัว
ทิ้งให้มนุษย์ธรรมดาๆอีก3ชีวิตได้แต่ยืนมองตาปริบๆอย่างมิอาจจะทำอะไรได้ ด้วยมันเกินกำลังที่จะห้ามปราม
.....................................................
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ใหญ่
ไอโอเรียก็กลับมาพร้อมกับบุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ยาวที่มีคราบเลือดแห้งกรัง
พร้อมด้วยใบหน้างดงามอันบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์อย่างแรง เมื่อรู้สึกว่าถูกลากตัวเข้ามาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
“แหม....ในที่สุดก็ได้ตัวจนได้นะคะ”
เสียงใสของฟูจังดังขึ้นอย่างดีอกดีใจทันทีที่ได้เจอ “ตัวต้นเหตุ”ของความโกลาหลของพวกตนตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง
และทันทีที่ได้กลิ่นสารพัดน้ำยาในห้องนั้น ชากะก็ถึงกับเบือนหน้าหนีทันที พร้อมกับตั้งท่าจะหันหลังกลับ..
ทว่า
ด้วยความรวดเร็วและความว่องไวในระดับที่เท่าเทียมกัน ทำให้โกลเซนต์เวอร์โกหนีไปไหนไม่รอด เมื่อข้อนิ้วอันแข็งแกร่งของสหายยามยากผู้ทรยศเพื่อนพลันกระชับแน่นอยู่รอบต้นแขน
“ปล่อย!...ไอโอเรีย
ไม่เช่นนั้นเจ้ากับข้าออกไปเจอกันตัวๆข้างนอกเลย”
เมื่อเห็นได้ชัดว่าพูดดีๆไม่ได้ผล ชากะจึงหันมาใช้วิธีการขู่ พร้อมกับเร่งคอสโมขึ้นมาทันทีทันใด ท่ามกลางใบหน้าอันซีดเผือดที่ยืนเรียงสลอนกันอยู่ตรงนั้น พร้อมด้วยขดเชือกในมือ ที่พร้อมจะใช้งานได้ทุกเมื่อ
ทว่าราชสีห์หนุ่มกลับยิ้มกว้างอย่างขบขันกับทีท่าอันคิดไม่ถึงของสหาย
“เพื่ออาเทน่า....ชากะ ....เจ้าจงยอมแต่โดยดีเถิด ...อาเทน่าเชียวนะ...” ถึงตอนนี้ โกลเซนต์หนุ่มแห่งราศีสิงห์พยายามปั้นสีหน้าให้เคร่งขรึมและน่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในขณะที่พยายามที่จะไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เมื่อเจอไม้ตายอันหนักหน่วงเข้าไป.....
ก็ทำให้บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าถึงกับพูดไม่ออก
เรือนร่างสูงสง่าถึงกับถอนหายใจพรืด ก่อนจะยอมถอดครอธออกแต่โดยดี เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนอันเปล่าเปลือยที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเก่าและใหม่
ตลอดจนคราบเลือดสีคล้ำที่แห้งเกรอะกรังติดเต็มตัว
ในขณะเดียวกับที่ร่างกายท่อนล่างตั้งแต่ช่วงเอวลงไป
ที่สวมกางเกงซึ่งรัดตรึงไปกับลอนสะโพกอันเครียดครัด และท่อนขายาวกระชับไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นก็ทั้งมอมแมมและขาดวิ่น และแน่นอนว่า...เต็มไปด้วยบาดแผลเช่นกัน
“เอาล่ะ....ถอดเสื้อผ้าออกให้หมดแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงครับ”
คุณหมอใหญ่จัดแจงสั่งการทันทีที่สบโอกาส
ขณะที่พยาบาลสาวปูผ้าสีขาวสะอาดเตรียมไว้ให้แล้ว
พร้อมกับผ้าอีกผืนหนึ่งพาดอยู่บนท่อนแขนเพื่อใช้คลุมร่าง
“อเล็คซ์…..ขอหูฟังและที่วัดความดันด้วยนะ”
คุณหมอใหญ่หันไปกำชับผู้ช่วยหนุ่ม
พร้อมกับสวมถุงมือยาง พลางก้าวเข้าไปที่เตียง
แต่ทันใดนั้น...
โทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋ากางเกงก็เกิดดังขึ้นเสียก่อน.......
..........................................................
“อะไรนะครับผอ.! จะให้ผมบินด่วนไปวาติกัน......
