ใครบางคนบอกว่าความรู้ทางดาราศาสตร์จะช่วยให้ไม่หลงทาง
แต่เชื่อข้าเถอะ.. ไม่ว่าจะศิลปศาสตร์กี่แขนงก็มิอาจพาท่านออกไปจากวงกตแห่งนี้ได้
ดังนั้นอย่ามัวแต่คิดหาคำตอบที่ไม่เคยมีอยู่เลย
จงก้าวไปข้างหน้า..
แล้วทำลายกำแพงนั่นซะ
พิสเซส อัลบาฟิก้า โกลเซนต์แห่งราศีมีน
แซงทัวรี่ นครศักดิ์สิทธิ์
ยุคที่มนุษย์เลิกชื่นชมในสรรพวิทยาทั้งเจ็ด...
“ให้ตายเถอะ!”
ฝ่ามือใหญ่ตบโต๊ะปังอย่างหัวเสียส่งผลให้คนถูกตะคอกสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าคงจะต้องใช้มากกว่ากิริยาปึงปังจึงจะทำให้เขากลัวได้สักนิด
...ยังไงก็แค่เด็กเมื่อวานซืน...
“จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ ว่าในศตวรรษนี้ไม่มีใครเชื่อเรื่องโลกแบนอีกแล้ว!
ดังนั้นถึงแม้ท่านจะเดินทางไปจนสุดขอบฟ้าก็ไม่มีทางตกลงไปได้หรอก!!”
บุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเสมองไปทางอื่น ใบหน้าหมดจดเรียบเฉยไร้อารมณ์ดั่งจะไม่นำพากับอากัปอันฉุนเฉียวของฝ่ายตรงข้าม
ร่างงามสง่าในชุดเกราะทองอร่ามยืดกายขึ้นอย่างไว้ตัว ขณะที่คู่สนทนาพยายามเก็บอารมณ์สุดฤทธิ์
“แล้วยังไง..”
การถามเสียงแผ่วอย่างไม่แคร์โลกทั้งใบส่งผลให้คนที่ทุ่มเทความพยายามอธิบายความเป็นไปทุกอย่างต้องหัวเสียอีกรอบ กระนั้นอัลบาฟิก้ากลับเมินเฉย โกลเซนต์พิสเซสจับจ้องโกลเซนต์พิสเซสอีกคนหนึ่งด้วยแววตาเฉยชาก่อนจะสะบัดหน้าหนี
ทิ้งให้อโฟรดิเทยืนกำหมัดนิ่งด้วยอยากจะต่อยคนดื้อด้านสักหมัด ทว่าก็จำต้องข่มกลั้นไว้
เขาไม่เข้าใจ
จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดโกลเซนต์เมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้วจึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่.. ในช่วงเวลานี้ ขุนพลวิหารสุดท้ายแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นตำนานเล่าขาน ..พิสเซส
อัลบาฟิก้า.. บุรุษผู้ยอมพลีชีพตนเพื่อปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้รับการสรรเสริญเยี่ยงวีรบุรุษมาช้านานแล้ว และไม่มีเซนต์คนใดที่มิได้เติบโตขึ้นมาภายใต้ตำนานแห่งผู้กล้าอัลบาฟิก้า
ผู้เป็นตัวอย่างของความรักและความเสียสละอันยิ่งใหญ่
อโฟรดิเทอยากจะหัวเราะทว่าก็กลับขำไม่ออก
เมื่อวีรบุรุษผู้กล้าคนที่ว่ากลับกลายเป็นไอ้ตัวแสบสุดๆอย่างชนิดที่คิดไม่ถึง ใบหน้างามพิสุทธิ์นั่นอาจสะกดลมหายใจเขาได้ในวินาทีแรกที่ได้ยลก็จริง ทว่าน้ำคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากชวนมองนั้นพาให้วิมานล่มเอาได้ง่ายๆ เขาอยากจะเข้าใจว่าองค์ความรู้ในยุคโบราณนั้นแตกต่างกับยุคปัจจุบันมากนัก
