8/16/2555

Special Request For mzelda:Only You… In My Arms nc17






มันจะอะไรกันนักกันหนา......... 


เจ้าสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตานี่.....    ช่างน่ารำคาญเสียจริง



บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนยาวสลวยที่เปียกลู่จนติดหนังศีรษะกับดวงหน้าที่งดงามล้ำค่าราวกับอิสตรีจำต้องรีบหาที่กำบังอย่างเร่งร้อน  


ถึงเเม้ว่าอากาศยามค่ำคืนของท้องที่เเถวๆตอนใต้ของฝรั่งเศสจะค่อนข้างเย็นถึงเย็นจัด   เเละมันก็ทำให้เขาถึงกับฟันกระทบกันหากทว่า...

เขาก็ยังคงนั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้า   พร้อมกับมุ่งหน้าต่อไปท่ามกลางความมืด  จนกว่าจะสามารถหาที่พักที่ไหนสักเเห่งที่พอจะหลบฝนได้




ใช่.....   มันหนาวจับขั้วหัวใจจริงๆ  


ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลายต่อหลายชั้นที่เขาสวมใส่อยู่บนร่าง   อีกทั้งผ้าผูกคอเนื้อหนาชั้นดีที่เเสนอบอุ่น  ซึ่งในตอนนี้   ทั้งหมดที่กล่าวมันกลับแปรสภาพเหมือนเป็นฟองน้ำ.. ที่อุ้มน้ำเอาไว้เสียจนหนักอึ้ง  เเละมันก็ทำให้เขานึกอยากจะกระชากทิ้งหลายต่อหลายหน  



เเละก่อนที่เขาจะทันได้ตระหนักว่าตนมาผิดทาง   เขาก็ได้พบว่าตนเองมาจนมุมที่หน้าผาอันสูงชันเสียเเล้ว   ในขณะที่เบื้องล่างเป็นท้องทะเลลึกดำมืด.......


ท่ามกลางบรรยากาศของสายฝนที่โปรยปราย   พร้อมด้วยแสงสว่างเป็นเส้นสีขาววะวาบบนท้องฟ้า ตามด้วยเสียงคำรนคำรามที่น่าสะพรึงกลัวราวกับอสูรกายแห่งรัตติกาล...   ตลอดจนบรรยากาศอันหนาวเหน็บเสียจนแทบจะชาดิกไปทั้งร่าง  พร้อมด้วยเสียงคลื่นที่ม้วนตัวเข้าถาโถมใส่โขดหินเบื้องล่างจนเกิดละอองแตกเป็นฝอยซ่านกระเซ็น.....    


มันคือฝันร้าย..   ที่อุบัติขึ้นมาหลอกหลอนเหล่านักเดินทางท่ามกลางความมืดอันแสนโดดเดี่ยววังเวงภายใต้ทัศนวิสัยที่บ้าสุดขีดชัดๆ

...และเขาก็ได้เเต่ก่นด่าความโง่เง่าของตัวเอง..... 



อันที่จริงเขาควรจะเลือกไปทางซ้ายตั้งเเต่เมื่อครู่ต่างหาก   มิใช่มาทางขวาเพียงเพื่อจะต้องมาพบกับทางตันอย่างนี้....



เเต่ถึงกระนั้น...


ก็ยังดูเหมือนว่าเทพธิดาเเห่งโชคจะยังมิได้ทอดทิ้งเขาเสียทีเดียว   เมื่อในที่สุดเขาก็พบว่ามีเงาตะคุ่มๆของสิ่งปลูกสร้างอยู่ไม่ห่างออกไปนัก    ...และถึงเเม้ว่ามันจะดูน่าสะพรึงกลัวทว่า...   ก็ยังดีกว่าที่จะต้องทนหนาวอยู่ตรงนี้


อย่างไม่รอช้า..    ชายหนุ่มก็รีบชักม้ามุ่งตรงเข้าไปในทันที    ....ภาพที่เขาเห็นตรงหน้า   คือคฤหาสน์ขนาดย่อมอันเเสนเก่าเเก่ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวที่ริมหน้าผาสูงชัน




มันไม่ถึงกับจะร้างผู้ดูเเลนัก   ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าภายในระยะเวลา2-3เดือนที่ผ่านมานี้มันมิได้รับการดูเเลสักเท่าไร...  



