9/18/2555

น้ำตาฟินิกซ์ 13




เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขากลับมาที่นี่..


ราชวังอันโอ่อ่า   นิวาสสถานซึ่งอยู่บนที่เกือบสูงสุดในเขตหวงห้ามชั้นใน..   สถานที่อันบ่งชี้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา   เซบาสเตียน  มิคาเอลลิส..  ไม่สิ   ..ไม่ใช่อีกแล้ว   เวลานี้เขาไม่มีหน้าจะใช้ชื่อนั้นอีกต่อไปแล้วนี่นะ  ในเมื่อตนเองบกพร่องในฐานะพ่อบ้านอย่างรุนแรงถึงเพียงนั้น


ซาตานาเกียปลดปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศอันมืดสลัวที่ปราศจากแสงคบเพลิง   ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่บังลังก์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นยกพื้นสูงอย่างเฉยชา   ถัดขึ้นไปคือผืนหนังเก่าคร่ำคร่าซึ่งแขวนติดอยู่บนกำแพงด้านหลัง   ตรงกลางผืนวาดตราสัญลักษณ์ประจำตัวขุนพลผู้เป็นมือขวาของเจ้าแห่งปีศาจ   ..เป็นตราสัญลักษณ์ของเขาเอง..   ตำหนักของเขารกร้างปราศจากการดูแลมานานหลังจากครั้งสุดท้ายที่เขาหวนคืนกลับมาเมื่อเกือบห้าร้อยปีที่แล้ว   เขาไม่เคยชอบการพำนักอยู่ที่นี่นานๆ   จะว่าผิดปกติก็ย่อมได้..   แต่เขามักจะชื่นชอบสีสันกับบรรยากาศที่หลากหลายในดินแดนของมนุษย์มากกว่า   


แม้ว่าจะมิใช่ปีศาจชั้นต่ำที่จำเป็นต้องยังชีพด้วยการสูบกลืนวิญญาณมนุษย์เพื่อให้มีชีวิตยืนยาวต่อไป   ทว่าเขาก็ยังเลือกที่จะตอบรับเสียงเพรียกของมนุษย์นานๆ ครั้ง   และบางครั้งถึงกับยินยอมลดตัวลงไปทำพันธะสัญญาด้วยโดยแลกกับดวงวิญญาณที่ตนเองไม่จำเป็นต้องสูบกลืน    เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากทำให้อิ่มท้อง..  ซึ่งนั่นไม่จำเป็นเลยสำหรับปีศาจระดับสูง    แต่เขาก็พบว่าตนเองโปรดปรานนักหนากับการเลือกเฟ้นหาวิญญาณชั้นยอด   ที่จะเป็นเสมือนเกมซึ่งต้องวางเดิมพันและรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ   เป็นบรรณาการชั้นยอด   และเป็นเครื่องฆ่าเวลายามเมื่อเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอันยืนยาว    เขาทำเช่นนั้นมาเรื่อย..  ศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า   จนกระทั่งได้พบกับเด็กคนนั้น


ทว่าเวลานี้ทุกอย่างจบลงเพราะการแทรกแซงของท่านผู้นั้นเพียงคนเดียว    ด้วยความที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดมานานทำให้ซาตานาเกียมองออก   ว่าจอมมารนั้นหวั่นเกรงในสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของตนเอง   ท่านผู้นั้นไม่ต้องการให้มีอะไรหรือสิ่งใดมากระทบต่อความมั่นคงของตนเองทั้งสิ้น   และในฐานะที่เป็นลูก  ..ซาตานาเกียตระหนักดีว่าตนไม่อาจขัดแย้ง    แต่เวลานี้เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว   จริงๆ แล้วไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป   และเขาจะคงอยู่และใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปอีกตราบนานเท่านานโดยลืมทุกอย่างเสียให้สิ้น



..ไม่มีแม้กระทั่งคำอำลา   ไม่มีการสบสายตาก่อนลาจาก

ไม่มีความทรงจำ.. 


ไม่มีอะไรทั้งนั้น..


