มันจะอะไรกันนักกันหนา.........
เจ้าสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตานี่..... ช่างน่ารำคาญเสียจริง
บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนยาวสลวยที่เปียกลู่จนติดหนังศีรษะกับดวงหน้าที่งดงามล้ำค่าราวกับอิสตรีจำต้องรีบหาที่กำบังอย่างเร่งร้อน
ถึงเเม้ว่าอากาศยามค่ำคืนของท้องที่เเถวๆตอนใต้ของฝรั่งเศสจะค่อนข้างเย็นถึงเย็นจัด
เเละมันก็ทำให้เขาถึงกับฟันกระทบกันหากทว่า...
เขาก็ยังคงนั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้า
พร้อมกับมุ่งหน้าต่อไปท่ามกลางความมืด
จนกว่าจะสามารถหาที่พักที่ไหนสักเเห่งที่พอจะหลบฝนได้
ใช่.....
มันหนาวจับขั้วหัวใจจริงๆ
ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลายต่อหลายชั้นที่เขาสวมใส่อยู่บนร่าง อีกทั้งผ้าผูกคอเนื้อหนาชั้นดีที่เเสนอบอุ่น
ซึ่งในตอนนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมันกลับแปรสภาพเหมือนเป็นฟองน้ำ.. ที่อุ้มน้ำเอาไว้เสียจนหนักอึ้ง
เเละมันก็ทำให้เขานึกอยากจะกระชากทิ้งหลายต่อหลายหน
เเละก่อนที่เขาจะทันได้ตระหนักว่าตนมาผิดทาง
เขาก็ได้พบว่าตนเองมาจนมุมที่หน้าผาอันสูงชันเสียเเล้ว ในขณะที่เบื้องล่างเป็นท้องทะเลลึกดำมืด.......
ท่ามกลางบรรยากาศของสายฝนที่โปรยปราย พร้อมด้วยแสงสว่างเป็นเส้นสีขาววะวาบบนท้องฟ้า
ตามด้วยเสียงคำรนคำรามที่น่าสะพรึงกลัวราวกับอสูรกายแห่งรัตติกาล... ตลอดจนบรรยากาศอันหนาวเหน็บเสียจนแทบจะชาดิกไปทั้งร่าง
พร้อมด้วยเสียงคลื่นที่ม้วนตัวเข้าถาโถมใส่โขดหินเบื้องล่างจนเกิดละอองแตกเป็นฝอยซ่านกระเซ็น.....
มันคือฝันร้าย..
ที่อุบัติขึ้นมาหลอกหลอนเหล่านักเดินทางท่ามกลางความมืดอันแสนโดดเดี่ยววังเวงภายใต้ทัศนวิสัยที่บ้าสุดขีดชัดๆ
...และเขาก็ได้เเต่ก่นด่าความโง่เง่าของตัวเอง.....
อันที่จริงเขาควรจะเลือกไปทางซ้ายตั้งเเต่เมื่อครู่ต่างหาก
มิใช่มาทางขวาเพียงเพื่อจะต้องมาพบกับทางตันอย่างนี้....
เเต่ถึงกระนั้น...
ก็ยังดูเหมือนว่าเทพธิดาเเห่งโชคจะยังมิได้ทอดทิ้งเขาเสียทีเดียว
เมื่อในที่สุดเขาก็พบว่ามีเงาตะคุ่มๆของสิ่งปลูกสร้างอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ...และถึงเเม้ว่ามันจะดูน่าสะพรึงกลัวทว่า...
ก็ยังดีกว่าที่จะต้องทนหนาวอยู่ตรงนี้
อย่างไม่รอช้า.. ชายหนุ่มก็รีบชักม้ามุ่งตรงเข้าไปในทันที ....ภาพที่เขาเห็นตรงหน้า
คือคฤหาสน์ขนาดย่อมอันเเสนเก่าเเก่ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวที่ริมหน้าผาสูงชัน
มันไม่ถึงกับจะร้างผู้ดูเเลนัก
ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าภายในระยะเวลา2-3เดือนที่ผ่านมานี้มันมิได้รับการดูเเลสักเท่าไร...
