8/11/2555

Blue Desire








นาโปลี, กันยายน  1897


หนังสือพิมพ์ทุกฉบับหยุดลงข่าวของเขาไปตั้งแต่หกเดือนก่อน   ทำให้นามแห่งจอมโจรผู้เลื่องชื่อถูกกลืนหายไปกับกาลเวลาและความทรงจำของผู้คน   ทว่ามันกลับกลายเป็นหกเดือนของความทุกข์ทรมานที่ต้องติดอยู่ในกับดักของคำว่า  ปราชัย   เป็นหกเดือนที่เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับฝันร้ายที่ไม่เคยเลือนหายและศักดิ์ศรีที่ถูกช่วงชิงไป   ยิ่งกว่านั้นยังมีรอยจารึกที่เนินสะโพกซ้ายซึ่งคอยย้ำเตือนถึงเหตุการณ์อัปยศในคืนนั้น   ที่คฤหาสน์ในสตอกโฮล์มกับปีศาจหนุ่มรูปงามผู้ครอบครองบลูแชฟไฟร์   เจ้าของใบหน้าและน้ำเสียงที่เฝ้าหลอนหลอกเขาตลอดเวลา   และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจลบภาพบุรุษผู้นั้นออกไปจากใจได้

และด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นหกเดือนเต็มของการมุมานะ   นอกจากการทุ่มเทกำลังกายและกำลังทรัพย์ส่วนตัวในการออกเดินทางตามหา  ขู่กรรโชก  ติดสินบน   และปิดปากผู้เขียนแปลน  สถาปนิก  และเหล่าวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์นั้นแล้ว   เดสมาร์สทำการสืบค้นทุกรายละเอียดจนบัดนี้แน่ใจว่ารู้จักทุกซอกมุมภายในคฤหาสน์เป็นอย่างดี   รวมทั้งข้อมูลทุกอย่างของผู้ครอบครองคนปัจจุบัน..  อโฟรดิเท   อดีตนายทหารนอกราชการผู้ติดยศพลเรือโทหรืออีกโฉมหน้าซึ่งปิดบังเป็นความลับ   ..นักจารกรรมข้อมูลระดับโลกผู้ซึ่งใช้นามแฝงว่า บลัดดี้โรส   ดังนั้นเขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตนจึงมิใช่คู่ต่อกร   ไม่ติดใจสงสัยอีกแล้วว่าความเยือกเย็นจนน่าขนลุกของอโฟรดิเทนั้นมีที่มาอย่างไร    ในเมื่อหมอนั่นคือสุดยอดมันสมองขององค์กร  ..เป็นมืออาชีพในหมู่มืออาชีพ

ทว่าเดสมาร์สเองก็ได้ชื่อว่าเป็นมือหนึ่งในโลกมืดเช่นกัน   งานของเขาเริ่มจากการโจรกรรมเพชรพลอยของราชวงศ์โรมานอฟในคราวเดียว   เป็นจำนวนถึงสองร้อยแปดสิบเม็ดเมื่อสิบปีก่อน   แน่นอนว่าประเมินค่ามิได้    และจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยมีหน่วยงานใดสืบสาวมาถึงตัวเขาได้เลยเพราะมัวแต่หลงวนเวียนอยู่กับการตามสืบคดีเล็กๆน้อยๆเป็นต้นว่า   คดีโจรกรรมทับทิมยอดมงกุฏในพิพิธภัณฑ์ลูฟซึ่งเขาจงใจก่อขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ   และในฐานะที่เป็นมืออาชีพเช่นเดียวกัน..  เดสมาร์คจะขอรับคำท้านั้นโดยมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน


...ครั้งหน้าหากคุณโจรหาบลูแชฟไฟร์พบข้าก็จะไม่ติดใจเอาความ   และยินยอมที่จะมอบสมบัติตกทอดประจำตระกูลให้โดยไม่มีเงื่อนไข  

แต่หากถูกข้าจับได้อีกจะไม่มีคำว่าปราณีเช่นคราวนี้   ท่านจะต้องตกเป็นสมบัติของข้าตราบเท่าที่ข้าพอใจ...

