8/11/2555

Double Pisces





ใครบางคนบอกว่าความรู้ทางดาราศาสตร์จะช่วยให้ไม่หลงทาง

แต่เชื่อข้าเถอะ.. ไม่ว่าจะศิลปศาสตร์กี่แขนงก็มิอาจพาท่านออกไปจากวงกตแห่งนี้ได้

ดังนั้นอย่ามัวแต่คิดหาคำตอบที่ไม่เคยมีอยู่เลย


จงก้าวไปข้างหน้า..  

แล้วทำลายกำแพงนั่นซะ
   


          พิสเซส  อัลบาฟิก้า   โกลเซนต์แห่งราศีมีน











แซงทัวรี่  นครศักดิ์สิทธิ์ 


ยุคที่มนุษย์เลิกชื่นชมในสรรพวิทยาทั้งเจ็ด...





“ให้ตายเถอะ!

ฝ่ามือใหญ่ตบโต๊ะปังอย่างหัวเสียส่งผลให้คนถูกตะคอกสะดุ้งเล็กน้อย   ทว่าคงจะต้องใช้มากกว่ากิริยาปึงปังจึงจะทำให้เขากลัวได้สักนิด  

...ยังไงก็แค่เด็กเมื่อวานซืน...


“จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ   ว่าในศตวรรษนี้ไม่มีใครเชื่อเรื่องโลกแบนอีกแล้ว! 
ดังนั้นถึงแม้ท่านจะเดินทางไปจนสุดขอบฟ้าก็ไม่มีทางตกลงไปได้หรอก!!

บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเสมองไปทางอื่น    ใบหน้าหมดจดเรียบเฉยไร้อารมณ์ดั่งจะไม่นำพากับอากัปอันฉุนเฉียวของฝ่ายตรงข้าม   ร่างงามสง่าในชุดเกราะทองอร่ามยืดกายขึ้นอย่างไว้ตัว   ขณะที่คู่สนทนาพยายามเก็บอารมณ์สุดฤทธิ์   


“แล้วยังไง..” 

การถามเสียงแผ่วอย่างไม่แคร์โลกทั้งใบส่งผลให้คนที่ทุ่มเทความพยายามอธิบายความเป็นไปทุกอย่างต้องหัวเสียอีกรอบ   กระนั้นอัลบาฟิก้ากลับเมินเฉย    โกลเซนต์พิสเซสจับจ้องโกลเซนต์พิสเซสอีกคนหนึ่งด้วยแววตาเฉยชาก่อนจะสะบัดหน้าหนี   ทิ้งให้อโฟรดิเทยืนกำหมัดนิ่งด้วยอยากจะต่อยคนดื้อด้านสักหมัด   ทว่าก็จำต้องข่มกลั้นไว้   

เขาไม่เข้าใจ   จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดโกลเซนต์เมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้วจึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่..  ในช่วงเวลานี้   ขุนพลวิหารสุดท้ายแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นตำนานเล่าขาน   ..พิสเซส  อัลบาฟิก้า..   บุรุษผู้ยอมพลีชีพตนเพื่อปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้รับการสรรเสริญเยี่ยงวีรบุรุษมาช้านานแล้ว   และไม่มีเซนต์คนใดที่มิได้เติบโตขึ้นมาภายใต้ตำนานแห่งผู้กล้าอัลบาฟิก้า   ผู้เป็นตัวอย่างของความรักและความเสียสละอันยิ่งใหญ่

อโฟรดิเทอยากจะหัวเราะทว่าก็กลับขำไม่ออก    เมื่อวีรบุรุษผู้กล้าคนที่ว่ากลับกลายเป็นไอ้ตัวแสบสุดๆอย่างชนิดที่คิดไม่ถึง   ใบหน้างามพิสุทธิ์นั่นอาจสะกดลมหายใจเขาได้ในวินาทีแรกที่ได้ยลก็จริง   ทว่าน้ำคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากชวนมองนั้นพาให้วิมานล่มเอาได้ง่ายๆ   เขาอยากจะเข้าใจว่าองค์ความรู้ในยุคโบราณนั้นแตกต่างกับยุคปัจจุบันมากนัก   ทว่าอัลบาฟิก้ากลับไม่พยายามจะทำความเข้าใจอะไรเลย      ไม่เลยสักนิด..  มิหนำซ้ำยังทำสีหน้าราวกับกำลังฟังเด็กเล่านิทาน  และเขาเกลียดแววดูแคลนในดวงตาคู่นั้นเป็นบ้า   ..ให้ตายสิ  