ทว่าอัลบาฟิก้ากลับไม่พยายามจะทำความเข้าใจอะไรเลย ไม่เลยสักนิด.. มิหนำซ้ำยังทำสีหน้าราวกับกำลังฟังเด็กเล่านิทาน
และเขาเกลียดแววดูแคลนในดวงตาคู่นั้นเป็นบ้า ..ให้ตายสิ
เพราะรู้ดีว่าบัดนี้ความไม่พอใจกำลังฉายชัดอยู่ในแววตา
พิสเซสคนปัจจุบันสะบัดปลายผมสีฟ้าหยักศกไปเบื้องหลังอย่างหงุดหงิดพร้อมกับเบือนสายตาออกไปยังดงกุหลาบพิษด้านนอกวิหาร ด้วยไม่ต้องการจะพบกับการเผชิญหน้าอันสุดแสนประทับใจอีก ร่างงามผึ่งผายยืดหลังตรงพลางเอามือไขว้หลังขณะที่พิสเซสอีกคนยืนนิ่งอยู่อีกฟากของวิหาร
“กำลังคิดนินทาข้าอยู่หรือไร”
เสียงที่ส่อแววประสงค์ร้ายดักคออย่างรู้เท่าทัน ขณะที่เจ้าตัวเหลือบมองเขาทางหางตาแวบหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีอีกรอบ
...นั่นปะไร...
นอกจากจะหัวรั้นแล้วยังฉลาดเป็นกรดอีกด้วย...
“ถ้าไม่อยากถูกนินทาก็เชิญท่านย้ายก้นออกไปจากวิหารข้าได้ทุกเมื่อ” อโฟรดิเทถอนหายใจพร้อมทั้งผายมือไปที่ทางออก
พอกันที..
เขาจะเลิกสนใจคนๆนี้แล้ว
“แต่เท่าที่ข้าจำได้ ข้า.. พิสเซส
อัลบาฟิก้าคือผู้ดูแลวิหารแห่งนี้ เจ้าคงจะลืมไปกระมัง
คิดไม่ถึงจริงๆว่าเซนต์รุ่นนี้จะไม่มีความอดทน ถามอะไรแค่นิดหน่อยก็พาลโมโห ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน”
อัลบาฟิก้าโต้กลับด้วยเสียงเย็นเยียบที่ทำให้บรรยากาศยามเย็นดูจะเย็นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ใช่ว่าเขาจะชอบทำตัวกวนประสาทชาวบ้าน ทว่าทุกสิ่งในโลกใหม่นี้ช่างเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะยอมรับได้โดยง่าย อย่างเช่นยานพาหนะที่สามารถบินข้ามทวีปได้ภายในสองวันเป็นอย่างช้า หรือเครื่องมือซึ่งมีชื่อประหลาดๆ.. GPS อะไรนั่น ที่ช่วยในการนำทางโดยไม่ต้องอาศัยเข็มทิศหรือวิชาดูดาว
ไร้สาระ.. ไร้สาระทั้งเพ
อย่างน้อยถ้าจะโม้ก็ควรจะมีขอบเขตบ้าง..
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนจึงได้พบเจอกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ ทว่าการโผล่เข้ามาในยุคสมัยที่ผู้คนไม่รู้จักสรรพวิทยาแขนงต่างๆ ทอดทิ้งวิชาดาราศาสตร์
เพิกเฉยต่อวิชาปรัชญา และดูแคลนเรขาคณิต ทั้งยังเป็นช่วงเวลาแห่งการทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยขาดสติ ใจร้อน
และไม่เป็นคนเต็มคน แล้วจะให้ทำใจเชื่อในสิ่งที่กล่าวมาได้หรือ..
...พวกคนเถื่อน....
