นาโปลี,
กันยายน 1897
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับหยุดลงข่าวของเขาไปตั้งแต่หกเดือนก่อน
ทำให้นามแห่งจอมโจรผู้เลื่องชื่อถูกกลืนหายไปกับกาลเวลาและความทรงจำของผู้คน ทว่ามันกลับกลายเป็นหกเดือนของความทุกข์ทรมานที่ต้องติดอยู่ในกับดักของคำว่า ‘ปราชัย’
เป็นหกเดือนที่เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับฝันร้ายที่ไม่เคยเลือนหายและศักดิ์ศรีที่ถูกช่วงชิงไป ยิ่งกว่านั้นยังมีรอยจารึกที่เนินสะโพกซ้ายซึ่งคอยย้ำเตือนถึงเหตุการณ์อัปยศในคืนนั้น ที่คฤหาสน์ในสตอกโฮล์มกับปีศาจหนุ่มรูปงามผู้ครอบครองบลูแชฟไฟร์ เจ้าของใบหน้าและน้ำเสียงที่เฝ้าหลอนหลอกเขาตลอดเวลา และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจลบภาพบุรุษผู้นั้นออกไปจากใจได้
และด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นหกเดือนเต็มของการมุมานะ นอกจากการทุ่มเทกำลังกายและกำลังทรัพย์ส่วนตัวในการออกเดินทางตามหา ขู่กรรโชก
ติดสินบน และปิดปากผู้เขียนแปลน สถาปนิก
และเหล่าวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์นั้นแล้ว เดสมาร์สทำการสืบค้นทุกรายละเอียดจนบัดนี้แน่ใจว่ารู้จักทุกซอกมุมภายในคฤหาสน์เป็นอย่างดี รวมทั้งข้อมูลทุกอย่างของผู้ครอบครองคนปัจจุบัน.. อโฟรดิเท
อดีตนายทหารนอกราชการผู้ติดยศพลเรือโทหรืออีกโฉมหน้าซึ่งปิดบังเป็นความลับ ..นักจารกรรมข้อมูลระดับโลกผู้ซึ่งใช้นามแฝงว่า
‘บลัดดี้โรส’
ดังนั้นเขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตนจึงมิใช่คู่ต่อกร
ไม่ติดใจสงสัยอีกแล้วว่าความเยือกเย็นจนน่าขนลุกของอโฟรดิเทนั้นมีที่มาอย่างไร ในเมื่อหมอนั่นคือสุดยอดมันสมองขององค์กร ..เป็นมืออาชีพในหมู่มืออาชีพ
ทว่าเดสมาร์สเองก็ได้ชื่อว่าเป็นมือหนึ่งในโลกมืดเช่นกัน งานของเขาเริ่มจากการโจรกรรมเพชรพลอยของราชวงศ์โรมานอฟในคราวเดียว เป็นจำนวนถึงสองร้อยแปดสิบเม็ดเมื่อสิบปีก่อน แน่นอนว่าประเมินค่ามิได้ และจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยมีหน่วยงานใดสืบสาวมาถึงตัวเขาได้เลยเพราะมัวแต่หลงวนเวียนอยู่กับการตามสืบคดีเล็กๆน้อยๆเป็นต้นว่า คดีโจรกรรมทับทิมยอดมงกุฏในพิพิธภัณฑ์ลูฟซึ่งเขาจงใจก่อขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และในฐานะที่เป็นมืออาชีพเช่นเดียวกัน.. เดสมาร์คจะขอรับคำท้านั้นโดยมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน
...ครั้งหน้าหากคุณโจรหาบลูแชฟไฟร์พบข้าก็จะไม่ติดใจเอาความ
และยินยอมที่จะมอบสมบัติตกทอดประจำตระกูลให้โดยไม่มีเงื่อนไข
แต่หากถูกข้าจับได้อีกจะไม่มีคำว่าปราณีเช่นคราวนี้
ท่านจะต้องตกเป็นสมบัติของข้าตราบเท่าที่ข้าพอใจ...