แต่ว่าตอนนี้ผมติดภารกิจอยู่ที่กรีซคงไม่..................อะไรนะ!!...ครับ.... ครับๆ”
“เอ้อ....อเล็คซ์....เก็บของด่วนเลย แล้ววางมือจากทุกอย่างเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงอันติดจะเข้มงวดของนายแพทย์ใหญ่ดังขึ้น
และนั่นส่งผลให้ผู้ช่วยหนุ่มถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
“เราจะต้องออกบินไปสำนักวาติกันให้ทันวันพรุ่งนี้เพื่อไปสมทบกับศัลยแพทย์อีกทีมหนึ่ง.....ทางมูลนิธิติดต่อมา...ว่าเรามีเคสด่วน!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหัวหน้าทีม
ลูกทีมทั้ง2คนก็รีบกุลีกุจอเก็บรวบรวมข้าวของทันที
“อ้อ!....ฟูจัง
คุณอยู่ที่นี่ล่ะ”
สาวน้อยในชุดพยาบาลสีขาวสะอาดแทบจะสะดุดล้ม ทันทีที่ได้ยิน
“ผมคิดว่าคุณควรจะอยู่ดูแลพวกเซนต์ที่นี่แหละ”น้ำเสียงอันติดจะเร่งร้อน ดูจะเย็นลงบ้างเล็กน้อยเมื่อหันมาบอก
“เพราะว่าที่นี่ยังมีคนบาดเจ็บอยู่อีกมาก และมันคงจะไม่เกินกำลังของคุณไปได้หรอกน่า”ถึงตอนนี้ คุณหมอใหญ่ตบบ่าฟูจังอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะรีบออกเดินทาง
ทิ้งให้ฟูจังยืนหน้าซีดอยู่เพียงลำพัง
ในขณะที่ชากะกลับมีสีหน้าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด.....
เจ้าของเรือนกายอันสูงใหญ่ที่สะบักสะบอมขยับลุกขึ้น พร้อมกับดึงผ้าที่คลุมร่างอยู่มาพันรอบกาย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะเด็ดขาด ทว่าก็ประหม่าอยู่ในทีดังขึ้นอย่างทันทีทันใด
พร้อมกับดวงหน้าอันงดงามน่ารักของนางฟ้าในชุดสีขาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
และนั่นทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพกึ่งเปลือยนึกขันขึ้นมาทันที
“อะไรกัน....
ได้โปรดอย่าบอกข้านะ
ว่าถึงแม้จะเหลือเจ้าเพียงคนเดียว
ก็ยังคิดจะสานต่อเรื่องนี้” น้ำเสียงอันทุ้มนุ่มถามเสียงแผ่วอย่างเจตนาจะลองใจฝ่ายตรงข้าม
ในขณะที่ใบหน้าอัดงดงามสมบูรณ์แบบนั้นยังคงเรียบเฉย จะมีก็เพียงรอยยิ้มน้อยๆเท่านั้น
“ใช่แล้ว!
ในเมื่อคุณหมอได้กรุณาฝากฝังคุณไว้กับฉัน.....ฉันก็จะจัดการให้แน่ใจ ว่าทั่วตัวคุณจะต้องได้รับการรักษาเยียวยาค่ะ”
ฟูจังตะโกนดังลั่น
ด้วยใบหน้าที่แดงกว่าเก่า
พร้อมกับหยิบถุงมือยางมาสวมอย่างรวดเร็วแล้วย่างสามขุมเข้าไป
“เอาล่ะค่ะ คุณจะไม่นอนลงก็ได้แต่ว่า ขอให้ยอมอยู่นิ่งๆสักพักก็แล้วกัน”หล่อนบอกพร้อมกับเทน้ำยาล้างแผลลงบนก้อนสำลี
“เอาล่ะ....ที่สุดท้ายแล้ว ก้มลงมาทีค่ะ
ตรงคอคุณน่ะ”
พยาบาลสาวบอกพร้อมกับชะเง้อมองรอยกัดน่ากลัวที่ลำคอชายหนุ่มอย่างสยดสยอง ทว่า...