อโฟรดิเทชูมือทั้งสองขึ้นราวกับยอมจำนน
“ก็ได้.. เพื่อเห็นแก่ท่านที่เป็นผู้ดูแลวิหารนี้มาก่อน แต่อย่างน้อยเราทั้งคู่จะเป็นมิตรกันมากกว่านี้มิได้หรือ”
โกลเซนต์หนุ่มยื่นมือออกไปหาอัลบาฟิก้าเมื่อจบคำ
เพียงเพื่อจะพบกับสีหน้าเย็นชากับถ้อยคำเจ็บแสบ
“เราอย่าเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า”
มือที่ยื่นเข้ามาหาแข็งค้างอยู่เช่นนั้น อัลบาฟิก้าจ้องมองไมตรีจิตที่ยื่นมาให้อย่างเมินเฉยก่อนจะก้าวถอยหลังไป
พลางรับรู้ถึงความรู้สึกผิดหวังและไม่เข้าใจของฝ่ายตรงข้าม
...เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว....
จะเจ็บปวดไปใย
..ในเมื่อตัวเรานี้เกิดมาโดยลำพัง
มีชีวิตอยู่โดยลำพังมาตลอด
หากจะจากไปโดยลำพังแล้วผิดตรงไหน...
อโฟรดิเทปล่อยให้แขนตกลงข้างลำตัว
ในฐานะที่เป็นถึงขุนพลแห่งแซงทัวรี่ไม่เคยมีครั้งใดที่ตนถูกหยามเกียรติถึงเพียงนี้ เขารู้ดีว่าควรจะแค้นเคือง.. รู้ดีว่าไม่ควรสนใจใยดีคนๆนี้อีกต่อไป ด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่บังอาจดูหมิ่นเขาแล้วจะมีชีวิตรอดกลับไปได้ ผู้คนเหล่านั้นล้วนแต่มีชะตากรรมที่ต้องจบชีวิตอยู่แทบเท้าเขาทั้งนั้น แต่กับพิสเซส
อัลบาฟิก้า.. โกลเซนต์จากอดีตผู้นี้กลับแตกต่างออกไป
“การใช้ชีวิตเพียงคนเดียวไปวันๆมีความสุขมากกว่างั้นหรือ”
มิใช่คำถาม..
แต่เป็นการรำพึงกับตนเอง
กระนั้นกลับส่งผลให้อัลบาฟิก้าต้องชะงักงัน
...ไม่...
...ต้องใช่สิ.. ข้ามีความสุข
“เพียงเพราะข้าไม่ยอมรับในเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นจึงต้องถูกตัดสินง่ายๆเช่นนี้รึ”
อัลบาฟิก้าแค่นเสียงเฮอะในลำคออย่างดูถูก
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน
ข้าขอเตือนด้วยความปรารถนาดีในฐานะที่เป็นพิสเซสรุ่นก่อน ช่วยจำใส่สมองเอาไว้ด้วยว่าโลกนี้ไม่ได้สวยสดงดงามอย่างที่เจ้าคิดหรอก
ข้าไม่เคยรู้จักเจ้าและก็ไม่คิดจะทำดีด้วย ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องมาสนใจใยดีข้า
ถึงแม้ว่าตัวข้าเองจะยังไม่รู้ว่าทำไมถึงมาโผล่ในที่เฮงซวยนี่ได้ แต่ในเมื่อไม่รู้จะหลีกหนีไปไหนดังนั้นเราต่างคนต่างอยู่ ..เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ”
พิสเซสคนปัจจุบันได้แต่ถอนใจ
คนพรรค์นี้น่าจะปล่อยให้ตายอย่างทุกข์ทรมานจริงๆ ทว่าดูเหมือนถ้อยคำร้ายกาจพวกนี้ไม่ได้กลั่นออกมาจากใจจริงของคนที่จงใจหันข้างให้.. เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น
อโฟรดิเทรู้สึกว่าอีกฝ่ายเจตนาทำลายบรรยากาศดีๆระหว่างกันเพราะเหตุผลบางอย่าง ยิ่งกว่านั้นเขายังสัมผัสได้ถึงความว้าเหว่ที่ซ่อนอยู่ลึกๆในตัวบุรุษผู้นี้ และหากว่ามันเป็นความจริง อัลบาฟิก้าก็คือผู้ร้ายปากแข็งที่ปกปิดความจริงไว้ได้อย่างแนบเนียน
...คงต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง...
“คำตอบล่ะ..”