ชีวิตเขาเริ่มต้นจากความมืดมนและว่างเปล่า   และเขาก็จะเป็นเช่นที่เคยผ่านมาต่อไปตามลำพังโดยมีความเดียวดายและหนาวเหน็บเป็นมิตรแท้   จะไม่สนใจใยดีกับอาณาจักรของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว   เมื่อบัดนี้ได้รู้แล้วว่าสีสันเหล่านั้นไม่น่าสนใจและคงไม่เหมาะสมกับตัวตนเช่นที่เป็นอยู่   เขาควรจะเป็น..  อย่างที่ตนเองควรเป็นมากกว่า    และหากวันใดราชันย์แห่งปีศาจปรารถนาจะเปิดศึกกับสวรรค์อีก   วันนั้นเขาจะขอเป็นแนวหน้านำทัพออกไปสู้ศึกถวายชีวิต   จะขอเป็นปีศาจในหมู่ปีศาจที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดอีกแล้ว

ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้นทว่าซาตานาเกียก็กลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม   ความรู้สึกไม่มั่นคงที่แปลกประหลาดนี้ทำให้เขาทรมานใจนัก    ราวกับภายในอกมันกลวงโบ๋ขาดบางสิ่งบางอย่างไป   ราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญ   และความรู้สึกเปราะบางประหนึ่งทำสมบัติล้ำค่าหล่นหายก็ทำให้ปีศาจหนุ่มอดประหลาดใจไม่ได้   พร้อมด้วยความหวาดหวั่นที่พุ่งเข้าจู่โจมจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  


 ..เป็นไปไม่ได้..   เขากำลังคิดถึงเด็กคนนั้น

แม้ว่าผลแห่งพันธะสัญญาจะสิ้นสุดไปแล้วน่ะหรือ..


สิ่งที่ได้รับรู้นั้นทำให้ซาตานาเกียตกใจนัก   และเมื่อคำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวเสียจนเขาไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้   กายดำสนิทก็ผุดลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยนัยน์ตาที่ทอประกายจ้า   ขณะที่ความกังวลซึ่งหาได้ยากยิ่งก่อกำเนิดขึ้นในอกแล้วแผดเผาก้อนเนื้อที่ยังคงเต้นอยู่ในนั้นให้เจ็บปวดทรมานดุจเพลิงร้อนระอุ   น่าขัน..  ที่เวลานี้เขากระวนกระวายอยากจะรู้เหลือเกินกว่าชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์จะเป็นอย่างไร   เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เด็กคนนั้นก็ไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้  ทั้งยังถูกส่งตัวไปที่ไหนเขาก็ไม่อาจรู้   เมื่อปราศจากพันธะสัญญาแล้วซาตานาเกียก็ไม่อาจล่วงรู้อะไรเกี่ยวกับอดีตนายของตนเองได้เลย   แล้วจะทำอย่างไรดี...


ขืนรอช้ากว่านี้นายน้อย..  ไม่  

ขืนรอช้ากว่านี้ชิเอล   แฟนธอมไฮฟ์คงไม่แคล้วตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ต้องการครอบครองน้ำตาฟินิกซ์เป็นแน่




“พรูฟลัส   ..บาร์บาโดส    ..แอสทารอท” 

ซาตานาเกียเอ่ยนามแม่ทัพปีศาจทั้งสามที่ขึ้นตรงกับตน    และทันทีที่สิ้นเสียงกลุ่มควันดำทะมึนสามกลุ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า    ปีศาจหนุ่มยืนนิ่งพลางเฝ้ามองหมอกควันเหล่านั้นค่อยๆ ม้วนตัวเข้าหากันแล้วก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างช้าๆ   และเมื่อมันจางหายไปในที่สุดที่ตรงนั้นก็ปรากฏร่างของนายทัพปีศาจจำนวนทั้งสิ้นสามตนด้วยกัน   ปีศาจซึ่งถูกเรียกตัวมาต่างก็หุบปีกแนบลำตัวแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งพลางแตะกำปั้นขวาเข้ากับแผ่นอกเบื้องซ้ายของตนเอง   ก่อนจะค้อมศีรษะคารวะผู้เป็นนาย



“มิได้พบกันเสียนาน   ท่านซาตานาเกีย”


“มีธุระอันใดให้พวกข้ารับใช้หรือ   ..นายท่าน”


..นั่นสิ..  เขาควรจะทำอย่างที่คิดจริงๆ น่ะหรือ   บางทีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจน้อยตนนั้นอีกอาจนำพาหายนะมาสู่ตนเองก็เป็นได้..  