เพราะรู้ดีว่าบัดนี้ความไม่พอใจกำลังฉายชัดอยู่ในแววตา   พิสเซสคนปัจจุบันสะบัดปลายผมสีฟ้าหยักศกไปเบื้องหลังอย่างหงุดหงิดพร้อมกับเบือนสายตาออกไปยังดงกุหลาบพิษด้านนอกวิหาร   ด้วยไม่ต้องการจะพบกับการเผชิญหน้าอันสุดแสนประทับใจอีก   ร่างงามผึ่งผายยืดหลังตรงพลางเอามือไขว้หลังขณะที่พิสเซสอีกคนยืนนิ่งอยู่อีกฟากของวิหาร


“กำลังคิดนินทาข้าอยู่หรือไร”   เสียงที่ส่อแววประสงค์ร้ายดักคออย่างรู้เท่าทัน   ขณะที่เจ้าตัวเหลือบมองเขาทางหางตาแวบหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีอีกรอบ

...นั่นปะไร...  

นอกจากจะหัวรั้นแล้วยังฉลาดเป็นกรดอีกด้วย...

  
“ถ้าไม่อยากถูกนินทาก็เชิญท่านย้ายก้นออกไปจากวิหารข้าได้ทุกเมื่อ”   อโฟรดิเทถอนหายใจพร้อมทั้งผายมือไปที่ทางออก

พอกันที..  เขาจะเลิกสนใจคนๆนี้แล้ว


“แต่เท่าที่ข้าจำได้   ข้า..  พิสเซส  อัลบาฟิก้าคือผู้ดูแลวิหารแห่งนี้   เจ้าคงจะลืมไปกระมัง
คิดไม่ถึงจริงๆว่าเซนต์รุ่นนี้จะไม่มีความอดทน   ถามอะไรแค่นิดหน่อยก็พาลโมโห   ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน”

อัลบาฟิก้าโต้กลับด้วยเสียงเย็นเยียบที่ทำให้บรรยากาศยามเย็นดูจะเย็นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว   ใช่ว่าเขาจะชอบทำตัวกวนประสาทชาวบ้าน   ทว่าทุกสิ่งในโลกใหม่นี้ช่างเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะยอมรับได้โดยง่าย  อย่างเช่นยานพาหนะที่สามารถบินข้ามทวีปได้ภายในสองวันเป็นอย่างช้า   หรือเครื่องมือซึ่งมีชื่อประหลาดๆ..  GPS อะไรนั่น   ที่ช่วยในการนำทางโดยไม่ต้องอาศัยเข็มทิศหรือวิชาดูดาว

ไร้สาระ..  ไร้สาระทั้งเพ  

อย่างน้อยถ้าจะโม้ก็ควรจะมีขอบเขตบ้าง.. 

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนจึงได้พบเจอกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้   ทว่าการโผล่เข้ามาในยุคสมัยที่ผู้คนไม่รู้จักสรรพวิทยาแขนงต่างๆ   ทอดทิ้งวิชาดาราศาสตร์  เพิกเฉยต่อวิชาปรัชญา  และดูแคลนเรขาคณิต   ทั้งยังเป็นช่วงเวลาแห่งการทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยขาดสติ   ใจร้อน   และไม่เป็นคนเต็มคน   แล้วจะให้ทำใจเชื่อในสิ่งที่กล่าวมาได้หรือ.. 


...พวกคนเถื่อน....