“ได้เลย
จัดให้ตามนั้น”
จอมโจรหนุ่มขบกรามแน่นขณะจี้หัวไม้เท้าที่เผาไฟจนแดงเข้าที่ตัวอักษร
A บนสะโพก เหล็กร้อนๆนาบเนื้อทำให้เกิดเสียงดัง ฉ่า
พร้อมด้วยกลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง และความเจ็บปวดที่แล่นจี๊ดขึ้นสู่สมองทำให้เขาต้องสะดุ้งเฮือก ทว่าหากเป็นการกระทำเพื่อลบร่องรอยแห่งความอัปยศอดสูแล้วล่ะก็.. มันก็คุ้มค่าเพียงพอ และทันทีที่แผลหาย เขาจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
และในที่สุดเวลาแห่งการทวงแค้นก็มาถึง รอยไหม้ที่เนินสะโพกทุเลาลงมากแล้ว
โจรหนุ่มเก็บสัมภาระเท่าที่จำเป็นแล้วออกเดินทางจากแหล่งพำนักกลับไปยังสตอกโฮล์มเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูหมายเลขหนึ่ง เพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา
และเพื่อที่ใบหน้าซึ่งตามหลอกหลอนนั้นจะได้หายไปเสียที
คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่เดสมาร์สลอบเข้ามาในคฤหาสน์ได้อย่างสะดวกง่ายดาย โจรหนุ่มแฝงกายเงียบเชียบยืนหลับตานิ่งแล้วตั้งสมาธิอยู่ภายในเงามืด พร้อมด้วยความคิดจดจ่ออยู่กับงานเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ออกปฎิบัติการ
ทว่าครั้งนี้จะไม่มีคำว่าประมาทเช่นที่ผ่านมาอีกแล้วเพราะบัดนี้ได้รู้ชัด ว่าเจ้าของคฤหาสน์มิใช่หมูตัวอ้วนกลมที่จะนอนหลับไม่รู้เรื่องยามที่เขาลอบเข้าไป
จากการสืบค้นทุกรายละเอียดกว่าครึ่งปีที่ผ่านมาทำให้ทราบว่าห้องลับซึ่งเก็บงำบลูแชฟไฟร์ไว้มิใช่จะอยู่จุดลับตาที่สุดของคฤหาสน์ดังที่เคยคาดไว้ และมิใช่ว่าจะถูกตั้งเวรยามอย่างแน่นหนา หากแต่มันเป็นห้องเล็กๆซ่อนอยู่ในห้องสำหรับเล่นบิลเลียตที่ชั้นสองของปีกซ้ายซึ่งต้องดึงคันโยกโคมไฟติดผนังอันที่สองจากฝาผนังด้านขวา มีเสียงครืดลากยาวเมื่อกลไกเริ่มทำงาน
และประตูลับก็ปรากฏให้เห็นจากฝาผนังด้านตรงข้าม เดสมาร์สไม่รอช้า.. โจรหนุ่มเร้นกายเข้าไปในห้องลับอย่างเงียบเชียบและได้พบสิ่งที่ปรารถนา
บลูแชฟไฟร์ ..ไพลินน้ำงามขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อยเปล่งประกายเรื่องรองอยู่ท่ามกลางความมืด ด้วยความยินดี..
เขารีบยื่นมือเข้าไปคว้ามันออกมาจากกล่องแล้วยัดใส่ประเป๋าคาดเอวอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเดสมาร์สพลันรู้สึกว่าศักดิ์ศรีที่ถูกช่วงชิงไปกลับคืนมาเมื่อทำงานสำเร็จ ทว่าทันทีที่กลับออกมา
“เก่งไม่เบานี่คุณโจร”
เสียงทุ้มนุ่มกล่าวชมเชย
ขณะที่เจ้าของเสียงจรดไม้คิวลงเรี่ยโต๊ะสักหลาดสีเขียวเข้ม จดจ่อสมาธิอยู่กับลูกกลมสีขาว หาใช่ผู้บุกรุก..