ด้วยความหวังเเค่เพียงคอกม้าเล็กๆสักแห่งที่จะพอซุกหัวนอนหลบฝน   ชายหนุ่มจึงมิได้สนใจที่จะมองไปยังตัวคฤหาสน์เลยเเม้เเต่น้อย    เเต่ทว่า... 

ในอึดใจนั้นเอง สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเข้าพอดี   ว่าประตูหน้าเปิดเเง้มอยู่.....


ดวงตาสีเขียวเข้มเบิกกว้างอย่างยินดี   เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองยังกับได้โชคสองชั้นก็มิปาน  เมื่อเขาค่อนข้างเเน่ใจว่าอย่างไรเสียคืนนี้ตนก็คงจะได้นอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ    มีเตาผิงอันอบอุ่น  เเละถ้าเขาโชคดีพอเขาอาจจะพอหาอะไรใส่ท้องได้บ้าง




หลังจากผูกม้าเรียบร้อยเเล้ว.....   เขาก็เข้าไปข้างในคฤหาสน์  


.....ข้างในทั้งมืดเเละอับ  และนั่นยิ่งเป็นข้อพิสูจน์   ว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่มานานพอสมควรแล้ว....   


และหลังจากที่ควานหาเชื้อเพลิงอยู่ท่ามกลางความมืดครู่ใหญ่ในที่สุดเขาก็เจอมันเข้าจนได้...  

ด้วยความดีอกดีใจ  ชายหนุ่มก็เเบกฟืนมาเต็ม2อ้อมเเขนเเล้วก้าวไปที่เตาผิงในห้องนั่งเล่น   เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น.. เปลวไฟสีทองอันอบอุ่นก็ลุกโชนขึ้น    ทั้งความสว่างเเละไอร้อนของมัน   ทำให้คนที่กำลังจะเเข็งตายได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก



ชายหนุ่มรีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกอันหนักอึ้งออกจากร่าง  ก่อนจะนำมาผึ่งไฟให้เเห้ง  ตามด้วยเสื้อกั๊กตัวในที่เข้าชุดกับเสื้อคลุม   เสื้อสีขาวเเขนยาวจับระบายลูกไม้ที่ปกเสื้อเเละปลายเเขน   พร้อมด้วยผ้าผูกคอเนื้อหนาสีขาวสะอาดที่อุ้มน้ำไว้เต็มที่   เเละ...  ผ้าผูกเอวสีเเดงเลือดหมู  ตบท้ายด้วยรองเท้าหนังลูกกวางสีน้ำตาลเข้มที่ยาวเกือบถึงหัวเข่า  พร้อมด้วยถุงน่องเนื้อหนาสีครีม

เหลือเพียงกางเกงหนังเข้ารูปสีดำที่ยาวเพียงเเค่หน้าแข้งติดอยู่บนร่าง



เเละก่อนที่จะหนาวตาย   เขาก็ยกมือขึ้นอังไฟพร้อมกับถูมือที่เย็นจนซีดไปมาอย่างเร็วๆ   พร้อมทั้งกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง


เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นในห้องของคฤหาสน์หลังนี้ถูกคลุมทับไว้ด้วยผ้าสีขาว  ในขณะที่เขาเองก็ไม่คิดที่จะทำความเดือดร้อนให้กับผู้เป็นเจ้าของด้วยการรื้อมันออกมาหรอก  ทว่า... 