หากซาตานาเกียไม่สน




“ข้ามีงานให้พวกเจ้าทำ” 


ในฐานะมือขวาของจอมมาร   ในเวลานี้น้ำเสียงที่ผ่านพ้นคมเขี้ยวคู่หน้าและริมฝีปากสีดำสนิทออกมามิใช่เสียงทุ้มนุ่มหูเพื่อให้ใครบางคนฟังแล้วรู้สึกดีอีกต่อไป   หากแต่เป็นสุ้มเสียงที่แท้จริงซึ่งทั้งแหบห้าวและดังกระหึ่มจนทำให้ตำหนักทั้งหลังสั่นสะเทือน   และมันน่าขนลุกขนพองมากพอๆ กับน่าเกรงขามเสียจนส่งผลให้นายทัพทั้งสามรีบก้มศีรษะลงจนแทบจะติดพื้นด้วยความยำเกรง



“ชีวิตของข้าเป็นของนายท่าน   ..โปรดบัญชามาเถอะ”


“ข้าต้องการให้พวกเจ้าตามหาเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์คนล่าสุดให้พบ   จงพาสมุนของเจ้าออกไป..  แล้วค้นหาให้ละเอียดทุกซอกมุม    ให้ทั่วทั้งสามโลกเต็มไปด้วยพลพรรคของพวกเรา    ต่อให้ต้องพลิกผืนดินหรือแม้จะต้องทำยิ่งกว่านั้นก็ต้องหาตัวเด็กคนนั้นให้พบก่อนคนอื่น”


“รับทราบขอรับ..  ท่านซาตานาเกีย   ตัวข้ารวมทั้งทัพปีศาจที่อยู่ใต้อาณัติทั้งยี่สิบหกกองพันจะออกปฏิบัติการเดี๋ยวนี้”   พรูฟลัส   เจ้าของเรือนกายดำทะมึนซึ่งเต็มไปด้วยริ้วแดงเล็กๆ พาดผ่านเป็นลายขวางตลอดทั้งตัวค้อมศีรษะอีกครั้งก่อนจะสลายร่างไป   ขณะที่ปีศาจกายสีเขียวเข้มอีกตนหนึ่งยืดตัวขึ้นยืนตรง


“เช่นนั้นข้า..  บาร์บาโดส   พร้อมด้วยกำลังพลอีกสามสิบกองพันจะนำตัวเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์กลับมามอบให้ท่านเอง”


“ไม่ต้อง..  กระจายคำสั่งของข้าออกไป   กำชับทุกกองพันว่าอย่าให้ใครแตะต้องเด็กคนนั้นเป็นอันขาด   เพียงหาตัวให้พบแล้วรีบแจ้งให้ข้ารู้เท่านั้นพอ”


“ขอรับ..  นายท่าน”  บาร์บาโดสรับคำก่อนจะจากไป



“ข้าขอบังอาจถาม   ว่านายท่านคิดจะจบชีวิตนิรันดร์งั้นหรือ..” 


แอสทารอทถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อผู้เป็นนายปรายหางตามอง    นายทัพหนุ่มตนสุดท้ายรีบค้อมศีรษะลง “ข้าขออภัย..  ”



“ช่างเถอะ..  นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้    ไปได้แล้ว”


“ขอรับ”  จบคำร่างสีแดงสดก็สลายกลายเป็นหมอกควัน  



ซาตานาเกียอาจยังไม่รู้..   ว่าเมื่อหาพบแล้วจะทำอย่างไรกับเด็กคนนั้น   แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจและรู้ดี   เขาไม่ต้องการเห็นอดีตเจ้านายตัวน้อยซึ่งตนเคยทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องดูแลต้องตกเป็นสมบัติของใคร




.......................................................


ท่ามกลางความมืด..  ชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์กระชับผืนผ้าเก่าขาดซึ่งเคยเป็นเสื้อใส่นอนให้แนบลำตัวขณะที่ซุกร่างอยู่หลังภูเขาหินพลางถูฝ่ามือเล็กทั้งคู่ไปมาเพื่อให้เกิดไออุ่น    หนุ่มน้อยไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน    หลังจากที่ได้สติขึ้นมาท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่รอบกายไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากความมืดอันเงียบงัน   กับภูเขาหินน้อยใหญ่ที่ทอดตัวเรียงรายสลับซับซ้อนอยู่รอบทิศราวกับทางวงกตนี่แล้วเขาก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ   แต่กระนั้นชิเอลก็ยังรู้สึกโล่งอกเมื่อพบว่าตนยังไม่ถูกบรรดาผู้หมายปองน้ำตาฟินิกซ์พบเข้า   ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเวลามานั่งขบคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นแน่


เมื่อสติคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์หนุ่มน้อยก็พลันได้ตระหนักว่าบัดนี้พันธะสัญญาระหว่างตนกับพ่อบ้าน..  ซึ่งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยอยู่ห่างตัวได้จบสิ้นลงแล้ว   ชิเอลยังคงจำได้ดีถึงความเจ็บปวดยามที่สัญลักษณ์ในดวงตาข้างขวาถูกทำลาย    เขารีบยกมือขึ้นลูบคลำบริเวณตาขวาก่อนจะพบว่ามันยังคงปกติดีทุกอย่าง    แล้วจึงลองปิดตาข้างซ้ายและใช้ตาขวาเพียงข้างเดียวมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งสองตา   ..เอาละ..  จบไปหนึ่งเรื่อง    ที่นี้.. 


