เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขากลับมาที่นี่..
ราชวังอันโอ่อ่า นิวาสสถานซึ่งอยู่บนที่เกือบสูงสุดในเขตหวงห้ามชั้นใน..
สถานที่อันบ่งชี้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา เซบาสเตียน
มิคาเอลลิส.. ไม่สิ ..ไม่ใช่อีกแล้ว
เวลานี้เขาไม่มีหน้าจะใช้ชื่อนั้นอีกต่อไปแล้วนี่นะ ในเมื่อตนเองบกพร่องในฐานะพ่อบ้านอย่างรุนแรงถึงเพียงนั้น
ซาตานาเกียปลดปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศอันมืดสลัวที่ปราศจากแสงคบเพลิง ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่บังลังก์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นยกพื้นสูงอย่างเฉยชา ถัดขึ้นไปคือผืนหนังเก่าคร่ำคร่าซึ่งแขวนติดอยู่บนกำแพงด้านหลัง ตรงกลางผืนวาดตราสัญลักษณ์ประจำตัวขุนพลผู้เป็นมือขวาของเจ้าแห่งปีศาจ ..เป็นตราสัญลักษณ์ของเขาเอง.. ตำหนักของเขารกร้างปราศจากการดูแลมานานหลังจากครั้งสุดท้ายที่เขาหวนคืนกลับมาเมื่อเกือบห้าร้อยปีที่แล้ว
เขาไม่เคยชอบการพำนักอยู่ที่นี่นานๆ จะว่าผิดปกติก็ย่อมได้.. แต่เขามักจะชื่นชอบสีสันกับบรรยากาศที่หลากหลายในดินแดนของมนุษย์มากกว่า
แม้ว่าจะมิใช่ปีศาจชั้นต่ำที่จำเป็นต้องยังชีพด้วยการสูบกลืนวิญญาณมนุษย์เพื่อให้มีชีวิตยืนยาวต่อไป ทว่าเขาก็ยังเลือกที่จะตอบรับเสียงเพรียกของมนุษย์นานๆ
ครั้ง และบางครั้งถึงกับยินยอมลดตัวลงไปทำพันธะสัญญาด้วยโดยแลกกับดวงวิญญาณที่ตนเองไม่จำเป็นต้องสูบกลืน เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากทำให้อิ่มท้อง.. ซึ่งนั่นไม่จำเป็นเลยสำหรับปีศาจระดับสูง แต่เขาก็พบว่าตนเองโปรดปรานนักหนากับการเลือกเฟ้นหาวิญญาณชั้นยอด ที่จะเป็นเสมือนเกมซึ่งต้องวางเดิมพันและรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ เป็นบรรณาการชั้นยอด และเป็นเครื่องฆ่าเวลายามเมื่อเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอันยืนยาว เขาทำเช่นนั้นมาเรื่อย.. ศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า จนกระทั่งได้พบกับเด็กคนนั้น
ทว่าเวลานี้ทุกอย่างจบลงเพราะการแทรกแซงของท่านผู้นั้นเพียงคนเดียว
ด้วยความที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดมานานทำให้ซาตานาเกียมองออก ว่าจอมมารนั้นหวั่นเกรงในสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของตนเอง ท่านผู้นั้นไม่ต้องการให้มีอะไรหรือสิ่งใดมากระทบต่อความมั่นคงของตนเองทั้งสิ้น และในฐานะที่เป็นลูก ..ซาตานาเกียตระหนักดีว่าตนไม่อาจขัดแย้ง แต่เวลานี้เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว จริงๆ แล้วไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป และเขาจะคงอยู่และใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปอีกตราบนานเท่านานโดยลืมทุกอย่างเสียให้สิ้น
..ไม่มีแม้กระทั่งคำอำลา
ไม่มีการสบสายตาก่อนลาจาก
ไม่มีความทรงจำ..
ไม่มีอะไรทั้งนั้น..