หากจะขอเดินสำรวจดูสักหน่อยก็คงจะไม่เป็นการรบกวนเกินไปนัก




และเขาพบว่าตนเองคิดถูกจริงๆ  ...เมื่อผลที่ได้จากการสำรวจทำให้เขาได้อิ่มท้อง

ดวงตาสีเขียวเข้มกวาดมองขนมปังเเห้ง3-4ก้อนที่วางอยู่ข้างตัว   ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับขนมมาร์ชเเมลโล่ที่เสียบติดอยู่กับเหล็กปลายแหลมในมือ

กลิ่นอาหารอันหอมหวนที่ทำให้กระเพาะต้องร้องครวญครางอบอวลไปทั่วทั้งห้อง    เมื่อขนมปังปิ้งสุกได้ที่พร้อมด้วยมาร์ชเเมลโล่ร้อนๆที่หวานนุ่มชุ่มลิ้นชวนให้น้ำลายสอ



ทว่า...  ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ได้อิ่มง่ายๆ   เมื่อทันใดนั้นเองประตูคฤหาสน์ก็เปิดออกพร้อมด้วยร่างอันสูงใหญ่ของบุรุษผู้มาใหม่



ชายหนุ่มหันไปคว้าดาบข้างกายขึ้นมาเตรียมพร้อมทันที   ในขณะที่ผู้มาใหม่ก็ชะงักค้างอยู่ที่กระตูพร้อมด้วยปืนสั้นในมือ




ใจเย็นพรรคพวก    ข้ามาดีนะ   ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกล่าวเสียงสั่นด้วยความหนาวเหน็บพร้อมด้วยฟันที่กระทบกัน   ก่อนจะลดปืนในมือลงอย่างช้าๆ


ข้าขี่ม้าหลงทางมาเเถวๆนี้    พอดีเห็นเเสงไฟที่นี่ก็เลยลองเเวะเข้ามาดู   ....ถ้ายังไง  ขอข้าเข้าไปผิงไฟกับเจ้าด้วยคนได้มั้ย




เชิญสิท่าน..   ตามสบายเลย   อันที่จริงข้าเองก็เป็นผู้มาขออาศัยเช่นเดียวกับท่านนั่นล่ะ.... 

ชายหนุ่มคนเเรกเอ่ยเสียงเเผ่วเบา  ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝักเเล้วทรุดร่างลงนั่งตามเดิม




และในชั่วอึดใจนั้นเอง...   

ที่เเสงสว่างจากเตาผิงได้ส่องให้ทั้งคู่ได้เห็นหน้ากันเเละกันชัดๆ



ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริด  ในเสี้ยวนาทีที่ดวงตาสีเขียวเข้มประสานเข้ากับดวงตาสีทองของบุรุษอีกคนหนึ่ง   ทั้งคู่ก็จำกันเเละกันได้ในทันที





...ท่านอัลเดบารัน.....  


น้ำเสียงที่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มนั้นเบาหวิวเสียจนเเทบจะไม่ต่างจากเสียงกระซิบพร้อมด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงพรึงเพริดอย่างที่สุด....   ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งถูกเรียกว่าอัลเดบารันเองก็มีสภาพที่ไม่แตกต่างกันนัก  ....เมื่อเขาถึงกับทำสัมภาระหลุดจากมือโดยไม่ทันรู้ตัว



มู.......   มู!!   เป็นเจ้าจริงๆหรือนี่...  



อัลเดบารันกระซิบอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง    ในขณะที่ภาพเเห่งวันคืนเก่าๆได้หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง...



มันเป็นภาพที่เขาเคยพยายามกลบฝังมันลงในส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจตลอด3ปีที่ผ่านมา...     นับตั้งแต่วันที่คนที่กำลังยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าตนนี้ได้จากไป   

หากเเต่ในเวลานี้....   เขากลับปล่อยให้มันทะลักล้นขึ้นมาอย่างเต็มอกเต็มใจ   เมื่อดวงหน้าอันเเสนคิดถึงตรงหน้านี้  มิใช่จะมีอยู่เเต่เพียงในฝันอีกต่อไป 



......หากเเต่มีตัวตนจริงๆที่สามารถจับต้องใด้.........




มู....   ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน   ตลอด3ปีที่ผ่านมานี่เจ้าหายไปไหนมา..... 