วงแขนเล็กๆ เผลอกระชับรอบตนเองแน่นอย่างลืมตัว   เมื่อได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของความเดียวดายเป็นครั้งแรกในชีวิต    เวลานี้เขาไม่มีพ่อบ้านที่ชื่อเซบาสเตียน  มิคาเอลลิสให้เรียกหาอีกแล้ว   ไม่มีตัวหมาก   ไม่มีดาบและโล่เอาไว้ให้ใช้งานอีกต่อไป   ..แต่มันก็เท่านั้นแหละ    การขาดคนรับใช้ไปคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร    ทว่าชิเอลกลับกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด   แล้วพยายามบังคับตนเองให้สงบจิตใจทั้งที่รู้ดีว่าภายในกำลังปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน    แขนเล็กบางทั้งสองข้างเหยียดตรงพลางกำมือแน่นอยู่ข้างลำตัว   เขาไม่ต้องการจะแสดงความอ่อนแอ  ..ต่อให้ต้องตายก็ไม่มีวัน   เพราะแน่ใจว่าหมอนั่นจะต้องนึกดูถูก..  ถ้าได้รู้ว่าเมื่ออยู่ตัวคนเดียวแล้วเขาก็แทบไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกอ่อนแอที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้   ทว่าถึงอย่างนั้น..   ถึงอย่างนั้นร่างกายเล็กๆของเขาก็ยังไม่ยอมหยุดสั่น  


“หยุด..   หยุดสิ 

ปัดโธ่”    


ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใดหรือแม้ว่าหัวใจจะแกร่งกล้าสักแค่ไหน   ทว่าร่างกายน้อยๆ ที่ยังบอบบางและไม่เติบใหญ่เต็มที่กลับกำลังสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้    ส่งผลให้ชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์ต้องกระทำในสิ่งที่ตนไม่เคยคิดจะทำมาก่อน   มือน้อยกำแน่นแล้วซัดเข้ากับภูเขาหินตรงหน้าอย่างสุดแรงเกิดเพื่อเรียกสติให้กับตนเองหนึ่งหมัดเต็มๆ   ศีรษะที่ปวดระบมเพราะความเครียดสะสมแหงนหงายไปเบื้องหลังแล้วตะโกนก้องอย่างปวดร้าว


 “ก็บอกให้หยุดไง!  หยุดสั่นสักที!!


เสียงกู่ร้องด้วยความสิ้นหวังสะท้อนก้องไปมาอยู่ในวงกตหินครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมด้วยเสียงหอบสะท้าน   และสิ่งที่ตอบกลับมาก็มีเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมกับไอเย็นยะเยือกที่ไม่แปรเปลี่ยนเท่านั้น   ทว่าก็ทำให้เขารู้สึกสงบลงบ้างเล็กน้อย   ความเงียบวังเวงกลับคืนมาในที่สุด   ปีศาจหนุ่มน้อยไม่แยแสอาการปวดตุบๆ กับกำปั้นข้างที่เลือดโชก   ชิเอลลุกขึ้นยืนพร้อมกับรวบรวมสติ..   และบอกตนเองว่าเขาจะไม่ยอมจบสิ้นอยู่เพียงแค่นี้หรอก   เพราะหากเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ โดยไม่ทำอะไรแล้วล่ะก็   ของอย่างนั้นซากศพก็ทำได้เหมือนกัน   เขาไม่รู้ว่าถ้าได้พบกันอีกครั้ง  หมอนั่น..  เซบาสเตียนจะมีทีท่ายังไง   จะยังคงเห็นเขาเป็นเจ้านาย   เป็นมิตร   หรือจะเมินเฉยไม่สนใจกันแน่   ถึงแม้จะไม่เข้าขั้นมองเห็นเขาเป็นศัตรูแต่เจ้านั่นก็อาจจะตีปีกดีใจที่ได้เป็นอิสระก็เป็นได้   และเขาควรจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้เสียที   เพราะเรื่องที่ควรจะคิดมากที่สุดในตอนนี้คือ ..ตนเองจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรต่างหาก