ชีวิตเขาเริ่มต้นจากความมืดมนและว่างเปล่า และเขาก็จะเป็นเช่นที่เคยผ่านมาต่อไปตามลำพังโดยมีความเดียวดายและหนาวเหน็บเป็นมิตรแท้ จะไม่สนใจใยดีกับอาณาจักรของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เมื่อบัดนี้ได้รู้แล้วว่าสีสันเหล่านั้นไม่น่าสนใจและคงไม่เหมาะสมกับตัวตนเช่นที่เป็นอยู่ เขาควรจะเป็น.. อย่างที่ตนเองควรเป็นมากกว่า และหากวันใดราชันย์แห่งปีศาจปรารถนาจะเปิดศึกกับสวรรค์อีก วันนั้นเขาจะขอเป็นแนวหน้านำทัพออกไปสู้ศึกถวายชีวิต จะขอเป็นปีศาจในหมู่ปีศาจที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดอีกแล้ว
ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้นทว่าซาตานาเกียก็กลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกไม่มั่นคงที่แปลกประหลาดนี้ทำให้เขาทรมานใจนัก
ราวกับภายในอกมันกลวงโบ๋ขาดบางสิ่งบางอย่างไป ราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญ และความรู้สึกเปราะบางประหนึ่งทำสมบัติล้ำค่าหล่นหายก็ทำให้ปีศาจหนุ่มอดประหลาดใจไม่ได้ พร้อมด้วยความหวาดหวั่นที่พุ่งเข้าจู่โจมจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
..เป็นไปไม่ได้.. เขากำลังคิดถึงเด็กคนนั้น
แม้ว่าผลแห่งพันธะสัญญาจะสิ้นสุดไปแล้วน่ะหรือ..
สิ่งที่ได้รับรู้นั้นทำให้ซาตานาเกียตกใจนัก และเมื่อคำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวเสียจนเขาไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ กายดำสนิทก็ผุดลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยนัยน์ตาที่ทอประกายจ้า ขณะที่ความกังวลซึ่งหาได้ยากยิ่งก่อกำเนิดขึ้นในอกแล้วแผดเผาก้อนเนื้อที่ยังคงเต้นอยู่ในนั้นให้เจ็บปวดทรมานดุจเพลิงร้อนระอุ
น่าขัน.. ที่เวลานี้เขากระวนกระวายอยากจะรู้เหลือเกินกว่าชิเอล แฟนธอมไฮฟ์จะเป็นอย่างไร เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เด็กคนนั้นก็ไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้
ทั้งยังถูกส่งตัวไปที่ไหนเขาก็ไม่อาจรู้ เมื่อปราศจากพันธะสัญญาแล้วซาตานาเกียก็ไม่อาจล่วงรู้อะไรเกี่ยวกับอดีตนายของตนเองได้เลย แล้วจะทำอย่างไรดี...
ขืนรอช้ากว่านี้นายน้อย..
ไม่
ขืนรอช้ากว่านี้ชิเอล
แฟนธอมไฮฟ์คงไม่แคล้วตกเป็นเหยื่อของผู้ที่ต้องการครอบครองน้ำตาฟินิกซ์เป็นแน่
“พรูฟลัส ..บาร์บาโดส ..แอสทารอท”
ซาตานาเกียเอ่ยนามแม่ทัพปีศาจทั้งสามที่ขึ้นตรงกับตน และทันทีที่สิ้นเสียงกลุ่มควันดำทะมึนสามกลุ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ปีศาจหนุ่มยืนนิ่งพลางเฝ้ามองหมอกควันเหล่านั้นค่อยๆ
ม้วนตัวเข้าหากันแล้วก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างช้าๆ และเมื่อมันจางหายไปในที่สุดที่ตรงนั้นก็ปรากฏร่างของนายทัพปีศาจจำนวนทั้งสิ้นสามตนด้วยกัน ปีศาจซึ่งถูกเรียกตัวมาต่างก็หุบปีกแนบลำตัวแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งพลางแตะกำปั้นขวาเข้ากับแผ่นอกเบื้องซ้ายของตนเอง ก่อนจะค้อมศีรษะคารวะผู้เป็นนาย
“มิได้พบกันเสียนาน
ท่านซาตานาเกีย”
“มีธุระอันใดให้พวกข้ารับใช้หรือ
..นายท่าน”
..นั่นสิ..