คนถามยังไม่ทันหันหน้ากลับมาก็มีอันต้องสะดุ้งเมื่อพิสเซสอีกคนหนึ่งพุ่งปราดเข้าประกบชิดจากด้านหลังแล้วกางแขนโอบกอดตน
วินาทีเดียวกับที่ฝ่ามือใหญ่ปัดแขนอีกฝ่ายออกไปอย่างแรงทว่าดูจะไม่เป็นผล
“อย่ามาแตะต้องข้า!” อัลบาฟิก้าตวาดเสียงดังพลางชำเลืองมองคนที่กอดรัดตนด้วยแววตาคมกริบ
และเมื่อเห็นว่าอโฟรดิเทยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยมือคำพูดต่อมาก็ส่อแววคุกคามมากขึ้น
“ถ้าหากไม่ปล่อยข้าจะฆ่าเจ้าซะ!
คิดว่าตนเองเป็นใคร!!”
“ข้าก็เป็นเพียงโกลเซนต์คนหนึ่งเท่านั้น” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วและยังคงดื้อดึงจนถึงที่สุด
พิสเซส อัลบาฟิก้าถอนหายใจยาวพลางหลับตาลง
..เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ.. บุรุษผู้เป็นตำนานยืนนิ่งไม่ไหวติงพลางเชิดศีรษะขึ้นแล้วตัดสินใจที่จะเลิกใช้ไม้แข็ง ในเมื่อเวลานี้ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลา
ยิ่งปล่อยให้กอดรัดนานเท่าไรอโฟรดิเทก็ยิ่งเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งที่จริงๆแล้วทั้งคู่ต่างก็มิได้มีความแค้นอันใดต่อกัน จึงไม่ควรที่จะต้องมีใครจบชีวิตลง
ทว่าเมื่อเห็นว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยตน หน้ากากจอมปลอมที่สร้างไว้ปิดบังความจริงจึงค่อยๆเลื่อนหลุดไปทีละน้อย
“ปล่อยข้าเถอะ..
ร่างกายข้าเต็มไปด้วยพิษร้าย
การที่เจ้าทำตัวดื้อด้านเช่นนี้ก็มีแต่จะต้องพบกับความตายเท่านั้น”
“ในที่สุดท่านก็ยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงเสียที” อโฟรดิเทถอนหายใจแผ่วเบาพลางพยายามบังคับสุ้มเสียงให้เป็นปกติ ด้วยไม่ต้องการแสดงอาการให้เห็นว่าตนได้รับพิษเข้าสู่ร่างกาย
“แท้จริงแล้วท่านนั้นว่าเหว่และโหยหาอ้อมกอดมากกว่าใคร ตัวท่านเองก็รู้ตัวดี” ถึงแม้จะเป็นพิสเซสเช่นเดียวกัน ทว่าระดับความเข้มข้นจากพิษของอัลบาฟิก้านั้นแตกต่างจากพิษของตนอย่างลิบลับ และหากว่าตนมิใช่พิสเซส อโฟรดิเทแล้วล่ะก็.. ป่านนี้คงสิ้นชีพไปนานแล้ว
“ทั้งๆที่มีมิตรสหายห้อมล้อมอยู่มากมาย แต่ท่านกลับเลือกที่จะปฎิเสธพวกเขาเหล่านั้นเพียงเพราะกลัวว่าเพื่อนจะมีอันตราย ข้านับถือท่านจริงๆ”
“อโฟรดิเท!!”
อัลบาฟิก้าร้องเรียกอย่างใจหายเมื่ออีกฝ่ายคลายวงแขนออกก่อนจะทรุดฮวบลงกองกับพื้น
..ก็เพราะเหตุนี้
ข้าจึงไม่ต้องการจะข้องเกี่ยวกับผู้ใด...