อโฟรดิเทชูมือทั้งสองขึ้นราวกับยอมจำนน 

“ก็ได้..  เพื่อเห็นแก่ท่านที่เป็นผู้ดูแลวิหารนี้มาก่อน   แต่อย่างน้อยเราทั้งคู่จะเป็นมิตรกันมากกว่านี้มิได้หรือ” โกลเซนต์หนุ่มยื่นมือออกไปหาอัลบาฟิก้าเมื่อจบคำ   เพียงเพื่อจะพบกับสีหน้าเย็นชากับถ้อยคำเจ็บแสบ

“เราอย่าเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า”

มือที่ยื่นเข้ามาหาแข็งค้างอยู่เช่นนั้น   อัลบาฟิก้าจ้องมองไมตรีจิตที่ยื่นมาให้อย่างเมินเฉยก่อนจะก้าวถอยหลังไป   พลางรับรู้ถึงความรู้สึกผิดหวังและไม่เข้าใจของฝ่ายตรงข้าม  

...เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว....

จะเจ็บปวดไปใย   ..ในเมื่อตัวเรานี้เกิดมาโดยลำพัง   มีชีวิตอยู่โดยลำพังมาตลอด
หากจะจากไปโดยลำพังแล้วผิดตรงไหน...


อโฟรดิเทปล่อยให้แขนตกลงข้างลำตัว   ในฐานะที่เป็นถึงขุนพลแห่งแซงทัวรี่ไม่เคยมีครั้งใดที่ตนถูกหยามเกียรติถึงเพียงนี้   เขารู้ดีว่าควรจะแค้นเคือง..  รู้ดีว่าไม่ควรสนใจใยดีคนๆนี้อีกต่อไป   ด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่บังอาจดูหมิ่นเขาแล้วจะมีชีวิตรอดกลับไปได้   ผู้คนเหล่านั้นล้วนแต่มีชะตากรรมที่ต้องจบชีวิตอยู่แทบเท้าเขาทั้งนั้น   แต่กับพิสเซส  อัลบาฟิก้า..   โกลเซนต์จากอดีตผู้นี้กลับแตกต่างออกไป

“การใช้ชีวิตเพียงคนเดียวไปวันๆมีความสุขมากกว่างั้นหรือ” 

มิใช่คำถาม..  แต่เป็นการรำพึงกับตนเอง   กระนั้นกลับส่งผลให้อัลบาฟิก้าต้องชะงักงัน

...ไม่...

...ต้องใช่สิ..   ข้ามีความสุข


“เพียงเพราะข้าไม่ยอมรับในเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นจึงต้องถูกตัดสินง่ายๆเช่นนี้รึ”  อัลบาฟิก้าแค่นเสียงเฮอะในลำคออย่างดูถูก 

“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน   ข้าขอเตือนด้วยความปรารถนาดีในฐานะที่เป็นพิสเซสรุ่นก่อน   ช่วยจำใส่สมองเอาไว้ด้วยว่าโลกนี้ไม่ได้สวยสดงดงามอย่างที่เจ้าคิดหรอก  
ข้าไม่เคยรู้จักเจ้าและก็ไม่คิดจะทำดีด้วย   ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องมาสนใจใยดีข้า    ถึงแม้ว่าตัวข้าเองจะยังไม่รู้ว่าทำไมถึงมาโผล่ในที่เฮงซวยนี่ได้   แต่ในเมื่อไม่รู้จะหลีกหนีไปไหนดังนั้นเราต่างคนต่างอยู่   ..เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ”

พิสเซสคนปัจจุบันได้แต่ถอนใจ    คนพรรค์นี้น่าจะปล่อยให้ตายอย่างทุกข์ทรมานจริงๆ    ทว่าดูเหมือนถ้อยคำร้ายกาจพวกนี้ไม่ได้กลั่นออกมาจากใจจริงของคนที่จงใจหันข้างให้..   เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น   อโฟรดิเทรู้สึกว่าอีกฝ่ายเจตนาทำลายบรรยากาศดีๆระหว่างกันเพราะเหตุผลบางอย่าง      ยิ่งกว่านั้นเขายังสัมผัสได้ถึงความว้าเหว่ที่ซ่อนอยู่ลึกๆในตัวบุรุษผู้นี้   และหากว่ามันเป็นความจริง   อัลบาฟิก้าก็คือผู้ร้ายปากแข็งที่ปกปิดความจริงไว้ได้อย่างแนบเนียน

...คงต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง...


“คำตอบล่ะ..”