เขาควรจะทำอย่างที่คิดจริงๆ น่ะหรือ
บางทีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจน้อยตนนั้นอีกอาจนำพาหายนะมาสู่ตนเองก็เป็นได้..
หากซาตานาเกียไม่สน
“ข้ามีงานให้พวกเจ้าทำ”
ในฐานะมือขวาของจอมมาร
ในเวลานี้น้ำเสียงที่ผ่านพ้นคมเขี้ยวคู่หน้าและริมฝีปากสีดำสนิทออกมามิใช่เสียงทุ้มนุ่มหูเพื่อให้ใครบางคนฟังแล้วรู้สึกดีอีกต่อไป หากแต่เป็นสุ้มเสียงที่แท้จริงซึ่งทั้งแหบห้าวและดังกระหึ่มจนทำให้ตำหนักทั้งหลังสั่นสะเทือน และมันน่าขนลุกขนพองมากพอๆ กับน่าเกรงขามเสียจนส่งผลให้นายทัพทั้งสามรีบก้มศีรษะลงจนแทบจะติดพื้นด้วยความยำเกรง
“ชีวิตของข้าเป็นของนายท่าน ..โปรดบัญชามาเถอะ”
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าตามหาเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์คนล่าสุดให้พบ จงพาสมุนของเจ้าออกไป.. แล้วค้นหาให้ละเอียดทุกซอกมุม ให้ทั่วทั้งสามโลกเต็มไปด้วยพลพรรคของพวกเรา ต่อให้ต้องพลิกผืนดินหรือแม้จะต้องทำยิ่งกว่านั้นก็ต้องหาตัวเด็กคนนั้นให้พบก่อนคนอื่น”
“รับทราบขอรับ.. ท่านซาตานาเกีย
ตัวข้ารวมทั้งทัพปีศาจที่อยู่ใต้อาณัติทั้งยี่สิบหกกองพันจะออกปฏิบัติการเดี๋ยวนี้” พรูฟลัส
เจ้าของเรือนกายดำทะมึนซึ่งเต็มไปด้วยริ้วแดงเล็กๆ พาดผ่านเป็นลายขวางตลอดทั้งตัวค้อมศีรษะอีกครั้งก่อนจะสลายร่างไป ขณะที่ปีศาจกายสีเขียวเข้มอีกตนหนึ่งยืดตัวขึ้นยืนตรง
“เช่นนั้นข้า.. บาร์บาโดส พร้อมด้วยกำลังพลอีกสามสิบกองพันจะนำตัวเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์กลับมามอบให้ท่านเอง”
“ไม่ต้อง.. กระจายคำสั่งของข้าออกไป กำชับทุกกองพันว่าอย่าให้ใครแตะต้องเด็กคนนั้นเป็นอันขาด
เพียงหาตัวให้พบแล้วรีบแจ้งให้ข้ารู้เท่านั้นพอ”
“ขอรับ.. นายท่าน” บาร์บาโดสรับคำก่อนจะจากไป
“ข้าขอบังอาจถาม
ว่านายท่านคิดจะจบชีวิตนิรันดร์งั้นหรือ..”
แอสทารอทถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อผู้เป็นนายปรายหางตามอง นายทัพหนุ่มตนสุดท้ายรีบค้อมศีรษะลง “ข้าขออภัย.. ”
“ช่างเถอะ..
นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้
ไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
จบคำร่างสีแดงสดก็สลายกลายเป็นหมอกควัน
ซาตานาเกียอาจยังไม่รู้..
ว่าเมื่อหาพบแล้วจะทำอย่างไรกับเด็กคนนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจและรู้ดี เขาไม่ต้องการเห็นอดีตเจ้านายตัวน้อยซึ่งตนเคยทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องดูแลต้องตกเป็นสมบัติของใคร
.......................................................