โกลเซนต์พิสเซสคุกเข่าลงกับพื้นพลางเฝ้ามองพิสเซสอีกคนหนึ่งอย่างเป็นกังวล แต่ถึงจะเป็นห่วงสักเท่าไรก็ไม่อาจสัมผัสแตะต้องอีกฝ่ายได้เพราะจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมพิษร้ายให้หนักกว่าเดิม ทว่าอโฟรดิเทกลับเอื้อมมือมาจับมือตนไว้แน่นทั้งๆที่ใบหน้าขาวซีด ลมหายใจเริ่มขาดเป็นห้วงๆ และตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อไหลโทรม
ทว่าประกายสุกใสในแววตากลับฉายชัดว่าไม่ยอมแพ้
“นี่ไงล่ะ.. ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว” เซนต์หนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว พร้อมกับพยุงตนเองขึ้นพลางถ่มเลือดลงบนพื้น
กระนั้นก็ยังคงยึดมืออีกฝ่ายไว้แน่น
ขณะที่อัลบาฟิได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่เคยพบใครที่ดื้อด้านเท่านี้มาก่อนเลย
“ยังรับพิษจากข้าไม่พออีกหรือไง
ทำไมถึงไม่ปล่อยมือ”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก วางใจเถอะ”
อโฟรดิเทยกแขนขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก เพื่อเห็นแก่คนๆนี้..
เขาจำเป็นต้องเข้มแข็ง
“ท่านคงจะลืมแล้วกระมัง
ว่าถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ใช้พิษคนหนึ่งเช่นกัน
ข้าคือพิสเซส อโฟรดิเท.. ผู้สืบทอดของท่าน จะตายง่ายๆด้วยเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร อย่าได้เป็นห่วงไม่เข้าท่าเลย”
อัลบาฟิก้าไม่ฟังเสียง
โกลเซนต์หนุ่มสะบัดมือจนหลุดจากการเกาะกุมที่ไร้เรี่ยวแรงด้วยไม่ต้องการจะเห็นความตายมาเยือน
‘เพื่อน’ ที่ตนก็ไม่ได้อยากจะมีสักเท่าไร
ทว่าก็อาจจริงดังคำพูดของอโฟรดิเท..
ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้รับการสัมผัสจากผู้อื่นเลย ดังนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าการถูกกอดนั้นให้ความรู้สึกอย่างไร
“ช่างเถอะ ถึงยังไงข้าก็เป็นหนี้เจ้าแล้ว
จริงอย่างที่เจ้าว่า.. ที่ผ่านมาข้าได้แต่กีดกันผู้อื่นให้ห่างตัวเพราะความเป็นห่วงไม่เข้าท่า เพราะแม้แต่มารดาข้าก็ยังไม่กล้าแตะต้องตัวข้าด้วยกลัวพิษร้าย”
ชายหนุ่มจบคำพลางขยับลุก
ร่างสูงภายใต้โกลครอธยืดกายขึ้นแล้วสะบัดผ้าคลุมไปด้านหลัง แววแห่งการยอมรับนับถือปรากฏอยู่ในสายตาที่จับจ้องโกลเซนต์อีกคน
“ข้าขอถอนคำพูดที่ว่าผิดหวังในตัวเจ้า อัลบาฟิก้าผู้นี้รู้สึกภูมิใจนัก..
ที่มีเจ้าเป็นผู้สืบทอด
ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้ความลับเรื่องร่างกายของข้าได้อย่างไร แต่ก็พอจะมองออกว่าเลือดของเจ้าไม่มีพิษ และทั้งที่เป็นเช่นนั้นก็ยังยอมเสี่ยงตายถึงเพียงนี้ เจ้านี่ใจกล้าบ้าบิ่นมากกว่าข้าเสียอีก”
เป็นครั้งแรกที่ต่างฝ่ายต่างก็มอบรอยยิ้มให้แก่กัน อโฟรดิเทขยับเข้าไปยืนเคียงข้างอัลบาฟิก้าพลางเอนหลังพิงเสาหินแล้วเฝ้าคอยให้ท้องฟ้ามืดสนิท รอเวลาที่กลุ่มดาวพิสเซสจะสุกสกาวบนฟากฟ้า
“เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายของพวกเราน่ะสิ
ทั้งท่าน ..และข้า.. เมื่อถึงคราวจำเป็นแล้วเราต่างก็สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเพื่อนมิใช่หรือ”
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น