คนถามยังไม่ทันหันหน้ากลับมาก็มีอันต้องสะดุ้งเมื่อพิสเซสอีกคนหนึ่งพุ่งปราดเข้าประกบชิดจากด้านหลังแล้วกางแขนโอบกอดตน   วินาทีเดียวกับที่ฝ่ามือใหญ่ปัดแขนอีกฝ่ายออกไปอย่างแรงทว่าดูจะไม่เป็นผล 

“อย่ามาแตะต้องข้า!” อัลบาฟิก้าตวาดเสียงดังพลางชำเลืองมองคนที่กอดรัดตนด้วยแววตาคมกริบ   และเมื่อเห็นว่าอโฟรดิเทยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยมือคำพูดต่อมาก็ส่อแววคุกคามมากขึ้น

“ถ้าหากไม่ปล่อยข้าจะฆ่าเจ้าซะ!  คิดว่าตนเองเป็นใคร!!” 

“ข้าก็เป็นเพียงโกลเซนต์คนหนึ่งเท่านั้น” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วและยังคงดื้อดึงจนถึงที่สุด


พิสเซส  อัลบาฟิก้าถอนหายใจยาวพลางหลับตาลง ..เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ..  บุรุษผู้เป็นตำนานยืนนิ่งไม่ไหวติงพลางเชิดศีรษะขึ้นแล้วตัดสินใจที่จะเลิกใช้ไม้แข็ง   ในเมื่อเวลานี้ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลา   ยิ่งปล่อยให้กอดรัดนานเท่าไรอโฟรดิเทก็ยิ่งเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่านั้น   ทั้งที่จริงๆแล้วทั้งคู่ต่างก็มิได้มีความแค้นอันใดต่อกัน   จึงไม่ควรที่จะต้องมีใครจบชีวิตลง   ทว่าเมื่อเห็นว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยตน   หน้ากากจอมปลอมที่สร้างไว้ปิดบังความจริงจึงค่อยๆเลื่อนหลุดไปทีละน้อย   

“ปล่อยข้าเถอะ..  
ร่างกายข้าเต็มไปด้วยพิษร้าย   การที่เจ้าทำตัวดื้อด้านเช่นนี้ก็มีแต่จะต้องพบกับความตายเท่านั้น”  

“ในที่สุดท่านก็ยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงเสียที” อโฟรดิเทถอนหายใจแผ่วเบาพลางพยายามบังคับสุ้มเสียงให้เป็นปกติ   ด้วยไม่ต้องการแสดงอาการให้เห็นว่าตนได้รับพิษเข้าสู่ร่างกาย  

“แท้จริงแล้วท่านนั้นว่าเหว่และโหยหาอ้อมกอดมากกว่าใคร   ตัวท่านเองก็รู้ตัวดี”  ถึงแม้จะเป็นพิสเซสเช่นเดียวกัน   ทว่าระดับความเข้มข้นจากพิษของอัลบาฟิก้านั้นแตกต่างจากพิษของตนอย่างลิบลับ   และหากว่าตนมิใช่พิสเซส  อโฟรดิเทแล้วล่ะก็..  ป่านนี้คงสิ้นชีพไปนานแล้ว  

“ทั้งๆที่มีมิตรสหายห้อมล้อมอยู่มากมาย   แต่ท่านกลับเลือกที่จะปฎิเสธพวกเขาเหล่านั้นเพียงเพราะกลัวว่าเพื่อนจะมีอันตราย   ข้านับถือท่านจริงๆ”



“อโฟรดิเท!!”  

อัลบาฟิก้าร้องเรียกอย่างใจหายเมื่ออีกฝ่ายคลายวงแขนออกก่อนจะทรุดฮวบลงกองกับพื้น  

..ก็เพราะเหตุนี้   ข้าจึงไม่ต้องการจะข้องเกี่ยวกับผู้ใด...