ท่ามกลางความมืด.. ชิเอล แฟนธอมไฮฟ์กระชับผืนผ้าเก่าขาดซึ่งเคยเป็นเสื้อใส่นอนให้แนบลำตัวขณะที่ซุกร่างอยู่หลังภูเขาหินพลางถูฝ่ามือเล็กทั้งคู่ไปมาเพื่อให้เกิดไออุ่น หนุ่มน้อยไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน หลังจากที่ได้สติขึ้นมาท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่รอบกายไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากความมืดอันเงียบงัน กับภูเขาหินน้อยใหญ่ที่ทอดตัวเรียงรายสลับซับซ้อนอยู่รอบทิศราวกับทางวงกตนี่แล้วเขาก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
แต่กระนั้นชิเอลก็ยังรู้สึกโล่งอกเมื่อพบว่าตนยังไม่ถูกบรรดาผู้หมายปองน้ำตาฟินิกซ์พบเข้า
ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเวลามานั่งขบคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นแน่
เมื่อสติคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์หนุ่มน้อยก็พลันได้ตระหนักว่าบัดนี้พันธะสัญญาระหว่างตนกับพ่อบ้าน..
ซึ่งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยอยู่ห่างตัวได้จบสิ้นลงแล้ว ชิเอลยังคงจำได้ดีถึงความเจ็บปวดยามที่สัญลักษณ์ในดวงตาข้างขวาถูกทำลาย
เขารีบยกมือขึ้นลูบคลำบริเวณตาขวาก่อนจะพบว่ามันยังคงปกติดีทุกอย่าง แล้วจึงลองปิดตาข้างซ้ายและใช้ตาขวาเพียงข้างเดียวมองไปรอบๆ
เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งสองตา ..เอาละ..
จบไปหนึ่งเรื่อง ที่นี้..
วงแขนเล็กๆ เผลอกระชับรอบตนเองแน่นอย่างลืมตัว เมื่อได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของความเดียวดายเป็นครั้งแรกในชีวิต เวลานี้เขาไม่มีพ่อบ้านที่ชื่อเซบาสเตียน มิคาเอลลิสให้เรียกหาอีกแล้ว ไม่มีตัวหมาก ไม่มีดาบและโล่เอาไว้ให้ใช้งานอีกต่อไป ..แต่มันก็เท่านั้นแหละ การขาดคนรับใช้ไปคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ทว่าชิเอลกลับกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด แล้วพยายามบังคับตนเองให้สงบจิตใจทั้งที่รู้ดีว่าภายในกำลังปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แขนเล็กบางทั้งสองข้างเหยียดตรงพลางกำมือแน่นอยู่ข้างลำตัว เขาไม่ต้องการจะแสดงความอ่อนแอ ..ต่อให้ต้องตายก็ไม่มีวัน เพราะแน่ใจว่าหมอนั่นจะต้องนึกดูถูก.. ถ้าได้รู้ว่าเมื่ออยู่ตัวคนเดียวแล้วเขาก็แทบไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกอ่อนแอที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ทว่าถึงอย่างนั้น.. ถึงอย่างนั้นร่างกายเล็กๆของเขาก็ยังไม่ยอมหยุดสั่น
“หยุด.. หยุดสิ
ปัดโธ่! ”
ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใดหรือแม้ว่าหัวใจจะแกร่งกล้าสักแค่ไหน ทว่าร่างกายน้อยๆ
ที่ยังบอบบางและไม่เติบใหญ่เต็มที่กลับกำลังสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้ชิเอล แฟนธอมไฮฟ์ต้องกระทำในสิ่งที่ตนไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
มือน้อยกำแน่นแล้วซัดเข้ากับภูเขาหินตรงหน้าอย่างสุดแรงเกิดเพื่อเรียกสติให้กับตนเองหนึ่งหมัดเต็มๆ ศีรษะที่ปวดระบมเพราะความเครียดสะสมแหงนหงายไปเบื้องหลังแล้วตะโกนก้องอย่างปวดร้าว
“ก็บอกให้หยุดไง! หยุดสั่นสักที!!”