ทำให้เดสมาร์สถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ ทันทีที่เห็นหน้าและได้ยินเสียง รอยสลักบนสะโพกซ้ายก็ดูราวกับจะเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีกทั้งๆที่เขาทำลายมันไปแล้วด้วยการนาบเหล็กเผาไฟ จนตัวอักษร A อันงดงามเหลือไว้เพียงรอยไหม้น่าเกลียด
“ข้าได้มันมาแล้ว” เดสมาร์สประกาศกร้าวอย่างไม่ยอมจำนนต่อความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้น ด้วยคาดว่าอีกฝ่ายคงจะมาเพื่อขัดขวางเป็นแน่ ทว่าเขาคิดผิด
“ข้ารู้.. และบัดนี้มันเป็นของท่านแล้ว”
ลูกบิลเลียดสีดำถูกลูกขาวกระทบแล้วชิ่งไปลงหลุมริมโต๊ะ
อโฟรดิเทถอนหายใจยาวพลางยืดร่างขึ้นก่อนจะวางไม้คิวในมือลง และทันทีที่แชฟไฟร์คู่งามจ้องตรงมาเดสมาร์สก็ถูกสะกดให้ต้องยืนนิ่งอีกครั้ง โจรหนุ่มกัดฟัน
พยายามสั่งตนเองให้เบือนสายตาให้พ้นจากจากใบหน้าศัตรู เพราะ ‘บลัดดี้โรส’ ไม่เคยทำงานพลาดมาก่อนเลย และวิธีการที่ถนัดนักหนาก็คือการใช้รูปกายเป็นเครื่องมือสะกดความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม เขาท่องจำสิ่งนี้ได้จนขึ้นใจก่อนจะตัดสินใจย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง
และจนบัดนี้ก็ยังคงถูกสะกดให้ตะลึงค้างอยู่ร่ำไป
ทว่าอโฟรดิเทมิได้ทำสิ่งใดนอกจากยืนนิ่งแล้วยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเเต่โดยดี ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถหาบลูแชฟไฟร์พบ ตนก็มีแต่ต้องทำตามสัญญาเท่านั้น
“บลูแชฟไฟร์เป็นของท่านแล้ว จงรีบออกไปเสีย ก่อนที่ใครจะเข้ามาเห็น”
ด้วยเหตุนี้เดสมาร์สจึงลอบออกมาจากคฤหาสน์ได้อย่างปลอดภัยพร้อมด้วยสมบัติล้ำค่าและศักดิ์ศรีที่ได้กลับคืนมา
ความมืดที่ห้อมล้อมอยู่โดยรอบจะทำให้เขาหนีไปขึ้นเรือรอบเที่ยงคืนได้ทันเวลา และฝันร้าย..
รวมทั้งใบหน้าและน้ำเสียงที่ตามหลอกหลอนก็ควรจะจบลงเสียที
ทว่ายิ่งห่างออกมาเท่าไรเขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น โจรหนุ่มสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ภาพแชฟไฟร์คู่งามที่ยังคงจ้องมองมาให้พ้นไปจากใจ นี่มันอะไรกัน.. ทั้งๆที่ทำงานสำเร็จแล้ว แต่ทำไม..
เดสมาร์สพยายามไม่สนใจภาพเหล่านั้น
หากมุ่งตรงไปขึ้นเรืออย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้ไปให้พ้นจากที่นี่เสียที
เขาจะกลับไปนาโปลีแล้วนอนพักให้หายเหนื่อยสักสองหรือสามเดือน แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอะไรต่อไป
เสียงหวูดซึ่งดังก้องไปทั่วท้องน้ำเป็นสัญญาณว่าเรือกำลังจะออกจากท่าในอีกสิบหน้านาทีข้างหน้า หากเดสมาร์สกลับรู้สึกว่าตนเองนั่งไม่ติด อะไรบางอย่างพยายามโน้มน้าวให้เขาหวนระลึกถึงเจ้าของบลูแชฟไฟร์อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่เขาคือผู้ชนะ
ทั้งๆที่เขาได้ศักดิ์ศรีของจอมโจรคืนมาอย่างครบถ้วน แต่ก็ยังดูเหมือนขาดอะไรไป...
ฝนตกแล้ว..