โกลเซนต์พิสเซสคุกเข่าลงกับพื้นพลางเฝ้ามองพิสเซสอีกคนหนึ่งอย่างเป็นกังวล   แต่ถึงจะเป็นห่วงสักเท่าไรก็ไม่อาจสัมผัสแตะต้องอีกฝ่ายได้เพราะจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมพิษร้ายให้หนักกว่าเดิม   ทว่าอโฟรดิเทกลับเอื้อมมือมาจับมือตนไว้แน่นทั้งๆที่ใบหน้าขาวซีด   ลมหายใจเริ่มขาดเป็นห้วงๆ   และตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อไหลโทรม   ทว่าประกายสุกใสในแววตากลับฉายชัดว่าไม่ยอมแพ้  

“นี่ไงล่ะ.. ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว” เซนต์หนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว   พร้อมกับพยุงตนเองขึ้นพลางถ่มเลือดลงบนพื้น   กระนั้นก็ยังคงยึดมืออีกฝ่ายไว้แน่น  ขณะที่อัลบาฟิได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ    เขาไม่เคยพบใครที่ดื้อด้านเท่านี้มาก่อนเลย

“ยังรับพิษจากข้าไม่พออีกหรือไง   ทำไมถึงไม่ปล่อยมือ” 

“ข้าไม่เป็นไรหรอก   วางใจเถอะ” อโฟรดิเทยกแขนขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก   เพื่อเห็นแก่คนๆนี้..  เขาจำเป็นต้องเข้มแข็ง

“ท่านคงจะลืมแล้วกระมัง   ว่าถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ใช้พิษคนหนึ่งเช่นกัน
ข้าคือพิสเซส  อโฟรดิเท.. ผู้สืบทอดของท่าน    จะตายง่ายๆด้วยเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร    อย่าได้เป็นห่วงไม่เข้าท่าเลย” 

อัลบาฟิก้าไม่ฟังเสียง   โกลเซนต์หนุ่มสะบัดมือจนหลุดจากการเกาะกุมที่ไร้เรี่ยวแรงด้วยไม่ต้องการจะเห็นความตายมาเยือน เพื่อนที่ตนก็ไม่ได้อยากจะมีสักเท่าไร   ทว่าก็อาจจริงดังคำพูดของอโฟรดิเท..   ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้รับการสัมผัสจากผู้อื่นเลย   ดังนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าการถูกกอดนั้นให้ความรู้สึกอย่างไร

“ช่างเถอะ   ถึงยังไงข้าก็เป็นหนี้เจ้าแล้ว
จริงอย่างที่เจ้าว่า.. ที่ผ่านมาข้าได้แต่กีดกันผู้อื่นให้ห่างตัวเพราะความเป็นห่วงไม่เข้าท่า    เพราะแม้แต่มารดาข้าก็ยังไม่กล้าแตะต้องตัวข้าด้วยกลัวพิษร้าย” ชายหนุ่มจบคำพลางขยับลุก   ร่างสูงภายใต้โกลครอธยืดกายขึ้นแล้วสะบัดผ้าคลุมไปด้านหลัง    แววแห่งการยอมรับนับถือปรากฏอยู่ในสายตาที่จับจ้องโกลเซนต์อีกคน

“ข้าขอถอนคำพูดที่ว่าผิดหวังในตัวเจ้า   อัลบาฟิก้าผู้นี้รู้สึกภูมิใจนัก..   ที่มีเจ้าเป็นผู้สืบทอด
ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้ความลับเรื่องร่างกายของข้าได้อย่างไร   แต่ก็พอจะมองออกว่าเลือดของเจ้าไม่มีพิษ   และทั้งที่เป็นเช่นนั้นก็ยังยอมเสี่ยงตายถึงเพียงนี้   เจ้านี่ใจกล้าบ้าบิ่นมากกว่าข้าเสียอีก”

เป็นครั้งแรกที่ต่างฝ่ายต่างก็มอบรอยยิ้มให้แก่กัน   อโฟรดิเทขยับเข้าไปยืนเคียงข้างอัลบาฟิก้าพลางเอนหลังพิงเสาหินแล้วเฝ้าคอยให้ท้องฟ้ามืดสนิท   รอเวลาที่กลุ่มดาวพิสเซสจะสุกสกาวบนฟากฟ้า

“เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายของพวกเราน่ะสิ  
ทั้งท่าน  ..และข้า..  เมื่อถึงคราวจำเป็นแล้วเราต่างก็สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเพื่อนมิใช่หรือ”


~End~


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น