ชิเอลเดินลัดเลาะพยายามเสาะหาทางออกไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้โดยอาศัยเพียงความสามารถในการมองเห็นในความมืดซึ่งติดตัวมาตั้งแต่กลายเป็นปีศาจ   ขณะที่หูทั้งสองตั้งใจฟังเสียงแม้เพียงเล็กน้อยและจมูกคอยรับกลิ่นที่ผิดปกติพร้อมด้วยความระแวดระวังที่เพิ่มขึ้น   ขณะเดียวกันก็คิดวางแผนการคร่าวๆ ไว้ในใจด้วย   และเป็นอีกครั้งที่ภาพคฤหาสน์แฟนธอมไฮฟ์ยามใกล้อัสดงปรากฏขึ้นในความทรงจำ   เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านมาเนิ่นนานนักนับจากครั้งหลังสุดที่ตนเดินลงบันไดหน้าคฤหาสน์มาขึ้นรถม้าเพื่อหนีไปจากวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ต่อหน้าคนเหล่านั้น   เวลานี้ภาพใบหน้าที่อาบน้ำตาของคนรับใช้ทั้งสาม   เมลิน  ฟินนี่  และบาร์ด   รวมทั้งสีหน้าเรียบเฉยที่ซุกซ่อนความเศร้าโศกไว้ในใจของพ่อบ้านชราอย่างทานากะบีบเค้นหัวใจเขามากกว่าครั้งไหนๆ ทั้งสิ้น   ทั้งที่ในเวลานั้นเขาเคยคิดว่าความทรงจำที่ผ่านมาไม่มีราคาค่างวดอะไร   ทว่าตอนนี้เพิ่งได้รู้   ว่าแท้จริงแล้วเขาคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ เหล่านั้นเหลือเกิน   และยิ่งรู้ดีกว่านั้น  ..บางสิ่งบางอย่างที่สูญเสียไปแล้วไม่อาจหวนคืนกลับมา


แต่ขณะที่ภาพแห่งความหลังทอประกายงดงามอยู่ในห้วงความคิด   ชิเอลกลับพบว่าตนเองเจอเข้ากับสิ่งที่ไม่ควรเจอเสียแล้ว   ปีศาจหนุ่มน้อยยืนตัวแข็งทื่อเมื่อมาปะทะเข้ากับอสูรกายฝูงหนึ่งระยะกระชั้นชิด   พวกมันมีจำนวนประมาณเจ็ดหรือแปด   และดูไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่เขาเคยเห็นมาก่อนเลย   แน่นอนว่าดุร้าย  น่าเกลียดน่ากลัว   และมีเขี้ยวยาวคมเรียงเป็นแถวในปากที่ดูเหมือนอ้ากว้างอยู่ตลอดเวลา   ซึ่งคงจะมีไว้เพื่อขย้ำอะไรก็ตามที่พวกมันเล็งเห็นว่ากินได้   และโดยไม่ต้องคิดทบทวนซ้ำสอง..  พริบตานั้นเขาก็จัดแจงกระโจนขึ้นไปบนเนินที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วปีนป่ายสูงขึ้นไปอย่างว่องไวจนไม่น่าเชื่อ   ขณะที่ฟันคู่หน้าของเจ้าตัวใหญ่ที่สุดในฝูงอยู่ห่างจากก้นเขาไปเพียงคืบเดียวพร้อมด้วยเสียงคำรามต่ำๆ น่าขนลุก  


กว่าจะรู้ตัว   และกว่าที่ขวัญซึ่งกระเจิดกระเจิงจะกลับมาอีกครั้ง  ชิเอลก็พบว่าตนเองเกาะแน่นอยู่บนชะง่อนหินสูงลิบเสียแล้ว   หนุ่มน้อยหอบแฮ่กพร้อมด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อที่ได้รู้ว่าตนเองมีความสามารถทำอะไรแบบนี้ได้   ชิเอลถอนหายใจเฮือกยามที่มองลงไปเบื้องล่าง   แน่นอนว่าเขาไม่เคยเป็นโรคกลัวความสูงมาก่อนแน่ๆ  ดังนั้นไอ้ที่ทำให้เขารู้สึกเสียวสยองเป็นที่สุดในตอนนี้ก็คือฝูงตัวประหลาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกสนใจเขานั่นแหละ   สาบานได้ว่าเขายังไม่หายตกใจจากเสียงฟันที่งับเฉียดก้นไปเมื่อครู่นี้เลย  