ด้วยความหวังเเค่เพียงคอกม้าเล็กๆสักแห่งที่จะพอซุกหัวนอนหลบฝน
ชายหนุ่มจึงมิได้สนใจที่จะมองไปยังตัวคฤหาสน์เลยเเม้เเต่น้อย เเต่ทว่า...
ในอึดใจนั้นเอง สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเข้าพอดี
ว่าประตูหน้าเปิดเเง้มอยู่.....
ดวงตาสีเขียวเข้มเบิกกว้างอย่างยินดี เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองยังกับได้โชคสองชั้นก็มิปาน
เมื่อเขาค่อนข้างเเน่ใจว่าอย่างไรเสียคืนนี้ตนก็คงจะได้นอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ มีเตาผิงอันอบอุ่น
เเละถ้าเขาโชคดีพอเขาอาจจะพอหาอะไรใส่ท้องได้บ้าง
หลังจากผูกม้าเรียบร้อยเเล้ว.....
เขาก็เข้าไปข้างในคฤหาสน์
.....ข้างในทั้งมืดเเละอับ
และนั่นยิ่งเป็นข้อพิสูจน์
ว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่มานานพอสมควรแล้ว....
และหลังจากที่ควานหาเชื้อเพลิงอยู่ท่ามกลางความมืดครู่ใหญ่ในที่สุดเขาก็เจอมันเข้าจนได้...
ด้วยความดีอกดีใจ
ชายหนุ่มก็เเบกฟืนมาเต็ม2อ้อมเเขนเเล้วก้าวไปที่เตาผิงในห้องนั่งเล่น
เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น.. เปลวไฟสีทองอันอบอุ่นก็ลุกโชนขึ้น ทั้งความสว่างเเละไอร้อนของมัน
ทำให้คนที่กำลังจะเเข็งตายได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ชายหนุ่มรีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกอันหนักอึ้งออกจากร่าง
ก่อนจะนำมาผึ่งไฟให้เเห้ง ตามด้วยเสื้อกั๊กตัวในที่เข้าชุดกับเสื้อคลุม
เสื้อสีขาวเเขนยาวจับระบายลูกไม้ที่ปกเสื้อเเละปลายเเขน
พร้อมด้วยผ้าผูกคอเนื้อหนาสีขาวสะอาดที่อุ้มน้ำไว้เต็มที่
เเละ...
ผ้าผูกเอวสีเเดงเลือดหมู ตบท้ายด้วยรองเท้าหนังลูกกวางสีน้ำตาลเข้มที่ยาวเกือบถึงหัวเข่า
พร้อมด้วยถุงน่องเนื้อหนาสีครีม
เหลือเพียงกางเกงหนังเข้ารูปสีดำที่ยาวเพียงเเค่หน้าแข้งติดอยู่บนร่าง
เเละก่อนที่จะหนาวตาย
เขาก็ยกมือขึ้นอังไฟพร้อมกับถูมือที่เย็นจนซีดไปมาอย่างเร็วๆ
พร้อมทั้งกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง
เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นในห้องของคฤหาสน์หลังนี้ถูกคลุมทับไว้ด้วยผ้าสีขาว
ในขณะที่เขาเองก็ไม่คิดที่จะทำความเดือดร้อนให้กับผู้เป็นเจ้าของด้วยการรื้อมันออกมาหรอก
ทว่า...
หากจะขอเดินสำรวจดูสักหน่อยก็คงจะไม่เป็นการรบกวนเกินไปนัก
และเขาพบว่าตนเองคิดถูกจริงๆ
...เมื่อผลที่ได้จากการสำรวจทำให้เขาได้อิ่มท้อง
ดวงตาสีเขียวเข้มกวาดมองขนมปังเเห้ง3-4ก้อนที่วางอยู่ข้างตัว
ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับขนมมาร์ชเเมลโล่ที่เสียบติดอยู่กับเหล็กปลายแหลมในมือ
กลิ่นอาหารอันหอมหวนที่ทำให้กระเพาะต้องร้องครวญครางอบอวลไปทั่วทั้งห้อง เมื่อขนมปังปิ้งสุกได้ที่พร้อมด้วยมาร์ชเเมลโล่ร้อนๆที่หวานนุ่มชุ่มลิ้นชวนให้น้ำลายสอ
ทว่า...
ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ได้อิ่มง่ายๆ เมื่อทันใดนั้นเองประตูคฤหาสน์ก็เปิดออกพร้อมด้วยร่างอันสูงใหญ่ของบุรุษผู้มาใหม่
ชายหนุ่มหันไปคว้าดาบข้างกายขึ้นมาเตรียมพร้อมทันที
ในขณะที่ผู้มาใหม่ก็ชะงักค้างอยู่ที่กระตูพร้อมด้วยปืนสั้นในมือ
“ใจเย็นพรรคพวก ข้ามาดีนะ”
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกล่าวเสียงสั่นด้วยความหนาวเหน็บพร้อมด้วยฟันที่กระทบกัน
ก่อนจะลดปืนในมือลงอย่างช้าๆ
“ข้าขี่ม้าหลงทางมาเเถวๆนี้ พอดีเห็นเเสงไฟที่นี่ก็เลยลองเเวะเข้ามาดู
....ถ้ายังไง ขอข้าเข้าไปผิงไฟกับเจ้าด้วยคนได้มั้ย”
“เชิญสิท่าน..
ตามสบายเลย
อันที่จริงข้าเองก็เป็นผู้มาขออาศัยเช่นเดียวกับท่านนั่นล่ะ....”
ชายหนุ่มคนเเรกเอ่ยเสียงเเผ่วเบา
ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝักเเล้วทรุดร่างลงนั่งตามเดิม
และในชั่วอึดใจนั้นเอง...
ที่เเสงสว่างจากเตาผิงได้ส่องให้ทั้งคู่ได้เห็นหน้ากันเเละกันชัดๆ
ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริด
ในเสี้ยวนาทีที่ดวงตาสีเขียวเข้มประสานเข้ากับดวงตาสีทองของบุรุษอีกคนหนึ่ง
ทั้งคู่ก็จำกันเเละกันได้ในทันที
“...ท่านอัลเดบารัน.....”
น้ำเสียงที่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มนั้นเบาหวิวเสียจนเเทบจะไม่ต่างจากเสียงกระซิบพร้อมด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงพรึงเพริดอย่างที่สุด....
ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งถูกเรียกว่าอัลเดบารันเองก็มีสภาพที่ไม่แตกต่างกันนัก
....เมื่อเขาถึงกับทำสัมภาระหลุดจากมือโดยไม่ทันรู้ตัว
“มู.......
มู!! เป็นเจ้าจริงๆหรือนี่...”
อัลเดบารันกระซิบอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ในขณะที่ภาพเเห่งวันคืนเก่าๆได้หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง...
มันเป็นภาพที่เขาเคยพยายามกลบฝังมันลงในส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจตลอด3ปีที่ผ่านมา... นับตั้งแต่วันที่คนที่กำลังยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าตนนี้ได้จากไป
หากเเต่ในเวลานี้....
เขากลับปล่อยให้มันทะลักล้นขึ้นมาอย่างเต็มอกเต็มใจ
เมื่อดวงหน้าอันเเสนคิดถึงตรงหน้านี้
มิใช่จะมีอยู่เเต่เพียงในฝันอีกต่อไป
......หากเเต่มีตัวตนจริงๆที่สามารถจับต้องใด้.........
“มู....
ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ตลอด3ปีที่ผ่านมานี่เจ้าหายไปไหนมา.....”
“ท่านถอดเสื้อนอกออกก่อนที่จะเป็นปอดบวมเถอะ”
มูขยับตัวหนีท่อนเเขนที่ยื่นเข้ามาหา
ก่อนจะเอ่ยเสียงเเข็งอย่างไม่เเคร์ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะรู้สึกอย่างไร และมันก็ทำให้ดวงตาสีทองของอัลเดบารันที่เป็นประกายพราวระยับไปด้วยความทรงจำอันล้ำค่าต้องพลันหม่นเเสงลงในทันใด
ก่อนจะค่อยๆลดมือลงข้างกายตามเดิม
“..ก็ได้....”
เขารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปเปลื้องเครื่องเเต่งกายออก
เเล้วทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างมู พลางลอบมองซีกหน้าด้านข้างของคนที่คิดถึงสุดหัวใจ.....
“เอ้า
...สุกเเล้ว ท่านกินก่อนเถอะ”
ในพริบตานั้น
มูก็ส่งขนมปังที่เพิ่งย่างเสร็จมาให้....
อัลเดบารันก้มลงมองขนมปังร้อนกรุ่นในมือ
ก่อนจะตวัดสายตากลับมามองหน้าคนให้
“เจ้ากินก่อนสิ....
ข้าค่อยรอเเผ่นต่อไป”
เขาบอกเสียงนุ่ม
พร้อมกับส่งขนมปังคืนให้มู ในขณะที่เจ้าตัวกลับทำเฉย
อัลเดบารันจึงจำต้องคว้าข้อมือเรียวยาวของฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาเเล้วยัดขนมปังใส่มือ
“ข้ารู้นะ...
ว่าเจ้าหิว
เจ้ากินเถอะ”
พูดไม่พูดเปล่า
อันเดบารันยังได้จับมือของมูยกขึ้นจนขนมปังเเทบจะจ่อชิดริมฝีปาก
ในขณะที่มูกลับเบี่ยงกายหนีอย่างไม่ยอมรับความหวังดีจากเขาง่ายๆ
“งั้นก็ทิ้งมันไปซะ...
ข้าถือว่าข้าได้เเสดงความมีน้ำใจต่อท่านเเล้ว
ท่านจะไม่รับไว้มันก็เรื่องของท่าน”
อัลเดบารันได้เเต่ถอนหายใจกับความหัวเเข็งของมู
ทว่า...
ต่อให้มูมีนิสัยที่เเย่กว่านี้เขาก็ไม่เคยจะนึกรังเกียจเลย
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของชายหนุ่มจึงได้ปรากฏรอยยิ้มบางๆขึ้น
“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ก็เเล้วกันนะ”
เขาหยุดพูด
พร้อมกับบิขนมปังออกเป็น2ชิ้นก่อนจะส่งชิ้นหนึ่งเข้าสู่ปาก
ในขณะที่ยื่นอีกชิ้นหนึ่งให้กับมู
“ข้ารับความหวังดีจากเจ้าเเล้ว....
ทีนี้ถึงตาเจ้าต้องรับความหวังดีจากข้าบ้างล่ะ”
มูไม่มีทางเลือก
นอกจากจำใจต้องรับขนมปังชิ้นนั้นมาใส่ปาก
พร้อมกับพึมพำของคุณเบาๆ
......เเบบนี้ก็ดีเหมือนกัน......
ต่างคนต่างกินเเบบนี้
จะได้ไม่ต้องหาเรื่องอะไรมาคุยกัน.........
เเล้วเมื่อถึงตอนเช้า
ต่างคนก็ต่างเเยกย้ายกันไป และเขาเอง
ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามลำพัง.......
.........อย่างที่เคยเป็นมาตลอด3ปี..............
เเต่กระนั้น ....มูก็กลับพบว่าตนเองเเอบชำเลืองมองชายหนุ่มข้างกายมิได้
ไม่ได้พบกันมาพักใหญ่..... เรือนผมสีบลอนด์สว่างสดใสของเขายาวขึ้นมาก
จากภาพที่เคยเห็นจนชินตา.....
......เขา.. ผู้มีเรือนผมยาวประบ่า หากเเต่ในเวลานี้มันกลับยาวคลุมเเผ่นหลังจนมิดชิด
ถึงกระนั้น
มันก็ยังคงเป็นเงางามเเละเจิดจรัสยิ่งว่าอะไรทั้งนั้น.......