“ได้เลย   จัดให้ตามนั้น”


จอมโจรหนุ่มขบกรามแน่นขณะจี้หัวไม้เท้าที่เผาไฟจนแดงเข้าที่ตัวอักษร A บนสะโพก   เหล็กร้อนๆนาบเนื้อทำให้เกิดเสียงดัง  ฉ่า  พร้อมด้วยกลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง   และความเจ็บปวดที่แล่นจี๊ดขึ้นสู่สมองทำให้เขาต้องสะดุ้งเฮือก   ทว่าหากเป็นการกระทำเพื่อลบร่องรอยแห่งความอัปยศอดสูแล้วล่ะก็..   มันก็คุ้มค่าเพียงพอ   และทันทีที่แผลหาย   เขาจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง

และในที่สุดเวลาแห่งการทวงแค้นก็มาถึง    รอยไหม้ที่เนินสะโพกทุเลาลงมากแล้ว   โจรหนุ่มเก็บสัมภาระเท่าที่จำเป็นแล้วออกเดินทางจากแหล่งพำนักกลับไปยังสตอกโฮล์มเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูหมายเลขหนึ่ง   เพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา   และเพื่อที่ใบหน้าซึ่งตามหลอกหลอนนั้นจะได้หายไปเสียที  

คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่เดสมาร์สลอบเข้ามาในคฤหาสน์ได้อย่างสะดวกง่ายดาย    โจรหนุ่มแฝงกายเงียบเชียบยืนหลับตานิ่งแล้วตั้งสมาธิอยู่ภายในเงามืด   พร้อมด้วยความคิดจดจ่ออยู่กับงานเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ออกปฎิบัติการ   ทว่าครั้งนี้จะไม่มีคำว่าประมาทเช่นที่ผ่านมาอีกแล้วเพราะบัดนี้ได้รู้ชัด   ว่าเจ้าของคฤหาสน์มิใช่หมูตัวอ้วนกลมที่จะนอนหลับไม่รู้เรื่องยามที่เขาลอบเข้าไป  

จากการสืบค้นทุกรายละเอียดกว่าครึ่งปีที่ผ่านมาทำให้ทราบว่าห้องลับซึ่งเก็บงำบลูแชฟไฟร์ไว้มิใช่จะอยู่จุดลับตาที่สุดของคฤหาสน์ดังที่เคยคาดไว้   และมิใช่ว่าจะถูกตั้งเวรยามอย่างแน่นหนา   หากแต่มันเป็นห้องเล็กๆซ่อนอยู่ในห้องสำหรับเล่นบิลเลียตที่ชั้นสองของปีกซ้ายซึ่งต้องดึงคันโยกโคมไฟติดผนังอันที่สองจากฝาผนังด้านขวา   มีเสียงครืดลากยาวเมื่อกลไกเริ่มทำงาน   และประตูลับก็ปรากฏให้เห็นจากฝาผนังด้านตรงข้าม   เดสมาร์สไม่รอช้า..  โจรหนุ่มเร้นกายเข้าไปในห้องลับอย่างเงียบเชียบและได้พบสิ่งที่ปรารถนา  

บลูแชฟไฟร์    ..ไพลินน้ำงามขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อยเปล่งประกายเรื่องรองอยู่ท่ามกลางความมืด   ด้วยความยินดี..  เขารีบยื่นมือเข้าไปคว้ามันออกมาจากกล่องแล้วยัดใส่ประเป๋าคาดเอวอย่างรวดเร็ว   พริบตานั้นเดสมาร์สพลันรู้สึกว่าศักดิ์ศรีที่ถูกช่วงชิงไปกลับคืนมาเมื่อทำงานสำเร็จ   ทว่าทันทีที่กลับออกมา


“เก่งไม่เบานี่คุณโจร”

เสียงทุ้มนุ่มกล่าวชมเชย   ขณะที่เจ้าของเสียงจรดไม้คิวลงเรี่ยโต๊ะสักหลาดสีเขียวเข้ม   จดจ่อสมาธิอยู่กับลูกกลมสีขาว   หาใช่ผู้บุกรุก..   ทำให้เดสมาร์สถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่   ทันทีที่เห็นหน้าและได้ยินเสียง   รอยสลักบนสะโพกซ้ายก็ดูราวกับจะเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีกทั้งๆที่เขาทำลายมันไปแล้วด้วยการนาบเหล็กเผาไฟ   จนตัวอักษร A อันงดงามเหลือไว้เพียงรอยไหม้น่าเกลียด       