หยดน้ำตาจากฟากฟ้าประพรมผิวดินให้ชุ่มฉ่ำ เพียงแค่ทำให้คืนที่เงียบงันชุ่มชื่นขึ้นในทีแรก
ก่อนจะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นความกราดเกรี้ยวที่ซัดกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา อโฟรดิเทเอนกายลงฟังเสียงฝนซ่านซ่าบนเตียงนอนพลางเฝ้ามองสายอัสนีที่บาตแวบวาบอยู่นอกหน้าต่าง
ลำแสงแปลบปลาบส่องกระทบซีกหน้าเฉยเมยที่ปราศจากอารมณ์
และเรือนร่างเพรียวที่สวมเพียงเสื้อแขนยาวไม่กลัดประดุมกับกางเกงผ้าเนื้อบาง
เขามิเคยเสียทีให้ใครมาก่อน และครั้งนี้ถึงแม้จะต้องสูญเสียสมบัติตกทอดประจำตระกูลไปหากก็มิได้นึกเสียดาย ทว่าอโฟรดิเทไม่เข้าใจ..
มิใช่ว่าตนไม่อาจหยุดยั้งผู้บุกรุกแต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ
มิใช่ว่าจะไม่สามารถจับกุมตัวไว้แต่กลับเลือกที่จะปล่อยไป
กิริยาบางอย่างในตัวโจรหนุ่มผู้นั้นทำให้เขาไม่ต้องการที่จะจับตายแม้จะจำเป็นต้องทำ แม้จะเป็นหน้าที่ซึ่งทางการได้มอบหมายให้ แววตาร้อนรนกระวนกระวายตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า
และสีหน้าไม่สบอารมณ์ยามที่เขาแกล้งยั่วเย้านั้นไม่เคยเลือนไปจากใจเขา
เดสมาร์สเป็นจอมโจรที่รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด และเพราะรู้ดี.. เขาจึงยิ่งแกล้ง
ถึงขั้นประทับรอยจารึกเอาไว้บนร่างก็เพราะรู้ดีว่ามันจะผลักดันให้อีกฝ่ายยิ่งคลั่ง
..อาจเป็นเพราะไร้คู่มือมานาน เมื่อได้พานพบคู่ต่อสู่ที่สมน้ำสมเนื้อจึงอดใจไม่อยู่ที่จะต้องขอทดสอบ..
ความคิดคำนึงพลันสะดุดลง อโฟรดิเทล้วงมือเข้าไปหยิบกระบี่ที่ใต้หมอนหนุนก่อนจะยันกายขึ้นจากเตียงช้าๆ พร้อมด้วยประสาทสัมผัสที่ตื่นตัวเต็มที่ยามเมื่อรับรู้ได้ถึงตัวตนของผู้ที่บุกรุกเข้ามาถึงในห้องนอน
“เปรี้ยง!”
แสงสว่างวาบที่สาดเป็นลำเข้ามาในห้องส่องกระทบร่างในอาภรณ์ดำสนิทซึ่งกำลังยืนหนาวสั่นอยู่ที่ริมระเบียง และไม่ใช่ใครทีไหน..
“คิดว่าใคร.. คุณโจรนี่เอง”
“กลับมาอีกทำไม...”
เดสมาร์สเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งที่เรือกำลังจะพาเขาไปให้พ้นจากที่นี่ ทั้งที่ฝนกำลังเริ่มลงเม็ดหนาขึ้นทุกทีๆ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะกลับมา มือที่เย็นจนสั่นสะท้านล้วงอัญมณีสีน้ำเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วชูขึ้นตรงหน้าเจ้าของ
“มันเป็นของท่านแล้วตามสัญญา จะเอามาคืนข้าทำไมอีก”
เขาเองก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าจะลำบากเอากลับมาคืนทำไม ทั้งๆที่พยายามแทบตายกว่าจะได้มา
แต่เสียงซึ่งดังก้องอยู่ในใจมีเพียงให้กลับมาเท่านั้น
“ข้ารู้เพียงว่าข้าต้องกลับมา”
เดสมาร์สลากสังขารที่เปียกปอนไปทั้งร่างเข้ามาในห้อง ขณะที่เจ้าของห้องหันไปเร่งไฟที่เตาผิงแล้วกลับมาพร้อมด้วยผ้าเช็ดตัวผืนหนา ทว่าแทนที่จะเอื้อมมือไปรับโจรหนุ่มกลับทรุดกายลงกับพื้น พร้อมความรู้สึกสูญเสียอิสรภาพไปเช่นเดียวกับคืนแรกที่ได้สบสายตาบุรุษผู้นี้
“เอาคืนไป
ถ้าแม้นได้ศักดิ์ศรีคืนมาแล้วข้าจะต้องทนอยู่ห่างท่านมิได้อีก
ของแบบนี้ข้าไม่ต้องการ!”