“เจ้ายังคงชอบหวาดกลัวความมืดอยู่อีกรึเปล่า”
เสียงทุ้มนุ่มของอัลเดบารัน ดึงให้มูกลับมาสู่
การสนทนา
ใบหน้าอันขาวผุดผ่องเปลี่ยนเป็นสีเเดงระเรื่อทันทีที่ได้ฟัง
ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาเเว้ดใส่
“ข้าไม่เคยกลัวความมืด!! ...ท่านคงจะจำผิดเเล้วกระมัง”
ทว่าอันเดบาลันกลับมิได้นึกถือสา ใบหน้าอันคมยังคงเข้มปรากฏรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นที่เคยเป็น
“ ไม่ผิดหรอก
ถึงเเม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่ความจำดีนัก
เเต่หากว่ามันเป็นเรื่องของเจ้าล่ะก็.....
ต่อให้ตายข้าก็ไม่มีวันลืม”
“ลืมๆไปเเหละดีเเล้ว!! คนอย่างข้าไม่มีค่าควรให้ท่านจำหรอก...
มิเช่นนั้น.....”
ถึงตอนนี้มูก็จำต้องหยุดพูดกระทันหัน
เมื่อรู้สึกว่าลำคอตีบตันพร้อมด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว
ทว่าเขาก็ทนกล้ำกลืนมันลงไป.......
...ถ้าต้องเเสดงความอ่อนเเอออกมาให้คนๆนี้เห็นอีกล่ะก็... เขาสู้ยอมตายเสียดีกว่า....
“มิเช่นนั้น....
ท่านจะทอดทิ้งข้าเอาไว้ในเวลาที่ข้าต้องการท่านอย่างที่สุดได้ลงคองั้นหรือ”
.........มันเกินจะทนเเล้ว...............
หยดน้ำตาอันร้อนผ่าวที่เอ่อท้นอยู่ที่ขอบตา
ม้วนตัวอย่างช้าๆลงสู่เรียวเเก้ม พร้อมด้วยร่างสูงเพรียวที่ทำท่าจะขยับลุกหนี
"ไม่ใช่!!"
น้ำเสียงห้วนสั้น.... หากแต่ก็ยังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงของอัลเดบารันแย้งขึ้นอย่างทันทีทันใด
ก่อนจะยื้อข้อมือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เเน่น
“ข้าไม่ได้จงใจจะละทิ้งเจ้าเอาไว้เพื่อให้ตาย.....
เเต่เพื่อให้เจ้าลุกขึ้นสู้กับพวกมันต่างหากล่ะ
มองตาข้าสิ...
มู
เเล้วเจ้าจะได้รู้ทุกสิ่งที่เจ้าอยากรู้
เจ้าคิดว่าข้าหันหลังเดินจากเจ้ามาในวันนั้นด้วยความรู้สึกอย่างไรหรือ....
รู้บ้างมั้ยว่าการทำเช่นนั้นมันทรมานเเค่ไหนที่จำต้องทิ้ง.. ทอดทิ้งคนที่ข้ารักที่สุดเอาไว้อย่างนั้น...
ทั้งๆที่ในเวลานั้นข้ารู้ดี
ว่าเจ้าต้องการข้ามากกว่าใคร”
“หากเเต่มันก็จำเป็น....
เพื่อตัวของเจ้าเอง
ด้วยข้าหวังไว้เหลือเกิน
...ว่าจะได้เห็นเจ้าสามารถก้าวเดินอยู่บน2ขาของตนเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ”
อัลเดบารันจบประโยคด้วยน้ำเสียงอันสั่นสะท้าน
ก่อนจะดึงร่างเพรียวบางให้เข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
เเล้วฉับพลัน.... ดวงตาสีทองก็มีอันต้องเบิกค้าง
ก่อนที่จะปรากฏร่องรอยของความสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง...
เมื่อพลันเหลือบไปเห็นรอยเเผลเป็นขนาดใหญ่ที่ลากยาวจากชายโครงขึ้นไปจนเกือบถึงกลางอกของมู
“...มันไม่เจ็บอีกเเล้วล่ะ...”
มูบอกเสียงเรียบพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
ดวงตาสีเขียวเข้มที่ยังคงมีหยาดน้ำตาคลอทอดมองออกไปไกลเเสนไกล
โดยไม่สนใจกับบุรุษผู้ที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าตนราวกับว่าเขาเป็นเพียงธาตุอากาศกระนั้น....
“เเต่ถึงจะไม่เจ็บ... มันก็ทำให้ข้าย่ำเเย่พอดูล่ะ เพราะโจรพวกนั้นทำให้ข้ามิอาจจะจับดาบได้อีกเเล้ว....
พวกมันตัดเส้นประสาทของข้าเสียขาดสะบั้นเลย”
“เสียใจด้วยนะ
ที่ความหวังดีของท่านต้องสูญเปล่า”
ถึงตอนนี้
น้ำเสียงของมูดังขึ้นอย่างเยาะๆ
ขณะที่ในดวงตาคู่งามกลับฉายแววแห่งความเจ็บปวดอย่างชัดเจน
ทว่า...
เขาถึงกับสะดุ้งเฮือก ..เเละก่อนที่จะตระหนักได้ว่าอะไรเป็นอะไร
อัลเดบารันก็ตวัดร่างของตนเข้าสู่วงเเขนเเล้วกอดตนไว้เเนบเเน่น
หยาดน้ำตาร้อนผ่าวไหลรินออกมาจากดวงตาสีทองแล้วหยดลงบนหน้าผาก
ทำให้มูต้องเงยหน้าขึ้นมองอยากประหลาดใจ
ก่อนจะต้องชะงักค้าง...
“...ยกโทษให้ข้าด้วย.....” อัลเดบารันพร่ำกระซิบประโยคนั้นซ้ำเเล้วซ้ำเล่า
พร้อมทั้งกอดร่างที่กำลังสั่นสะท้านไว้แนบอก
“ไม่เป็นไรหรอก
ข้าลืมมันไปนานเเล้ว”มูตอบเสียงเเผ่ว
ในขณะที่อัลเดบารันกลับช้อนปลายคางของตนขึ้นเพื่อจ้องมองให้ชัดๆ
“เเล้วเจ้าใช้ชีวิตตามลำพังได้อย่างไร
ด้วยร่างกายที่พิการเช่นนี้”
มูขืนร่างออกจากวงเเขนของเขา
“ยอมรับว่ามันก็ลำบาก
หากเเต่ข้าก็ไม่เคยท้อ....
ตราบใดที่ความทรงจำที่เกี่ยวกับท่านยังคงสว่างไสวอยู่ในใจข้า
...ข้าก็จะลุกขึ้นสู้ ถึงเเม้ว่ามือข้างนี้จะไม่อาจจับดาบขึ้นสู้กับใครได้อีก
เเต่ข้าก็ไม่มีวันยอมเเพ้อย่างเด็ดขาด”
“เช็ดน้ำตาของท่านเสียเถอะ”
มูบอก
พร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าที่เปียกฝนชุ่มโชกให้
ทว่า...
เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่กลับดูจะไม่รับรู้
เมื่ออัลเดบารันยังคงนั่งน้ำตาไหลรินเป็นทาง
เมื่อความรู้สึกผิดกำลังฉีกทึ้งหัวใจเขาอย่างรุนเเรง
.........ถ้าหากเขารู้เเม้สักนิด
ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างนี้
....เขาจะไม่มีวันหันหลังให้กับมูในวันนั้นเลย
.....นี่เขาทำอะไรลงไป...........
เมื่อไม่มีการตอบสนองจากฝ่ายตรงข้าม
ท่อนเเขนเรียวยาวที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้จึงกลับตกลงข้างตัว
ก่อนจะค่อยๆโน้มร่างเข้าไปจูบซับน้ำตาให้เขาอย่างเเผ่วเบา
กลีบปากนุ่มนิ่มประทับอยู่บนเปลือกตาข้างซ้ายของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล
ก่อนจะย้ายมาข้างขวา เเละเมื่ออัลเดบารันลืมตาขึ้นมองด้วยความประหลาดใจเขาก็ได้พบกับรอยยิ้มที่งดงามที่สุดที่เคยตนเห็นมา
“ท่านรู้มั้ยอัลเดบารัน....