ท่านถอดเสื้อนอกออกก่อนที่จะเป็นปอดบวมเถอะ  


มูขยับตัวหนีท่อนเเขนที่ยื่นเข้ามาหา  ก่อนจะเอ่ยเสียงเเข็งอย่างไม่เเคร์  ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะรู้สึกอย่างไร   และมันก็ทำให้ดวงตาสีทองของอัลเดบารันที่เป็นประกายพราวระยับไปด้วยความทรงจำอันล้ำค่าต้องพลันหม่นเเสงลงในทันใด   ก่อนจะค่อยๆลดมือลงข้างกายตามเดิม        




..ก็ได้....


เขารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปเปลื้องเครื่องเเต่งกายออก  เเล้วทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างมู   พลางลอบมองซีกหน้าด้านข้างของคนที่คิดถึงสุดหัวใจ.....





เอ้า  ...สุกเเล้ว  ท่านกินก่อนเถอะ


ในพริบตานั้น  มูก็ส่งขนมปังที่เพิ่งย่างเสร็จมาให้....   อัลเดบารันก้มลงมองขนมปังร้อนกรุ่นในมือ  ก่อนจะตวัดสายตากลับมามองหน้าคนให้




เจ้ากินก่อนสิ....  ข้าค่อยรอเเผ่นต่อไป 


เขาบอกเสียงนุ่ม  พร้อมกับส่งขนมปังคืนให้มู   ในขณะที่เจ้าตัวกลับทำเฉย

อัลเดบารันจึงจำต้องคว้าข้อมือเรียวยาวของฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาเเล้วยัดขนมปังใส่มือ




ข้ารู้นะ...  ว่าเจ้าหิว   เจ้ากินเถอะ


พูดไม่พูดเปล่า   อันเดบารันยังได้จับมือของมูยกขึ้นจนขนมปังเเทบจะจ่อชิดริมฝีปาก   ในขณะที่มูกลับเบี่ยงกายหนีอย่างไม่ยอมรับความหวังดีจากเขาง่ายๆ




งั้นก็ทิ้งมันไปซะ...   ข้าถือว่าข้าได้เเสดงความมีน้ำใจต่อท่านเเล้ว   ท่านจะไม่รับไว้มันก็เรื่องของท่าน



อัลเดบารันได้เเต่ถอนหายใจกับความหัวเเข็งของมู   ทว่า... 


ต่อให้มูมีนิสัยที่เเย่กว่านี้เขาก็ไม่เคยจะนึกรังเกียจเลย   ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของชายหนุ่มจึงได้ปรากฏรอยยิ้มบางๆขึ้น




ถ้างั้นเอาอย่างนี้ก็เเล้วกันนะ  เขาหยุดพูด  พร้อมกับบิขนมปังออกเป็น2ชิ้นก่อนจะส่งชิ้นหนึ่งเข้าสู่ปาก   ในขณะที่ยื่นอีกชิ้นหนึ่งให้กับมู


ข้ารับความหวังดีจากเจ้าเเล้ว....   ทีนี้ถึงตาเจ้าต้องรับความหวังดีจากข้าบ้างล่ะ



มูไม่มีทางเลือก  นอกจากจำใจต้องรับขนมปังชิ้นนั้นมาใส่ปาก  พร้อมกับพึมพำของคุณเบาๆ



......เเบบนี้ก็ดีเหมือนกัน......  ต่างคนต่างกินเเบบนี้ 


จะได้ไม่ต้องหาเรื่องอะไรมาคุยกัน.........



เเล้วเมื่อถึงตอนเช้า   ต่างคนก็ต่างเเยกย้ายกันไป   และเขาเอง  ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามลำพัง.......                                                                                                                                                      


.........อย่างที่เคยเป็นมาตลอด3ปี..............




เเต่กระนั้น   ....มูก็กลับพบว่าตนเองเเอบชำเลืองมองชายหนุ่มข้างกายมิได้



ไม่ได้พบกันมาพักใหญ่.....  เรือนผมสีบลอนด์สว่างสดใสของเขายาวขึ้นมาก  จากภาพที่เคยเห็นจนชินตา.....


......เขา..  ผู้มีเรือนผมยาวประบ่า   หากเเต่ในเวลานี้มันกลับยาวคลุมเเผ่นหลังจนมิดชิด


ถึงกระนั้น  มันก็ยังคงเป็นเงางามเเละเจิดจรัสยิ่งว่าอะไรทั้งนั้น.......