ปีศาจหนุ่มน้อยไม่มีทางเลือกนอกจากปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมด้วยความสงสัย   ..เมื่อไหร่จะถึงยอดเขาเสียทีนะ..  ถ้าหากว่าตอนนี้เขายังเป็นมนุษย์อยู่ล่ะก็คงไม่วายร่วงลงไปเป็นของว่างให้เจ้าพวกข้างล่างนั่นแล้ว   แต่ถ้าหากเวลานี้ยังเป็นมนุษย์อยู่เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นกระมัง   และเซบาสเตียนก็คงจะไม่..  ชิเอลสะบัดศีรษะอย่างแรง  พลางลบล้างความคิดคำนึงไม่เข้าเรื่องออกไปจากสมอง   แล้วมองตรงไปข้างหน้าและคิดถึงแต่เพียงจุดสูงสุดบนยอดเขา   ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะขึ้นไปให้ถึงแม้ว่ามือทั้งสองจะเริ่มชาจนหมดความรู้สึก  ..เเต่เขาเป็นปีศาจนี่นะ  แค่มือชานิดหน่อยจะเป็นไรไป   ดังนั้นเขาไม่คิดจะหยุดพักด้วยเรื่องแค่นี้หรอก   บางทีสิ่งที่รออยู่บนยอดเขาอาจเป็นทางออกไปจากโลกบ้าๆ นี้ก็ได้   เขาอาจได้กลับบ้าน   หรือไม่ก็ตื่นจากความฝันวิปริตนี่เสียที


ทว่าเสียงอะไรบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้ชิเอลชะงักอยู่กลางทางพร้อมด้วยความรู้สึกไม่สู้ดี    ถึงแม้จะยังห่างไกลนักทว่านั่นฟังดูคล้ายเสียงกระพือปีก   และไม่ได้มาเพียงหนึ่งหรือสองเสียด้วย..   ดังนั้นหนุ่มน้อยยังไม่มีโชคมากพอที่จะได้พบประตูหรือทางออกอะไรทั้งสิ้น   เขายังไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดเขาอย่างที่ตั้งใจไว้   และก็ยังไม่ได้กลับบ้าน..  เมื่อจู่ๆ ก็ได้พบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกกลุ่มใหญ่   เทวดาฝูงหนึ่งบินโฉบเข้ามาใกล้เพราะเห็นเขาเข้าแล้ว   หนึ่งในนั้นคว้าตัวเขาขึ้นมาขณะที่องค์อื่นๆ พากันส่งเสียงเฮลั่นอย่างดีอกดีใจ   และนั่นทำให้เขารู้สึกหัวเสียเป็นที่สุด



“อ้าว..  น้ำตาฟินิกซ์ยังเป็นเด็กน้อยน่ารักอยู่เลยนี่นา”


“ปล่อยนะ!


ทันทีที่ได้ตัวเขาทูตสวรรค์ทั้งกลุ่มก็กางปีกร่อนออกไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็ว   ทั้งขนปีกสีขาวและอาภรณ์ขาวสะอาดบนร่างของทั้งหมดตัดกับบรรยากาศขมุกขมัวและความสกปรกมอมแมมของเขาอย่างเห็นได้ชัด  


หนุ่มน้อยไม่รู้หรอกว่าตนเองจะมีชะตากรรมอย่างไรต่อไป   หรือว่าจะถูกพาไปที่ไหนอีก   อันที่จริงเขาไม่สนด้วยซ้ำไป   ..เวลานี้ชิเอลสนใจเพียงแค่ต้องการให้เจ้าพวกนี้ปล่อยตัวเขาเท่านั้น   ปีศาจตัวน้อยทั้งเตะ  ต่อย  และดึงทึ้งเส้นผมยาวสีทองของผู้ที่จับตนเป็นเชลย   ทว่าทูตสวรรค์องค์นี้ก็ดูเหมือนจะมีความอดทนเป็นเลิศและคงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพาตัวเขากลับไปฉลองมื้อค่ำด้วยกัน   ทั้งๆ ที่ถูกทุบถองสารพัดวิธีแต่ก็ยังรัดเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย   ขณะที่ปีกขาวบริสุทธิ์คู่ใหญ่อีกหลายคู่กระพือลมแรงเสียจนทำให้เศษผ้าสีมอซอที่ติดกายเขาอยู่แทบจะปลิวหายไปเลยทีเดียว   


“นะ..  หนาว..”