ถึงเเม้ว่าวันนั้นท่านจะปล่อยข้าทิ้งไว้ให้ตาย
ข้าก็คงจะโกรธท่านไม่ลงหรอก”
“..เพราะข้า......”
คำพูดประโยคนั้นถูกกลืนหายลงไปในลำคอ
เมื่อริมฝีปากของเขาถูกกดประทับเเน่นด้วยจุมพิตอันร้อนผ่าวและโหยหา
พร้อมด้วยวงเเขนเเข็งเเรงที่โอบกระชับรอบเเผ่นหลัง
.....นานเเค่ไหนเเล้ว
ที่เขามิได้รู้สึกว่าหัวใจของตนได้เต้นอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง....
..เเล้วมันผ่านมาเนิ่นนานนานเพียงใดแล้ว ที่เขามิได้โอบกอดร่างตรงหน้านี้
อย่างเช่นในตอนนี้...
“..ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน.....”
อัลเดบารันกระซิบเเผ่วๆเเนบริมฝีปากของมูพร้อมกับหลับตาลง
ก่อนจะค่อยๆพยุงร่างของคนรักให้นอนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล ตามด้วยตนเองที่เอนร่างตามลงไป
เเสงไฟจากเตาผิง
สะท้อนให้เห็นร่าง2ร่างที่กำลังเเนบชิดสนิทแน่นจนเเทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ข้ารักท่าน
..อัลเดบารัน .......เเละก็ไม่เคยลืมท่านเลยเเม้เเต่นาทีเดียว ตลอด3ปีที่ผ่านมา...”
มูกระซิบเเผ่วๆพร้อมกับหอบหายใจน้อยๆ ก่อนที่วงเเขนขาวนวลที่ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง
พยายามที่จะโอบรัดเขาอย่างสุดเเรงให้สมกับที่รอคอย...
ที่เฝ้าคิดถึงมานานนับปี
ทว่า...
เขากลับพบว่าตนเองทำได้เพียงเเค่ยกมันขึ้นจากพื้นได้เเค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น....
“ข้าอยากกอดท่าน”
ดวงตาสีทองของอัลเดบารันจับจ้องมองดูร่างที่อ่อนระทวยอยู่ข้างใต้
ก่อนจะยกเเขนของมูขึ้น เเล้วประทับจุมพิตแผ่วเบาไล่จากหัวไหล่ลงไปจนถึงปลายนิ้วทุกนิ้ว
แล้วจึงวางมันลงบนบ่าของตนในที่สุด
“เจ้ากอดข้าได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ...
ยอดรัก
บัดนี้ข้าเป็นของเจ้าแล้ว..
เเละก็จะเป็นของเจ้าเเต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
เขาจบประโยค
ก่อนจะก้มลงจุมพิตมูที่ริมฝีปากอย่างเเสนอ่อนโยน
มูส่งเสียงครางเเผ่ว
เรือนกายร้อนผ่าวระหว่างที่เลื่อนมือไปทั่วบ่าเปลือยกว้าง
มันทั้งได้รูปสวย... ทั้งบ่งบอกถึงพลังอำนาจเเละความเเข็งเเกร่งของเขา พร้อมกับคลี่เเย้มเรียวขาเพื่อเปิดรับเขา..... เขาช่างหล่อล้ำเลิศนัก เป็นความงดงามสมบูรณ์เเบบอย่างไม่มีที่ติ
“เจ้าช่างงามนัก เเละดวงตาของข้าจะไม่มีวันมองผู้ใดอีกเลย....
ข้าสัญญา”
คำพูดของเขาทำให้มูถึงกับอ่อนละลาย ก่อนจะต้องผวาเยือกเมื่ออัลเดบารันฝังเเก่นกายลึกลงในร่าง.....