เจ้ายังคงชอบหวาดกลัวความมืดอยู่อีกรึเปล่า   เสียงทุ้มนุ่มของอัลเดบารัน   ดึงให้มูกลับมาสู่
การสนทนา  


ใบหน้าอันขาวผุดผ่องเปลี่ยนเป็นสีเเดงระเรื่อทันทีที่ได้ฟัง  ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาเเว้ดใส่  

ข้าไม่เคยกลัวความมืด!!   ...ท่านคงจะจำผิดเเล้วกระมัง




ทว่าอันเดบาลันกลับมิได้นึกถือสา    ใบหน้าอันคมยังคงเข้มปรากฏรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นที่เคยเป็น                                                               


ไม่ผิดหรอก   ถึงเเม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่ความจำดีนัก   เเต่หากว่ามันเป็นเรื่องของเจ้าล่ะก็.....   ต่อให้ตายข้าก็ไม่มีวันลืม



ลืมๆไปเเหละดีเเล้ว!!   คนอย่างข้าไม่มีค่าควรให้ท่านจำหรอก...   มิเช่นนั้น.....


ถึงตอนนี้มูก็จำต้องหยุดพูดกระทันหัน  เมื่อรู้สึกว่าลำคอตีบตันพร้อมด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว   ทว่าเขาก็ทนกล้ำกลืนมันลงไป.......                                                                                                            



...ถ้าต้องเเสดงความอ่อนเเอออกมาให้คนๆนี้เห็นอีกล่ะก็...    เขาสู้ยอมตายเสียดีกว่า....      




มิเช่นนั้น....  ท่านจะทอดทิ้งข้าเอาไว้ในเวลาที่ข้าต้องการท่านอย่างที่สุดได้ลงคองั้นหรือ 




.........มันเกินจะทนเเล้ว...............  


                                                                                                                                                       หยดน้ำตาอันร้อนผ่าวที่เอ่อท้นอยู่ที่ขอบตา  ม้วนตัวอย่างช้าๆลงสู่เรียวเเก้ม  พร้อมด้วยร่างสูงเพรียวที่ทำท่าจะขยับลุกหนี



"ไม่ใช่!!"  


น้ำเสียงห้วนสั้น....   หากแต่ก็ยังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงของอัลเดบารันแย้งขึ้นอย่างทันทีทันใด  ก่อนจะยื้อข้อมือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เเน่น  




ข้าไม่ได้จงใจจะละทิ้งเจ้าเอาไว้เพื่อให้ตาย.....   เเต่เพื่อให้เจ้าลุกขึ้นสู้กับพวกมันต่างหากล่ะ 

มองตาข้าสิ...  มู  เเล้วเจ้าจะได้รู้ทุกสิ่งที่เจ้าอยากรู้
     

                                                                                                                                                                                           เจ้าคิดว่าข้าหันหลังเดินจากเจ้ามาในวันนั้นด้วยความรู้สึกอย่างไรหรือ....

รู้บ้างมั้ยว่าการทำเช่นนั้นมันทรมานเเค่ไหนที่จำต้องทิ้ง..    ทอดทิ้งคนที่ข้ารักที่สุดเอาไว้อย่างนั้น...  ทั้งๆที่ในเวลานั้นข้ารู้ดี    ว่าเจ้าต้องการข้ามากกว่าใคร



หากเเต่มันก็จำเป็น....   เพื่อตัวของเจ้าเอง  

ด้วยข้าหวังไว้เหลือเกิน  ...ว่าจะได้เห็นเจ้าสามารถก้าวเดินอยู่บน2ขาของตนเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ



อัลเดบารันจบประโยคด้วยน้ำเสียงอันสั่นสะท้าน   ก่อนจะดึงร่างเพรียวบางให้เข้ามาใกล้อย่างช้าๆ  


เเล้วฉับพลัน....  ดวงตาสีทองก็มีอันต้องเบิกค้าง  ก่อนที่จะปรากฏร่องรอยของความสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง... 