“ข้าได้มันมาแล้ว”  เดสมาร์สประกาศกร้าวอย่างไม่ยอมจำนนต่อความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้น   ด้วยคาดว่าอีกฝ่ายคงจะมาเพื่อขัดขวางเป็นแน่   ทว่าเขาคิดผิด

“ข้ารู้..    และบัดนี้มันเป็นของท่านแล้ว” 

ลูกบิลเลียดสีดำถูกลูกขาวกระทบแล้วชิ่งไปลงหลุมริมโต๊ะ   อโฟรดิเทถอนหายใจยาวพลางยืดร่างขึ้นก่อนจะวางไม้คิวในมือลง   และทันทีที่แชฟไฟร์คู่งามจ้องตรงมาเดสมาร์สก็ถูกสะกดให้ต้องยืนนิ่งอีกครั้ง   โจรหนุ่มกัดฟัน   พยายามสั่งตนเองให้เบือนสายตาให้พ้นจากจากใบหน้าศัตรู    เพราะ บลัดดี้โรส ไม่เคยทำงานพลาดมาก่อนเลย   และวิธีการที่ถนัดนักหนาก็คือการใช้รูปกายเป็นเครื่องมือสะกดความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม   เขาท่องจำสิ่งนี้ได้จนขึ้นใจก่อนจะตัดสินใจย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้ง    และจนบัดนี้ก็ยังคงถูกสะกดให้ตะลึงค้างอยู่ร่ำไป

 ทว่าอโฟรดิเทมิได้ทำสิ่งใดนอกจากยืนนิ่งแล้วยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเเต่โดยดี    ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถหาบลูแชฟไฟร์พบ   ตนก็มีแต่ต้องทำตามสัญญาเท่านั้น

“บลูแชฟไฟร์เป็นของท่านแล้ว   จงรีบออกไปเสีย   ก่อนที่ใครจะเข้ามาเห็น”


ด้วยเหตุนี้เดสมาร์สจึงลอบออกมาจากคฤหาสน์ได้อย่างปลอดภัยพร้อมด้วยสมบัติล้ำค่าและศักดิ์ศรีที่ได้กลับคืนมา   ความมืดที่ห้อมล้อมอยู่โดยรอบจะทำให้เขาหนีไปขึ้นเรือรอบเที่ยงคืนได้ทันเวลา   และฝันร้าย..  รวมทั้งใบหน้าและน้ำเสียงที่ตามหลอกหลอนก็ควรจะจบลงเสียที

ทว่ายิ่งห่างออกมาเท่าไรเขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น   โจรหนุ่มสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ภาพแชฟไฟร์คู่งามที่ยังคงจ้องมองมาให้พ้นไปจากใจ   นี่มันอะไรกัน..   ทั้งๆที่ทำงานสำเร็จแล้ว   แต่ทำไม..  เดสมาร์สพยายามไม่สนใจภาพเหล่านั้น   หากมุ่งตรงไปขึ้นเรืออย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้ไปให้พ้นจากที่นี่เสียที   เขาจะกลับไปนาโปลีแล้วนอนพักให้หายเหนื่อยสักสองหรือสามเดือน   แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอะไรต่อไป    

เสียงหวูดซึ่งดังก้องไปทั่วท้องน้ำเป็นสัญญาณว่าเรือกำลังจะออกจากท่าในอีกสิบหน้านาทีข้างหน้า   หากเดสมาร์สกลับรู้สึกว่าตนเองนั่งไม่ติด   อะไรบางอย่างพยายามโน้มน้าวให้เขาหวนระลึกถึงเจ้าของบลูแชฟไฟร์อยู่ตลอดเวลา   ทั้งๆที่เขาคือผู้ชนะ   ทั้งๆที่เขาได้ศักดิ์ศรีของจอมโจรคืนมาอย่างครบถ้วน   แต่ก็ยังดูเหมือนขาดอะไรไป...  


ฝนตกแล้ว.. 