เสียงกู่ร้องด้วยความสิ้นหวังสะท้อนก้องไปมาอยู่ในวงกตหินครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมด้วยเสียงหอบสะท้าน และสิ่งที่ตอบกลับมาก็มีเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมกับไอเย็นยะเยือกที่ไม่แปรเปลี่ยนเท่านั้น ทว่าก็ทำให้เขารู้สึกสงบลงบ้างเล็กน้อย ความเงียบวังเวงกลับคืนมาในที่สุด ปีศาจหนุ่มน้อยไม่แยแสอาการปวดตุบๆ
กับกำปั้นข้างที่เลือดโชก ชิเอลลุกขึ้นยืนพร้อมกับรวบรวมสติ.. และบอกตนเองว่าเขาจะไม่ยอมจบสิ้นอยู่เพียงแค่นี้หรอก เพราะหากเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ
โดยไม่ทำอะไรแล้วล่ะก็
ของอย่างนั้นซากศพก็ทำได้เหมือนกัน
เขาไม่รู้ว่าถ้าได้พบกันอีกครั้ง
หมอนั่น.. เซบาสเตียนจะมีทีท่ายังไง จะยังคงเห็นเขาเป็นเจ้านาย เป็นมิตร
หรือจะเมินเฉยไม่สนใจกันแน่ ถึงแม้จะไม่เข้าขั้นมองเห็นเขาเป็นศัตรูแต่เจ้านั่นก็อาจจะตีปีกดีใจที่ได้เป็นอิสระก็เป็นได้ และเขาควรจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้เสียที เพราะเรื่องที่ควรจะคิดมากที่สุดในตอนนี้คือ ..ตนเองจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรต่างหาก
ชิเอลเดินลัดเลาะพยายามเสาะหาทางออกไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้โดยอาศัยเพียงความสามารถในการมองเห็นในความมืดซึ่งติดตัวมาตั้งแต่กลายเป็นปีศาจ ขณะที่หูทั้งสองตั้งใจฟังเสียงแม้เพียงเล็กน้อยและจมูกคอยรับกลิ่นที่ผิดปกติพร้อมด้วยความระแวดระวังที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็คิดวางแผนการคร่าวๆ ไว้ในใจด้วย และเป็นอีกครั้งที่ภาพคฤหาสน์แฟนธอมไฮฟ์ยามใกล้อัสดงปรากฏขึ้นในความทรงจำ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านมาเนิ่นนานนักนับจากครั้งหลังสุดที่ตนเดินลงบันไดหน้าคฤหาสน์มาขึ้นรถม้าเพื่อหนีไปจากวิถีแห่งความเป็นมนุษย์ต่อหน้าคนเหล่านั้น เวลานี้ภาพใบหน้าที่อาบน้ำตาของคนรับใช้ทั้งสาม
เมลิน
ฟินนี่ และบาร์ด
รวมทั้งสีหน้าเรียบเฉยที่ซุกซ่อนความเศร้าโศกไว้ในใจของพ่อบ้านชราอย่างทานากะบีบเค้นหัวใจเขามากกว่าครั้งไหนๆ
ทั้งสิ้น ทั้งที่ในเวลานั้นเขาเคยคิดว่าความทรงจำที่ผ่านมาไม่มีราคาค่างวดอะไร ทว่าตอนนี้เพิ่งได้รู้ ว่าแท้จริงแล้วเขาคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ
เหล่านั้นเหลือเกิน
และยิ่งรู้ดีกว่านั้น
..บางสิ่งบางอย่างที่สูญเสียไปแล้วไม่อาจหวนคืนกลับมา
แต่ขณะที่ภาพแห่งความหลังทอประกายงดงามอยู่ในห้วงความคิด ชิเอลกลับพบว่าตนเองเจอเข้ากับสิ่งที่ไม่ควรเจอเสียแล้ว ปีศาจหนุ่มน้อยยืนตัวแข็งทื่อเมื่อมาปะทะเข้ากับอสูรกายฝูงหนึ่งระยะกระชั้นชิด พวกมันมีจำนวนประมาณเจ็ดหรือแปด และดูไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่เขาเคยเห็นมาก่อนเลย แน่นอนว่าดุร้าย น่าเกลียดน่ากลัว