ด้วยความสูงเพียงแค่160เซนติเมตร
ทำให้หล่อนต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะยืดร่างขึ้นเพื่อให้มองเห็น
“สงสัยจะต้องปัดผมคุณออกไปให้พ้นๆก่อน... โทษนะคะ”
หล่อนเอ่ยพลางถือวิสาสะเอื้อมมือปัดปอยผมของเขาไปอีกทางหนึ่ง
ในขณะที่ชายหนุ่มยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีด้วยการโน้มร่างต่ำลง เพื่อให้หล่อนทำงานได้สะดวกขึ้น
จนกระทั่งลมหายใจอันร้อนผ่าวของเขาเป่ารดอยู่ที่ริมหูของฝ่ายตรงข้าม
“เป็นอะไรไป มือไม้สั่นไปหมด....หนาวหรือ” น้ำเสียงอันอ่อนโยนถามขึ้นที่ข้างหู ยิ่งทำให้ฟูจังยิ่งสั่นมากกว่าเก่า
หล่อนจึงแก้เขินด้วยการโป๊ะผ้ากอซลงไปบนปากแผลเต็มแรง.... ชากะผู้น่าสงสารถึงกับสะดุ้งเฮือก
“โอ๊ะ!!... ขอโทษนะคะ
เผลอหนักมือไปหน่อย” หล่อนบอกพร้อมกับถอยออกมาเมื่อทำแผลเสร็จเรียบร้อย
“ไม่เป็นไรหรอก...ขอบใจมากนะหนูน้อย”
โกลเซนต์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ที่บัดนี้มีแต่ผ้าพันแผลเต็มตัวเช่นเดียวกับคนอื่นๆเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล
ทว่า..
คำขอบคุณของเขากลับทำให้สาวน้อยตรงหน้าจะยิ้มก็ไม่ใช่จะโมโหก็ไม่เชิง
“เอ้อ...คือ ฉันอายุ21แล้วนะคะ”
หล่อนบอกอ้อมแอ้มด้วยใบหน้าแดงก่ำ ส่งผลให้ชากะถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง พร้อมด้วยสีหน้าตกใจ
“อภัยให้ข้าด้วย ...ถ้าไม่ได้ฟังจากปากเจ้า
ข้าก็คงนึกไม่ถึงว่าเจ้าจะอ่อนกว่าข้าเพียง6ปีเท่านั้น”
ชายหนุ่มเอ่ยปากพร้อมกับก้มศีรษะน้อยๆเป็นเชิงขอโทษ
“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มคว้ามือหล่อนไปจุมพิตอย่างแผ่วเบาและรวดเร็วครั้งหนึ่ง พร้อมกับลืมตาขึ้น
เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าใสคู่งามที่เต็มไปด้วยพลังดึงดูดอันแรงกล้า...
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยชอบกลิ่นน้ำยาพวกนี้นัก แต่ก็ต้องขอขอบใจเจ้ามาก เพราะ...
มันคงจะช่วยให้ข้าหายเป็นปรกติได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะต้องไปรับบทหลักในฟิคเรื่องต่อไป”
ยังไม่ทันได้ฟังชากะพูดจนจบประโยค
นางฟ้าในชุดขาวก็หงายหลังล้มตึงลงไปเสียก่อน
บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเข้าจึงได้แต่ยักไหล่น้อยๆแล้วก้าวเข้าไปหลังฉากแต่งตัว
ก่อนจะหันไปคว้าเสื้อเชิร์ตมาสวมพร้อมทั้งติดกระดุมเสื้ออย่างรวดเร็ว ตามด้วยเนคไทสีดำมันวาวเส้นยาว กางเกงสแลคและเสื้อสูทตัวนอกสีกรมท่าเข้าชุดกันราคาแพงระยับที่ตัดเย็บด้วยฝีมืออันประณีต
“อ้าว!...ชากะ ได้เวลาแล้วหรือนี่”
น้ำเสียงอันทุ้มกังวานของสหายรักอย่างอารีเอส
มูดังขึ้นทันทีที่เจ้าตัวพาร่างอันยับเยินในสภาพใกล้เคียงกันผ่านประตูห้องเข้ามา
โกลเซนต์เวอร์โกหันมาพยักหน้าให้อย่างไวๆครั้งหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองกระจกพลางจัดเนคไทให้เข้าที่
“
จวนแล้วล่ะ.... แต่ว่าครั้งนี้..
ฟิคของข้าไม่เหมือนกับของเจ้าหรอกนะมู
อย่างน้อย...แม่เสือสาวของข้าก็ร้ายเอาเรื่องอยู่ล่ะ”
มูยิ้มขันกับท่าทีอันหวาดหวั่นของสหาย
“แต่มันก็คงจะไม่เกินความสามารถของเจ้าหรอกกระมัง...
อย่างไรก็ดีข้าเชื่อมือเจ้านะ ว่าจะกำราบหล่อนได้อยู่หมัด”
“และข้าเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
เจ้าของเรือนร่างสูงสง่า
ที่บัดนี้อยู่ในชุดสูทสีกรมท่ายืดร่างขึ้นเต็มความสูงเพรียว
พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันมุ่งมั่นและเต็มไปด้วยความคาดหวัง...
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น