เขาทั้งเเกร่งเเละคับเเน่นอีกทั้งยังให้ความรู้สึกที่สุดพิเศษเกินกว่าที่จะเคยนึกฝัน
ดวงตาของทั้ง2คนพลันทวีเเสงเข้มขึ้นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
อัลเดบารันถอยห่างออกมาเล็กน้อย
เพื่อที่จะมองดูดวงหน้าอันเเสนรักแสนคิดถึงนั้นให้ชัดๆในระหว่างที่มีเขาอยู่เเนบชิด
.......อา.........
....มูทั้งเร่าร้อนเเละหวานฉ่ำยามเมื่อร่างเพรียวบางนั้นบิดเร่าๆอยู่ใต้ร่างเขา....
ชายหนุ่มถึงกับกัดริมฝีปากแน่นเมื่อมือนุ่มลูบไล้ลงมาตามเเนวสันหลังเเล้วจิกตรึงเเผ่นหลังเขาไว้อย่างสุดเสียวซ่าน
และมันก็ทำให้เขา....
ต้องครางลึกไปกับปฏิกิริยาตอบสนองอันเร่าร้อนนั้น เมื่อมือเล็กๆขาวนวลกระชับเข้ากับสะโพกของเขา
กระตุ้นให้เขาควบขับเร็วยิ่งขึ้น....
นานเเสนนานเหลือเกินที่เขาจะได้มีช่วงเวลาที่สุดเเสนพิเศษอย่างนี้ เเละเขาเเน่ใจ
.....ว่าตนคงจะไม่มีที่จะทางมอบความภัคดีให้กับใครได้เท่ากับคนๆนี้อีกเเล้ว
อัลเดบารันประคองดวงหน้าเเสนรักเเละเฝ้ามองร่องรอยเเห่งความสุขสมบนใบหน้างาม
พลางพุ่งทะยานเข้าสู่ร่างงามอย่างล้ำลึกในขณะที่มูหดเกร็งรัดเขาไว้เเน่น
เสียงหอบหายใจที่ถี่กระชั้นไปตามจังหวะการควบขับของเขาราวกับกำลังเปล่งเสียงร้องเพลง
เขาหัวเราะ...
จนกระทั่งรู้สึกว่าตนเองระเบิดพร่าง.....
ในขณะที่มู... ใช้ทั้งเรือนกายโอบรัดเขาพร้อมทั้งดื่มด่ำไปกับการปลดปล่อยของเขา ก่อนจะมอบรอยยิ้มอันเเสนอ่อนโยนอย่างที่สุดให้เขา...
ใช่... อัลเดบารัน ท่านเป็นของข้า....
เเต่เพียงผู้เดียว
ดวงตาสีทองที่พร่าพรายไปด้วยความสุขสมกวาดมองไปทั่วใบหน้างามของผู้เป็นที่รัก
“ให้โอกาสข้าอีกสักครั้งนะ....
ครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไปอีก...”
“ท่านก็รู้ ว่าข้าให้โอกาสท่านเสมอมา....
ตราบใดที่ลมหายใจของข้ายังไม่ได้ถูกพรากไปเสียก่อนข้า...
ก็รู้ดี..
ว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันหนีท่านพ้น”
ฝนหยุดตกเเล้ว.......
ท้องฟ้าปลอดโปร่งในขณะที่ดาวนำทางเปล่งประกายงดงามอยู่ที่ขอบฟ้า... ในขณะที่ไฟในเตาผิงเพิ่งจะมอดดับ
เเต่กระนั้น......
มันก็ยังคงอบอุ่น
เมื่อร่างของคู่รักคู่นั้นยังคงอิงเเอบเเนบชิดกันอย่างเเสนสเน่หา...
เเล้วร่วงผลอยลงสู่นิทรารมย์ด้วยกัน ก่อนที่จะต้องตื่นลืมตาเมื่อวันใหม่มาถึงพร้อมด้วยคำมั่นสัญญา....
......ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน.....
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น