หยดน้ำตาจากฟากฟ้าประพรมผิวดินให้ชุ่มฉ่ำ   เพียงแค่ทำให้คืนที่เงียบงันชุ่มชื่นขึ้นในทีแรก   ก่อนจะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นความกราดเกรี้ยวที่ซัดกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา    อโฟรดิเทเอนกายลงฟังเสียงฝนซ่านซ่าบนเตียงนอนพลางเฝ้ามองสายอัสนีที่บาตแวบวาบอยู่นอกหน้าต่าง   ลำแสงแปลบปลาบส่องกระทบซีกหน้าเฉยเมยที่ปราศจากอารมณ์   และเรือนร่างเพรียวที่สวมเพียงเสื้อแขนยาวไม่กลัดประดุมกับกางเกงผ้าเนื้อบาง  

เขามิเคยเสียทีให้ใครมาก่อน   และครั้งนี้ถึงแม้จะต้องสูญเสียสมบัติตกทอดประจำตระกูลไปหากก็มิได้นึกเสียดาย   ทว่าอโฟรดิเทไม่เข้าใจ..  มิใช่ว่าตนไม่อาจหยุดยั้งผู้บุกรุกแต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ   มิใช่ว่าจะไม่สามารถจับกุมตัวไว้แต่กลับเลือกที่จะปล่อยไป   กิริยาบางอย่างในตัวโจรหนุ่มผู้นั้นทำให้เขาไม่ต้องการที่จะจับตายแม้จะจำเป็นต้องทำ   แม้จะเป็นหน้าที่ซึ่งทางการได้มอบหมายให้    แววตาร้อนรนกระวนกระวายตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า   และสีหน้าไม่สบอารมณ์ยามที่เขาแกล้งยั่วเย้านั้นไม่เคยเลือนไปจากใจเขา    เดสมาร์สเป็นจอมโจรที่รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด   และเพราะรู้ดี..   เขาจึงยิ่งแกล้ง   ถึงขั้นประทับรอยจารึกเอาไว้บนร่างก็เพราะรู้ดีว่ามันจะผลักดันให้อีกฝ่ายยิ่งคลั่ง  

..อาจเป็นเพราะไร้คู่มือมานาน   เมื่อได้พานพบคู่ต่อสู่ที่สมน้ำสมเนื้อจึงอดใจไม่อยู่ที่จะต้องขอทดสอบ..  

ความคิดคำนึงพลันสะดุดลง   อโฟรดิเทล้วงมือเข้าไปหยิบกระบี่ที่ใต้หมอนหนุนก่อนจะยันกายขึ้นจากเตียงช้าๆ   พร้อมด้วยประสาทสัมผัสที่ตื่นตัวเต็มที่ยามเมื่อรับรู้ได้ถึงตัวตนของผู้ที่บุกรุกเข้ามาถึงในห้องนอน  

“เปรี้ยง!

แสงสว่างวาบที่สาดเป็นลำเข้ามาในห้องส่องกระทบร่างในอาภรณ์ดำสนิทซึ่งกำลังยืนหนาวสั่นอยู่ที่ริมระเบียง   และไม่ใช่ใครทีไหน.. 

“คิดว่าใคร..  คุณโจรนี่เอง”

“กลับมาอีกทำไม...”

เดสมาร์สเองก็ไม่รู้เหมือนกัน   ทั้งที่เรือกำลังจะพาเขาไปให้พ้นจากที่นี่   ทั้งที่ฝนกำลังเริ่มลงเม็ดหนาขึ้นทุกทีๆ   แต่เขาก็ยังเลือกที่จะกลับมา   มือที่เย็นจนสั่นสะท้านล้วงอัญมณีสีน้ำเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วชูขึ้นตรงหน้าเจ้าของ  

“มันเป็นของท่านแล้วตามสัญญา   จะเอามาคืนข้าทำไมอีก”

เขาเองก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าจะลำบากเอากลับมาคืนทำไม   ทั้งๆที่พยายามแทบตายกว่าจะได้มา   แต่เสียงซึ่งดังก้องอยู่ในใจมีเพียงให้กลับมาเท่านั้น

“ข้ารู้เพียงว่าข้าต้องกลับมา”   

เดสมาร์สลากสังขารที่เปียกปอนไปทั้งร่างเข้ามาในห้อง   ขณะที่เจ้าของห้องหันไปเร่งไฟที่เตาผิงแล้วกลับมาพร้อมด้วยผ้าเช็ดตัวผืนหนา   ทว่าแทนที่จะเอื้อมมือไปรับโจรหนุ่มกลับทรุดกายลงกับพื้น   พร้อมความรู้สึกสูญเสียอิสรภาพไปเช่นเดียวกับคืนแรกที่ได้สบสายตาบุรุษผู้นี้

“เอาคืนไป 

ถ้าแม้นได้ศักดิ์ศรีคืนมาแล้วข้าจะต้องทนอยู่ห่างท่านมิได้อีก  

ของแบบนี้ข้าไม่ต้องการ!