และมีเขี้ยวยาวคมเรียงเป็นแถวในปากที่ดูเหมือนอ้ากว้างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคงจะมีไว้เพื่อขย้ำอะไรก็ตามที่พวกมันเล็งเห็นว่ากินได้ และโดยไม่ต้องคิดทบทวนซ้ำสอง.. พริบตานั้นเขาก็จัดแจงกระโจนขึ้นไปบนเนินที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วปีนป่ายสูงขึ้นไปอย่างว่องไวจนไม่น่าเชื่อ
ขณะที่ฟันคู่หน้าของเจ้าตัวใหญ่ที่สุดในฝูงอยู่ห่างจากก้นเขาไปเพียงคืบเดียวพร้อมด้วยเสียงคำรามต่ำๆ
น่าขนลุก
กว่าจะรู้ตัว และกว่าที่ขวัญซึ่งกระเจิดกระเจิงจะกลับมาอีกครั้ง ชิเอลก็พบว่าตนเองเกาะแน่นอยู่บนชะง่อนหินสูงลิบเสียแล้ว หนุ่มน้อยหอบแฮ่กพร้อมด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อที่ได้รู้ว่าตนเองมีความสามารถทำอะไรแบบนี้ได้
ชิเอลถอนหายใจเฮือกยามที่มองลงไปเบื้องล่าง
แน่นอนว่าเขาไม่เคยเป็นโรคกลัวความสูงมาก่อนแน่ๆ ดังนั้นไอ้ที่ทำให้เขารู้สึกเสียวสยองเป็นที่สุดในตอนนี้ก็คือฝูงตัวประหลาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกสนใจเขานั่นแหละ
สาบานได้ว่าเขายังไม่หายตกใจจากเสียงฟันที่งับเฉียดก้นไปเมื่อครู่นี้เลย
ปีศาจหนุ่มน้อยไม่มีทางเลือกนอกจากปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
พร้อมด้วยความสงสัย
..เมื่อไหร่จะถึงยอดเขาเสียทีนะ..
ถ้าหากว่าตอนนี้เขายังเป็นมนุษย์อยู่ล่ะก็คงไม่วายร่วงลงไปเป็นของว่างให้เจ้าพวกข้างล่างนั่นแล้ว แต่ถ้าหากเวลานี้ยังเป็นมนุษย์อยู่เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นกระมัง และเซบาสเตียนก็คงจะไม่.. ชิเอลสะบัดศีรษะอย่างแรง พลางลบล้างความคิดคำนึงไม่เข้าเรื่องออกไปจากสมอง แล้วมองตรงไปข้างหน้าและคิดถึงแต่เพียงจุดสูงสุดบนยอดเขา
ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะขึ้นไปให้ถึงแม้ว่ามือทั้งสองจะเริ่มชาจนหมดความรู้สึก ..เเต่เขาเป็นปีศาจนี่นะ แค่มือชานิดหน่อยจะเป็นไรไป
ดังนั้นเขาไม่คิดจะหยุดพักด้วยเรื่องแค่นี้หรอก บางทีสิ่งที่รออยู่บนยอดเขาอาจเป็นทางออกไปจากโลกบ้าๆ
นี้ก็ได้ เขาอาจได้กลับบ้าน หรือไม่ก็ตื่นจากความฝันวิปริตนี่เสียที
ทว่าเสียงอะไรบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้ชิเอลชะงักอยู่กลางทางพร้อมด้วยความรู้สึกไม่สู้ดี
ถึงแม้จะยังห่างไกลนักทว่านั่นฟังดูคล้ายเสียงกระพือปีก และไม่ได้มาเพียงหนึ่งหรือสองเสียด้วย.. ดังนั้นหนุ่มน้อยยังไม่มีโชคมากพอที่จะได้พบประตูหรือทางออกอะไรทั้งสิ้น เขายังไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดเขาอย่างที่ตั้งใจไว้ และก็ยังไม่ได้กลับบ้าน.. เมื่อจู่ๆ ก็ได้พบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกกลุ่มใหญ่ เทวดาฝูงหนึ่งบินโฉบเข้ามาใกล้เพราะเห็นเขาเข้าแล้ว หนึ่งในนั้นคว้าตัวเขาขึ้นมาขณะที่องค์อื่นๆ
พากันส่งเสียงเฮลั่นอย่างดีอกดีใจ และนั่นทำให้เขารู้สึกหัวเสียเป็นที่สุด
“อ้าว.. น้ำตาฟินิกซ์ยังเป็นเด็กน้อยน่ารักอยู่เลยนี่นา”
“ปล่อยนะ!”