“ไม่เป็นไรนะ   ข้าจะทำให้เจ้าอุ่นขึ้นเอง” 


“เจ้าจะเก็บตัวเขาไว้ไม่ได้หรอก   เราต้องพาเขากลับไปพบพระบิดานะ”  ทูตสวรรค์องค์อื่นๆ พูดเตือนสติ   ขณะที่ชิเอลทำหน้ายุ่งพร้อมด้วยลางสังหรณ์ในทางที่ไม่ดีนักผุดขึ้นในสมอง



..อะไรนะ..  


อีกแล้วหรือ..  ถ้าฟังจากที่เจ้าพวกนี้คุยกัน   ดูท่าทางความซวยถัดไปของเขาคงจะเป็น จอมเทพ สินะ

และเมื่อภาพราชันย์แห่งปีศาจผู้งดงามแต่จิตไม่ปกติปรากฏขึ้นในใจชิเอลก็ดิ้นรนสุดชีวิต    แค่ไอ้บ้านั่นคนเดียวก็เกินพอแล้ว  ..เขาไม่อยากจะเจอผู้ยิ่งใหญ่ที่สติวิปลาสเพิ่มขึ้นอีกคนหรอก   พอที!



“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ   ปล่อยเดี๋ยวนี้!


“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนั้นหรอกนะเด็กน้อย   เพราะคนที่มีอำนาจทำเช่นนั้นได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”  เทพสาวองค์หนึ่งส่ายหน้าพลางบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน   แต่ชิเอลไม่เคยนึกศรัทธาในพวกที่มีปีกบินได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว   ยิ่งกว่านั้น..  ท่าทางซึ่งดูเหมือนสงสารเห็นใจอย่างนี้กลับจะทำให้เขารู้สึก ของขึ้น มากกว่า


“ถ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่เรื่องของตัวเอง   แล้วใครจะมี!  

น่ารำคาญที่สุด  ..ไปให้พ้นนะ!!



พริบตานั้นหนุ่มน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง   วินาทีหนึ่งเขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวขณะเดียวกันในหัวเห็นเพียงแสงสีฟ้าสว่างจ้า   พร้อมๆ กับได้ยินเสียงร้องอุทานด้วยความตระหนกผสมผสานไปกับเสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด   แล้วเขาก็ถูกปล่อยให้ร่วงลงพื้นในวินาทีต่อมา


จากความสูงลิบลิ่วกลางอากาศ   ร่างเล็กๆ ในสภาพเปลือยเกลี้ยงเกลาตกลงมากระแทกพื้นเต็มแรง   ทว่าชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์ยังไม่มีเวลาเต็มตื้นกับความเจ็บปวดที่ได้รับ   ยังไม่ทันได้ตระหนักถึงความจริงใดๆ ทั้งสิ้นลูกดอกเงินดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าปักที่อกเบื้องซ้ายเยื้องตำแหน่งหัวใจไปเพียงนิดเดียว   ส่งผลให้หนุ่มน้อยสะดุ้งเฮือกแล้วร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด


“ไอ้ปีศาจสารเลว!   ยอมอ่อนให้เพราะเห็นว่ายังเด็กอยู่แท้ๆ

คิดไม่ถึงว่าจะมีเขี้ยวเล็บร้ายกาจถึงเพียงนี้   ข้าจะสังหารเจ้าเสีย..” 



“หยุดนะ!   ..จะบ้าหรือไง

ลืมไปแล้วหรือว่าพระบิดาต้องการตัวเด็กคนนี้และได้กำชับให้เราพาตัวกลับไปทั้งที่ยังมีลมหายใจ”


ชิเอลข่มกลั้นความเจ็บปวดแล้วมองขึ้นไปข้างบน   แม้หนุ่มน้อยจะยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของความสับสนอลหม่านของเทวดากลุ่มนั้น   ที่ทุกองค์ต่างก็พากันห้ามปรามพลางยึดแขนยึดขาเทวดาองค์ที่จับตัวเขาไว้เมื่อครู่มิให้ยิงหน้าไม้ปลิดชีพลงมาเป็นดอกที่สอง   ขณะที่เจ้าตัวอยู่ในอารมณ์เดือดพล่านพร้อมด้วยใบหน้าที่เสียโฉมไปแถบหนึ่ง   ..นั่นเป็นฝีมือเขางั้นหรือ



..ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าจะเริ่มตื่นแล้วสินะ   ไม่เลวนี่..