ด้วยความทรนงตัว ..เดสมาร์สวางบลูแชฟไฟร์ลงกับพื้นก่อนจะยืดร่างขึ้นอย่างไม่แยแสกับสิ่งที่เพียรพยายามไขว่คว้ามาตลอดหกเดือน
และโดยไม่สนใจกับสารรูปที่เปียกโชกจนหนาวสะท้านของตนเอง ไม่สนใจสภาพพายุฝนฟ้าคะนองเบื้องนอก
จอมโจรหนุ่มหมุนร่างออกไปยังระเบียงเพื่อที่จะจากไปเมื่อได้พูดสิ่งที่ค้างคาใจแล้วในที่สุด ทว่าอโฟรดิเทกลับคลี่ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ออกพันรอบร่าง
วงแขนกอดกระชับคนหนาวเสียจนตัวสั่นเข้ามาแนบกาย ให้ไออุ่นจากเรือนร่างตนช่วยบรรเทาความหนาวพลางเอ่ยเสียงนุ่มชิดริมหู
“การรักศักดิ์ศรีน่ะมันก็ดี แต่ก็ไม่ทำให้ท่านอิ่มท้องได้หรอกนะ
อีกอย่างฝนยังตกหนักแถมลมแรง จะรีบออกไปทำไมกัน”
เดสมาร์สไม่อาจหันกลับไปสบตาได้ เขามิอาจเสี่ยง.. ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากตนเองต้องมนตร์สะกดจากแชฟไฟร์คู่นั้นอีก กระนั้นเสียงหัวเราะแผ่วๆจากชายหนุ่มกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์
“คุณโจร.. ทั้งที่ทำงานสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่กลับเผลอทิ้งหัวใจไว้ที่นี่งั้นหรือ”
เจอไม้นี้เข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ถ้อยคำดักทางที่ดั่งจะรู้ความในใจเขาดียิ่งกว่าเจ้าตัวยิ่งทำให้เดสมาร์สอับอายเสียจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ทว่าอ้อมแขนที่โอบกระชับจากเบื้องหลังนั้นไม่ยอมผ่อนปรนให้ขยับกายหนีไปไหนได้
“แล้วเป็นเพราะใครกันล่ะ” ทำได้เพียงแต่บ่นอุบอิบกับตนเอง ทว่าคนหูไวกลับตอบสนองทันควัน ยิ่งทำให้เขารู้สึกขายหน้าเสียจนแทบไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน
“ขอยอมรับผิดทุกประการครับ”
เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างว่าง่ายก่อนจะจรดปลายจมูกลงที่ซอกคอ
“สรุปแล้วเป็นเพราะตัวข้าเอง ที่ทำให้ท่านได้ศักดิ์ศรีคืนแต่กลับต้องสูญเสียดวงใจไป
ดังนั้นข้าพร้อมที่จะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ด้วยฐานะของ ‘บลัดดี้โรส’
หรือ ‘อโฟรดิเท’ กันล่ะ”
นัยน์ตาวาววามเปล่งประกายเรืองรองขึ้นท่ามกลางความมืด
...คนๆนี้ฉลาดกว่าเขาคิด...
แค่คำถามห้วนสั้นเพียงประโยคเดียว
อโฟรดิเทก็พลันตระหนักถึงความคิดอ่านของฝ่ายตรงข้าม
เดสมาร์สกำลังถามว่าจะจับตัวเขาส่งให้กับทางการหรือไม่
มันทำให้เขาจำต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย..