ทันทีที่ได้ตัวเขาทูตสวรรค์ทั้งกลุ่มก็กางปีกร่อนออกไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งขนปีกสีขาวและอาภรณ์ขาวสะอาดบนร่างของทั้งหมดตัดกับบรรยากาศขมุกขมัวและความสกปรกมอมแมมของเขาอย่างเห็นได้ชัด
หนุ่มน้อยไม่รู้หรอกว่าตนเองจะมีชะตากรรมอย่างไรต่อไป หรือว่าจะถูกพาไปที่ไหนอีก อันที่จริงเขาไม่สนด้วยซ้ำไป ..เวลานี้ชิเอลสนใจเพียงแค่ต้องการให้เจ้าพวกนี้ปล่อยตัวเขาเท่านั้น ปีศาจตัวน้อยทั้งเตะ ต่อย
และดึงทึ้งเส้นผมยาวสีทองของผู้ที่จับตนเป็นเชลย ทว่าทูตสวรรค์องค์นี้ก็ดูเหมือนจะมีความอดทนเป็นเลิศและคงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพาตัวเขากลับไปฉลองมื้อค่ำด้วยกัน ทั้งๆ ที่ถูกทุบถองสารพัดวิธีแต่ก็ยังรัดเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ขณะที่ปีกขาวบริสุทธิ์คู่ใหญ่อีกหลายคู่กระพือลมแรงเสียจนทำให้เศษผ้าสีมอซอที่ติดกายเขาอยู่แทบจะปลิวหายไปเลยทีเดียว
“นะ.. หนาว..”
“ไม่เป็นไรนะ ข้าจะทำให้เจ้าอุ่นขึ้นเอง”
“เจ้าจะเก็บตัวเขาไว้ไม่ได้หรอก
เราต้องพาเขากลับไปพบพระบิดานะ”
ทูตสวรรค์องค์อื่นๆ พูดเตือนสติ
ขณะที่ชิเอลทำหน้ายุ่งพร้อมด้วยลางสังหรณ์ในทางที่ไม่ดีนักผุดขึ้นในสมอง
..อะไรนะ..
อีกแล้วหรือ..
ถ้าฟังจากที่เจ้าพวกนี้คุยกัน
ดูท่าทางความซวยถัดไปของเขาคงจะเป็น ‘จอมเทพ’ สินะ
และเมื่อภาพราชันย์แห่งปีศาจผู้งดงามแต่จิตไม่ปกติปรากฏขึ้นในใจชิเอลก็ดิ้นรนสุดชีวิต
แค่ไอ้บ้านั่นคนเดียวก็เกินพอแล้ว ..เขาไม่อยากจะเจอผู้ยิ่งใหญ่ที่สติวิปลาสเพิ่มขึ้นอีกคนหรอก พอที!
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนั้นหรอกนะเด็กน้อย
เพราะคนที่มีอำนาจทำเช่นนั้นได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เทพสาวองค์หนึ่งส่ายหน้าพลางบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ชิเอลไม่เคยนึกศรัทธาในพวกที่มีปีกบินได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งกว่านั้น.. ท่าทางซึ่งดูเหมือนสงสารเห็นใจอย่างนี้กลับจะทำให้เขารู้สึก
‘ของขึ้น’ มากกว่า
“ถ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่เรื่องของตัวเอง แล้วใครจะมี!
น่ารำคาญที่สุด ..ไปให้พ้นนะ!!”