นาทีนั้นชิเอลเพิ่งจะเข้าใจคำพูดของซาตานเป็นครั้งแรก   พลังปีศาจในตัวเขาคงเริ่มที่จะเติบกล้าแล้ว..  ถึงแม้จะยังไม่รู้วิธีควบคุมมันทว่าผลงานเมื่อครู่ก็ดูจะใช้ได้ดีทีเดียว   และถ้าเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็..  หนุ่มน้อยออกวิ่งสุดกำลังเมื่อตระหนักถึงอันตรายที่เพิ่มมากขึ้น   เพราะพลังอำนาจนี้เอง   ที่ทำให้จอมมารกริ่งเกรงในตัวเขาจนหากไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้ก็ต้องเลือกทิ้งขว้างเสียให้ไกลตา   และสำหรับเทวดากลุ่มนี้แล้วมันคงเป็นเสมือนคำเชิญชวนชั้นเยี่ยมที่เขียนไว้กลางหน้าผากเขาว่า ..ฆ่าฉันสิ.. ฉันคือตัวอันตราย~   นั่นแหละ   เขาแทบจะมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เลยทีเดียวว่าจะเกิดอะไรขึ้น  



 “อย่าหนีนะ!


ชิเอลไม่สนใจเสียงที่ตะโกนไล่หลังมา   เขายังคงวิ่งฝ่าความมืดตรงไปข้างหน้าแม้ว่าจะไม่เหลืออะไรติดกายเลยสักชิ้น   เพราะขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวคิดถึงเรื่องพวกนั้น   ยิ่งกว่านั้นการที่หลุดพ้นมาจากวงกตหินที่สลับซับซ้อนได้โดยบังเอิญก็ทำให้ชิเอลเกิดความหวัง   ดังนั้นเขาจะไม่ยอมถูกจับอีกหรอก..  ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้าเขาก็จะลุยฝ่าออกไปให้ได้  


ปีศาจหนุ่มน้อยกัดฟันแน่นเมื่อรู้สึกว่าโอกาสรอดของตนกำลังน้อยลงทุกที   กลุ่มทูตสวรรค์ที่ตามติดไม่ลดละกำลังจะถึงตัวเขาอยู่ในอีกไม่กี่วินาทีแล้ว   แต่เขายังไม่ยอมแพ้..  ไม่มีวัน   แม้ว่าบาดแผลที่อกข้างซ้ายจะปวดระบมยามที่ออกแรงวิ่งเต็มที่   แต่ชิเอลไม่สนใจ   ..เมื่อเวลานี้เซบาสเตียนไม่ได้มาอยู่คอยช่วยเหลืออีกต่อไปแล้วเขาก็จำเป็นที่จะต้องยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้   ทว่าเสียงปีกใหญ่หลายคู่ที่กระพือลมใกล้เข้ามาพร้อมด้วยกระแสลมที่ทวีความแรงขึ้นทุกขณะจิตนั้นราวกับจะตอกย้ำซ้ำเติมถึงชะตากรรมที่ต้องตกเป็นเหยื่ออยู่ร่ำไป   เป็นการบอกให้รู้ว่าพวกมันมาแล้ว   และเขาหนีไปไหนไม่รอด..  ต้นแขนข้างหนึ่งถูกพวกนั้นคว้าเอาไว้ได้ในที่สุด   พริบตานั้นชิเอลตั้งใจจะหันกลับไปสู้ตายด้วยอะไรก็ตามตนที่มีอยู่   ขณะเดียวกับที่หนึ่งในนั้นกรีดร้องเสียงหลงพร้อมด้วยม้วนฟิล์มแห่งชีวิตที่พรั่งพรูออกมาจากร่างกาย  


เลื่อยไฟฟ้าสีแดงสดที่กำลังส่งเสียงคำรามกระหึ่มอันหนึ่งพุ่งเข้าใส่และกรีดเปิดหน้าท้องผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นเป็นแผลยาวพร้อมด้วยเสียงหัวเราะอย่างเริงร่าเกินกว่าเหตุของเจ้าของ   เกรล  แซตคลิฟสะบัดคมเลื่อยในมือให้ดื่มเลือดทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งขณะที่หันมามองหนุ่มน้อยแล้วทำสีหน้าเบื่อหน่าย



“ต๊ายยย   อะไรกัน..  แล้วเซบาสจังไปไหนเสียล่ะ   ชั้นอุตส่าห์ตามกลิ่นเธอมาเพราะคิดว่าจะได้เจอกับสุดที่รักนะเนี่ย

อย่างนี้มันก็น่าเบื่อแย่น่ะสิ”  





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น