“ในเมื่อคุณโจรรู้จัก ‘บลัดดี้โรส’
ก็ย่อมหมายความว่าคงรู้แล้วสินะว่าเรายืนอยู่คนละข้างกัน
และการที่กลับมาที่นี่ก็คงเตรียมใจเอาไว้แล้วกระมัง
ว่าจะสิ้นชื่อด้วยมือข้าหรือจะคงอยู่ต่อไป”
“แล้วคำตอบของท่าน..”
“มีกฎอยู่ข้อหนึ่งซึ่งสำคัญพอๆกับการอยู่หรือตายของพวกเราเหล่านักจารกรรมในโลกมืด ท่านเองก็คงรู้ดี”
“จรรยาบรรณ” เดสมาร์สตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ถูกต้อง นั่นคือจรรยาบรรณที่พึงมีต่ออาชีพของตน” อโฟรดิเทจบคำพร้อมกับวงแขนที่โอบแน่นเข้า
จมูกโด่งงามยังคงคลอเคลียต้นคอคนในอ้อมแขนมิยอมห่าง ทว่าเดสมาร์สกลับรู้สึกราวกับพื้นห้องใต้ฝ่าเท้าไหวยวบยาบ เมื่อความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำเฉลยนั้นคือสิ่งที่เขาหวาดกลัว ..นั่นคือการถูกส่งตัวให้ทางการด้วยน้ำมือของคนๆนี้
...สุดท้ายก็คงมีเพียงเขาที่รู้สึกไปเองลมๆแล้งๆ อยากจะหัวเราะความโง่เง่าของตัวเองนัก
แต่ช่างปะไร.. ในเมื่อไม่มีคุกที่ไหนในโลกนี้จะสามารถกักขังเขาไว้ได้ ไม่นานเขาก็จะหนีออกมาอีก
เขาอาจหายไปเลียแผลตามลำพังสักพัก แต่แล้ววันหนึ่งจอมโจรผู้เลื่องชื่อก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง...
“แต่เวลานี้ข้าเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง
เป็นเพียงอโฟรดิเท.. คนที่ท่านยอมเสี่ยงตายเพื่อกลับมาหา จึงย่อมปรารถนาที่จะฟังบัญชาจากหัวใจตนเองมากกว่าคำสั่งจากทางการ
อีกอย่าง.. จอมโจรอะไรนั่นข้าไม่เห็นรู้จัก
ภาพที่ส่งมาให้ก็ดูไม่เห็นจะเหมือนท่านสักหน่อย”
วงแขนแข็งแรงพลันคลายออก อโฟรดิเทปอกเปลื้องเสื้อที่เปียกน้ำชุ่มฉ่ำออกจากร่างตนเองแล้วอ้อมมาหยุดยืนเบื้องหน้าเดสมาร์ส มือใหญ่เรียวงามยกขึ้นสัมผัสแก้มเย็นเฉียบอย่างนุ่มนวล
แววกระวนกระวายที่พลิ้วไหวอยู่ในดวงตาฝ่ายตรงข้ามทำให้อโฟรดิเทเผยอยิ้ม ชายหนุ่มก้าวเข้าไปประชิดตัวแล้วเอ่ยเสียงพร่า
“แต่ในเมื่อข้าจับตัวท่านได้ เท่ากับสัญญาของเรามีผลบังคับใช้นับจากนี้
และไม่ว่าท่านจะต้องการรึไม่ก็ตาม ท่านก็จะต้องอยู่ข้างกายข้านานตราบเท่าที่ข้าจะพอใจ”
“เปรี้ยง!”
เสียงฟ้าคำรามลั่นจนหูอื้อทำให้เดสมาร์สไม่แน่ใจ.. ว่าการที่ตัดสินใจกลับมาเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด
อาจเป็นเพราะพายุกับเสียงคำรามเบื้องนอกที่ทำให้หูอื้อตาลายเสียจนคิดอะไรไม่ออก หาใช่กลิ่นอายที่ชวนให้มัวเมา และยิ่งมิใช่เพราะลมหายใจผ่าวร้อน
หรือไม่เป็นคงเป็นเพราะมนตร์สะกดจากแชฟไฟร์ที่งามที่สุดคู่นั้น...
End
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น