เมื่อพลันเหลือบไปเห็นรอยเเผลเป็นขนาดใหญ่ที่ลากยาวจากชายโครงขึ้นไปจนเกือบถึงกลางอกของมู




...มันไม่เจ็บอีกเเล้วล่ะ... 



มูบอกเสียงเรียบพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ   ดวงตาสีเขียวเข้มที่ยังคงมีหยาดน้ำตาคลอทอดมองออกไปไกลเเสนไกล  โดยไม่สนใจกับบุรุษผู้ที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าตนราวกับว่าเขาเป็นเพียงธาตุอากาศกระนั้น....



เเต่ถึงจะไม่เจ็บ...   มันก็ทำให้ข้าย่ำเเย่พอดูล่ะ  เพราะโจรพวกนั้นทำให้ข้ามิอาจจะจับดาบได้อีกเเล้ว....   พวกมันตัดเส้นประสาทของข้าเสียขาดสะบั้นเลย



เสียใจด้วยนะ   ที่ความหวังดีของท่านต้องสูญเปล่า ถึงตอนนี้   น้ำเสียงของมูดังขึ้นอย่างเยาะๆ   ขณะที่ในดวงตาคู่งามกลับฉายแววแห่งความเจ็บปวดอย่างชัดเจน



ทว่า...

เขาถึงกับสะดุ้งเฮือก   ..เเละก่อนที่จะตระหนักได้ว่าอะไรเป็นอะไร  อัลเดบารันก็ตวัดร่างของตนเข้าสู่วงเเขนเเล้วกอดตนไว้เเนบเเน่น
                                                                                                                                                                                                                             หยาดน้ำตาร้อนผ่าวไหลรินออกมาจากดวงตาสีทองแล้วหยดลงบนหน้าผาก   ทำให้มูต้องเงยหน้าขึ้นมองอยากประหลาดใจ   ก่อนจะต้องชะงักค้าง...



...ยกโทษให้ข้าด้วย..... อัลเดบารันพร่ำกระซิบประโยคนั้นซ้ำเเล้วซ้ำเล่า  พร้อมทั้งกอดร่างที่กำลังสั่นสะท้านไว้แนบอก                                                                                                     





ไม่เป็นไรหรอก   ข้าลืมมันไปนานเเล้วมูตอบเสียงเเผ่ว  ในขณะที่อัลเดบารันกลับช้อนปลายคางของตนขึ้นเพื่อจ้องมองให้ชัดๆ



เเล้วเจ้าใช้ชีวิตตามลำพังได้อย่างไร   ด้วยร่างกายที่พิการเช่นนี้                    





มูขืนร่างออกจากวงเเขนของเขา 



ยอมรับว่ามันก็ลำบาก   หากเเต่ข้าก็ไม่เคยท้อ....

ตราบใดที่ความทรงจำที่เกี่ยวกับท่านยังคงสว่างไสวอยู่ในใจข้า   ...ข้าก็จะลุกขึ้นสู้   ถึงเเม้ว่ามือข้างนี้จะไม่อาจจับดาบขึ้นสู้กับใครได้อีก  เเต่ข้าก็ไม่มีวันยอมเเพ้อย่างเด็ดขาด



เช็ดน้ำตาของท่านเสียเถอะ   มูบอก  พร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าที่เปียกฝนชุ่มโชกให้   



ทว่า...  เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่กลับดูจะไม่รับรู้   เมื่ออัลเดบารันยังคงนั่งน้ำตาไหลรินเป็นทาง   เมื่อความรู้สึกผิดกำลังฉีกทึ้งหัวใจเขาอย่างรุนเเรง 



.........ถ้าหากเขารู้เเม้สักนิด  ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างนี้ 

....เขาจะไม่มีวันหันหลังให้กับมูในวันนั้นเลย



.....นี่เขาทำอะไรลงไป...........