ด้วยความทรนงตัว   ..เดสมาร์สวางบลูแชฟไฟร์ลงกับพื้นก่อนจะยืดร่างขึ้นอย่างไม่แยแสกับสิ่งที่เพียรพยายามไขว่คว้ามาตลอดหกเดือน   และโดยไม่สนใจกับสารรูปที่เปียกโชกจนหนาวสะท้านของตนเอง   ไม่สนใจสภาพพายุฝนฟ้าคะนองเบื้องนอก   จอมโจรหนุ่มหมุนร่างออกไปยังระเบียงเพื่อที่จะจากไปเมื่อได้พูดสิ่งที่ค้างคาใจแล้วในที่สุด   ทว่าอโฟรดิเทกลับคลี่ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ออกพันรอบร่าง   วงแขนกอดกระชับคนหนาวเสียจนตัวสั่นเข้ามาแนบกาย   ให้ไออุ่นจากเรือนร่างตนช่วยบรรเทาความหนาวพลางเอ่ยเสียงนุ่มชิดริมหู  

“การรักศักดิ์ศรีน่ะมันก็ดี   แต่ก็ไม่ทำให้ท่านอิ่มท้องได้หรอกนะ
อีกอย่างฝนยังตกหนักแถมลมแรง   จะรีบออกไปทำไมกัน”  

เดสมาร์สไม่อาจหันกลับไปสบตาได้   เขามิอาจเสี่ยง..   ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากตนเองต้องมนตร์สะกดจากแชฟไฟร์คู่นั้นอีก   กระนั้นเสียงหัวเราะแผ่วๆจากชายหนุ่มกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์


“คุณโจร..   ทั้งที่ทำงานสำเร็จแล้วแท้ๆ   แต่กลับเผลอทิ้งหัวใจไว้ที่นี่งั้นหรือ”

เจอไม้นี้เข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี   ถ้อยคำดักทางที่ดั่งจะรู้ความในใจเขาดียิ่งกว่าเจ้าตัวยิ่งทำให้เดสมาร์สอับอายเสียจนแทบแทรกแผ่นดินหนี   ทว่าอ้อมแขนที่โอบกระชับจากเบื้องหลังนั้นไม่ยอมผ่อนปรนให้ขยับกายหนีไปไหนได้

“แล้วเป็นเพราะใครกันล่ะ”  ทำได้เพียงแต่บ่นอุบอิบกับตนเอง   ทว่าคนหูไวกลับตอบสนองทันควัน   ยิ่งทำให้เขารู้สึกขายหน้าเสียจนแทบไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน

“ขอยอมรับผิดทุกประการครับ”  เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างว่าง่ายก่อนจะจรดปลายจมูกลงที่ซอกคอ


“สรุปแล้วเป็นเพราะตัวข้าเอง    ที่ทำให้ท่านได้ศักดิ์ศรีคืนแต่กลับต้องสูญเสียดวงใจไป
ดังนั้นข้าพร้อมที่จะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง”

“ด้วยฐานะของ  บลัดดี้โรส  หรือ อโฟรดิเท  กันล่ะ”


นัยน์ตาวาววามเปล่งประกายเรืองรองขึ้นท่ามกลางความมืด

...คนๆนี้ฉลาดกว่าเขาคิด...

แค่คำถามห้วนสั้นเพียงประโยคเดียว   อโฟรดิเทก็พลันตระหนักถึงความคิดอ่านของฝ่ายตรงข้าม

เดสมาร์สกำลังถามว่าจะจับตัวเขาส่งให้กับทางการหรือไม่

มันทำให้เขาจำต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย..