เมื่อไม่มีการตอบสนองจากฝ่ายตรงข้าม  ท่อนเเขนเรียวยาวที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้จึงกลับตกลงข้างตัว   ก่อนจะค่อยๆโน้มร่างเข้าไปจูบซับน้ำตาให้เขาอย่างเเผ่วเบา


กลีบปากนุ่มนิ่มประทับอยู่บนเปลือกตาข้างซ้ายของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล   ก่อนจะย้ายมาข้างขวา    เเละเมื่ออัลเดบารันลืมตาขึ้นมองด้วยความประหลาดใจเขาก็ได้พบกับรอยยิ้มที่งดงามที่สุดที่เคยตนเห็นมา 




ท่านรู้มั้ยอัลเดบารัน....   ถึงเเม้ว่าวันนั้นท่านจะปล่อยข้าทิ้งไว้ให้ตาย   ข้าก็คงจะโกรธท่านไม่ลงหรอก


..เพราะข้า......



คำพูดประโยคนั้นถูกกลืนหายลงไปในลำคอ   เมื่อริมฝีปากของเขาถูกกดประทับเเน่นด้วยจุมพิตอันร้อนผ่าวและโหยหา   พร้อมด้วยวงเเขนเเข็งเเรงที่โอบกระชับรอบเเผ่นหลัง



.....นานเเค่ไหนเเล้ว   ที่เขามิได้รู้สึกว่าหัวใจของตนได้เต้นอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง....


..เเล้วมันผ่านมาเนิ่นนานนานเพียงใดแล้ว    ที่เขามิได้โอบกอดร่างตรงหน้านี้  อย่างเช่นในตอนนี้...   






..ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน.....


อัลเดบารันกระซิบเเผ่วๆเเนบริมฝีปากของมูพร้อมกับหลับตาลง   ก่อนจะค่อยๆพยุงร่างของคนรักให้นอนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล    ตามด้วยตนเองที่เอนร่างตามลงไป  





เเสงไฟจากเตาผิง   สะท้อนให้เห็นร่าง2ร่างที่กำลังเเนบชิดสนิทแน่นจนเเทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน  



ข้ารักท่าน  ..อัลเดบารัน   .......เเละก็ไม่เคยลืมท่านเลยเเม้เเต่นาทีเดียว   ตลอด3ปีที่ผ่านมา...


มูกระซิบเเผ่วๆพร้อมกับหอบหายใจน้อยๆ    ก่อนที่วงเเขนขาวนวลที่ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง   พยายามที่จะโอบรัดเขาอย่างสุดเเรงให้สมกับที่รอคอย...   ที่เฝ้าคิดถึงมานานนับปี  


ทว่า...

เขากลับพบว่าตนเองทำได้เพียงเเค่ยกมันขึ้นจากพื้นได้เเค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น....  



ข้าอยากกอดท่าน  




ดวงตาสีทองของอัลเดบารันจับจ้องมองดูร่างที่อ่อนระทวยอยู่ข้างใต้   ก่อนจะยกเเขนของมูขึ้น  เเล้วประทับจุมพิตแผ่วเบาไล่จากหัวไหล่ลงไปจนถึงปลายนิ้วทุกนิ้ว   แล้วจึงวางมันลงบนบ่าของตนในที่สุด                                                                                                                            



เจ้ากอดข้าได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ...  ยอดรัก   บัดนี้ข้าเป็นของเจ้าแล้ว.. 
เเละก็จะเป็นของเจ้าเเต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น


เขาจบประโยค   ก่อนจะก้มลงจุมพิตมูที่ริมฝีปากอย่างเเสนอ่อนโยน




มูส่งเสียงครางเเผ่ว  เรือนกายร้อนผ่าวระหว่างที่เลื่อนมือไปทั่วบ่าเปลือยกว้าง   มันทั้งได้รูปสวย...   ทั้งบ่งบอกถึงพลังอำนาจเเละความเเข็งเเกร่งของเขา    พร้อมกับคลี่เเย้มเรียวขาเพื่อเปิดรับเขา.....    เขาช่างหล่อล้ำเลิศนัก    เป็นความงดงามสมบูรณ์เเบบอย่างไม่มีที่ติ