“ในเมื่อคุณโจรรู้จัก บลัดดี้โรส  ก็ย่อมหมายความว่าคงรู้แล้วสินะว่าเรายืนอยู่คนละข้างกัน
และการที่กลับมาที่นี่ก็คงเตรียมใจเอาไว้แล้วกระมัง  ว่าจะสิ้นชื่อด้วยมือข้าหรือจะคงอยู่ต่อไป”  

“แล้วคำตอบของท่าน..”


“มีกฎอยู่ข้อหนึ่งซึ่งสำคัญพอๆกับการอยู่หรือตายของพวกเราเหล่านักจารกรรมในโลกมืด   ท่านเองก็คงรู้ดี”

“จรรยาบรรณ”  เดสมาร์สตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด  

“ถูกต้อง   นั่นคือจรรยาบรรณที่พึงมีต่ออาชีพของตน”  อโฟรดิเทจบคำพร้อมกับวงแขนที่โอบแน่นเข้า   จมูกโด่งงามยังคงคลอเคลียต้นคอคนในอ้อมแขนมิยอมห่าง   ทว่าเดสมาร์สกลับรู้สึกราวกับพื้นห้องใต้ฝ่าเท้าไหวยวบยาบ   เมื่อความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำเฉลยนั้นคือสิ่งที่เขาหวาดกลัว   ..นั่นคือการถูกส่งตัวให้ทางการด้วยน้ำมือของคนๆนี้


...สุดท้ายก็คงมีเพียงเขาที่รู้สึกไปเองลมๆแล้งๆ   อยากจะหัวเราะความโง่เง่าของตัวเองนัก  

แต่ช่างปะไร..   ในเมื่อไม่มีคุกที่ไหนในโลกนี้จะสามารถกักขังเขาไว้ได้   ไม่นานเขาก็จะหนีออกมาอีก
เขาอาจหายไปเลียแผลตามลำพังสักพัก   แต่แล้ววันหนึ่งจอมโจรผู้เลื่องชื่อก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง...


“แต่เวลานี้ข้าเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง  
เป็นเพียงอโฟรดิเท..   คนที่ท่านยอมเสี่ยงตายเพื่อกลับมาหา   จึงย่อมปรารถนาที่จะฟังบัญชาจากหัวใจตนเองมากกว่าคำสั่งจากทางการ

อีกอย่าง..   จอมโจรอะไรนั่นข้าไม่เห็นรู้จัก   ภาพที่ส่งมาให้ก็ดูไม่เห็นจะเหมือนท่านสักหน่อย”


วงแขนแข็งแรงพลันคลายออก   อโฟรดิเทปอกเปลื้องเสื้อที่เปียกน้ำชุ่มฉ่ำออกจากร่างตนเองแล้วอ้อมมาหยุดยืนเบื้องหน้าเดสมาร์ส   มือใหญ่เรียวงามยกขึ้นสัมผัสแก้มเย็นเฉียบอย่างนุ่มนวล   แววกระวนกระวายที่พลิ้วไหวอยู่ในดวงตาฝ่ายตรงข้ามทำให้อโฟรดิเทเผยอยิ้ม   ชายหนุ่มก้าวเข้าไปประชิดตัวแล้วเอ่ยเสียงพร่า

“แต่ในเมื่อข้าจับตัวท่านได้   เท่ากับสัญญาของเรามีผลบังคับใช้นับจากนี้
และไม่ว่าท่านจะต้องการรึไม่ก็ตาม  ท่านก็จะต้องอยู่ข้างกายข้านานตราบเท่าที่ข้าจะพอใจ”  



“เปรี้ยง!


เสียงฟ้าคำรามลั่นจนหูอื้อทำให้เดสมาร์สไม่แน่ใจ..   ว่าการที่ตัดสินใจกลับมาเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด
อาจเป็นเพราะพายุกับเสียงคำรามเบื้องนอกที่ทำให้หูอื้อตาลายเสียจนคิดอะไรไม่ออก   หาใช่กลิ่นอายที่ชวนให้มัวเมา   และยิ่งมิใช่เพราะลมหายใจผ่าวร้อน

หรือไม่เป็นคงเป็นเพราะมนตร์สะกดจากแชฟไฟร์ที่งามที่สุดคู่นั้น...



End

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น