เจ้าช่างงามนัก   เเละดวงตาของข้าจะไม่มีวันมองผู้ใดอีกเลย.... ข้าสัญญา


คำพูดของเขาทำให้มูถึงกับอ่อนละลาย    ก่อนจะต้องผวาเยือกเมื่ออัลเดบารันฝังเเก่นกายลึกลงในร่าง.....   เขาทั้งเเกร่งเเละคับเเน่นอีกทั้งยังให้ความรู้สึกที่สุดพิเศษเกินกว่าที่จะเคยนึกฝัน       




ดวงตาของทั้ง2คนพลันทวีเเสงเข้มขึ้นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ 


อัลเดบารันถอยห่างออกมาเล็กน้อย  เพื่อที่จะมองดูดวงหน้าอันเเสนรักแสนคิดถึงนั้นให้ชัดๆในระหว่างที่มีเขาอยู่เเนบชิด



.......อา.........


 ....มูทั้งเร่าร้อนเเละหวานฉ่ำยามเมื่อร่างเพรียวบางนั้นบิดเร่าๆอยู่ใต้ร่างเขา....   


ชายหนุ่มถึงกับกัดริมฝีปากแน่นเมื่อมือนุ่มลูบไล้ลงมาตามเเนวสันหลังเเล้วจิกตรึงเเผ่นหลังเขาไว้อย่างสุดเสียวซ่าน   


และมันก็ทำให้เขา....  ต้องครางลึกไปกับปฏิกิริยาตอบสนองอันเร่าร้อนนั้น    เมื่อมือเล็กๆขาวนวลกระชับเข้ากับสะโพกของเขา   กระตุ้นให้เขาควบขับเร็วยิ่งขึ้น....    

นานเเสนนานเหลือเกินที่เขาจะได้มีช่วงเวลาที่สุดเเสนพิเศษอย่างนี้    เเละเขาเเน่ใจ   .....ว่าตนคงจะไม่มีที่จะทางมอบความภัคดีให้กับใครได้เท่ากับคนๆนี้อีกเเล้ว



อัลเดบารันประคองดวงหน้าเเสนรักเเละเฝ้ามองร่องรอยเเห่งความสุขสมบนใบหน้างาม   พลางพุ่งทะยานเข้าสู่ร่างงามอย่างล้ำลึกในขณะที่มูหดเกร็งรัดเขาไว้เเน่น    เสียงหอบหายใจที่ถี่กระชั้นไปตามจังหวะการควบขับของเขาราวกับกำลังเปล่งเสียงร้องเพลง



เขาหัวเราะ...  จนกระทั่งรู้สึกว่าตนเองระเบิดพร่าง.....



ในขณะที่มู...  ใช้ทั้งเรือนกายโอบรัดเขาพร้อมทั้งดื่มด่ำไปกับการปลดปล่อยของเขา    ก่อนจะมอบรอยยิ้มอันเเสนอ่อนโยนอย่างที่สุดให้เขา...                   



ใช่...  อัลเดบารัน    ท่านเป็นของข้า....   เเต่เพียงผู้เดียว




ดวงตาสีทองที่พร่าพรายไปด้วยความสุขสมกวาดมองไปทั่วใบหน้างามของผู้เป็นที่รัก


ให้โอกาสข้าอีกสักครั้งนะ....   ครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไปอีก...

                                     

ท่านก็รู้   ว่าข้าให้โอกาสท่านเสมอมา....  ตราบใดที่ลมหายใจของข้ายังไม่ได้ถูกพรากไปเสียก่อนข้า...  ก็รู้ดี..  ว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันหนีท่านพ้น





ฝนหยุดตกเเล้ว.......



ท้องฟ้าปลอดโปร่งในขณะที่ดาวนำทางเปล่งประกายงดงามอยู่ที่ขอบฟ้า...    ในขณะที่ไฟในเตาผิงเพิ่งจะมอดดับ   เเต่กระนั้น......  

มันก็ยังคงอบอุ่น   เมื่อร่างของคู่รักคู่นั้นยังคงอิงเเอบเเนบชิดกันอย่างเเสนสเน่หา...   เเล้วร่วงผลอยลงสู่นิทรารมย์ด้วยกัน   ก่อนที่จะต้องตื่นลืมตาเมื่อวันใหม่มาถึงพร้อมด้วยคำมั่นสัญญา....  


......ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน.....




~End~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น