พริบตานั้นหนุ่มน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง วินาทีหนึ่งเขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวขณะเดียวกันในหัวเห็นเพียงแสงสีฟ้าสว่างจ้า พร้อมๆ กับได้ยินเสียงร้องอุทานด้วยความตระหนกผสมผสานไปกับเสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด แล้วเขาก็ถูกปล่อยให้ร่วงลงพื้นในวินาทีต่อมา
จากความสูงลิบลิ่วกลางอากาศ ร่างเล็กๆ
ในสภาพเปลือยเกลี้ยงเกลาตกลงมากระแทกพื้นเต็มแรง
ทว่าชิเอล
แฟนธอมไฮฟ์ยังไม่มีเวลาเต็มตื้นกับความเจ็บปวดที่ได้รับ ยังไม่ทันได้ตระหนักถึงความจริงใดๆ ทั้งสิ้นลูกดอกเงินดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าปักที่อกเบื้องซ้ายเยื้องตำแหน่งหัวใจไปเพียงนิดเดียว ส่งผลให้หนุ่มน้อยสะดุ้งเฮือกแล้วร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“ไอ้ปีศาจสารเลว! ยอมอ่อนให้เพราะเห็นว่ายังเด็กอยู่แท้ๆ
คิดไม่ถึงว่าจะมีเขี้ยวเล็บร้ายกาจถึงเพียงนี้ ข้าจะสังหารเจ้าเสีย..”
“หยุดนะ! ..จะบ้าหรือไง
ลืมไปแล้วหรือว่าพระบิดาต้องการตัวเด็กคนนี้และได้กำชับให้เราพาตัวกลับไปทั้งที่ยังมีลมหายใจ”
ชิเอลข่มกลั้นความเจ็บปวดแล้วมองขึ้นไปข้างบน แม้หนุ่มน้อยจะยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของความสับสนอลหม่านของเทวดากลุ่มนั้น ที่ทุกองค์ต่างก็พากันห้ามปรามพลางยึดแขนยึดขาเทวดาองค์ที่จับตัวเขาไว้เมื่อครู่มิให้ยิงหน้าไม้ปลิดชีพลงมาเป็นดอกที่สอง
ขณะที่เจ้าตัวอยู่ในอารมณ์เดือดพล่านพร้อมด้วยใบหน้าที่เสียโฉมไปแถบหนึ่ง ..นั่นเป็นฝีมือเขางั้นหรือ
..ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าจะเริ่มตื่นแล้วสินะ ไม่เลวนี่..
นาทีนั้นชิเอลเพิ่งจะเข้าใจคำพูดของซาตานเป็นครั้งแรก พลังปีศาจในตัวเขาคงเริ่มที่จะเติบกล้าแล้ว.. ถึงแม้จะยังไม่รู้วิธีควบคุมมันทว่าผลงานเมื่อครู่ก็ดูจะใช้ได้ดีทีเดียว และถ้าเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็..
หนุ่มน้อยออกวิ่งสุดกำลังเมื่อตระหนักถึงอันตรายที่เพิ่มมากขึ้น เพราะพลังอำนาจนี้เอง ที่ทำให้จอมมารกริ่งเกรงในตัวเขาจนหากไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้ก็ต้องเลือกทิ้งขว้างเสียให้ไกลตา และสำหรับเทวดากลุ่มนี้แล้วมันคงเป็นเสมือนคำเชิญชวนชั้นเยี่ยมที่เขียนไว้กลางหน้าผากเขาว่า
..ฆ่าฉันสิ.. ฉันคือตัวอันตราย~ นั่นแหละ
เขาแทบจะมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เลยทีเดียวว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“อย่าหนีนะ!”
ชิเอลไม่สนใจเสียงที่ตะโกนไล่หลังมา
เขายังคงวิ่งฝ่าความมืดตรงไปข้างหน้าแม้ว่าจะไม่เหลืออะไรติดกายเลยสักชิ้น
เพราะขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวคิดถึงเรื่องพวกนั้น ยิ่งกว่านั้นการที่หลุดพ้นมาจากวงกตหินที่สลับซับซ้อนได้โดยบังเอิญก็ทำให้ชิเอลเกิดความหวัง ดังนั้นเขาจะไม่ยอมถูกจับอีกหรอก.. ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้าเขาก็จะลุยฝ่าออกไปให้ได้
ปีศาจหนุ่มน้อยกัดฟันแน่นเมื่อรู้สึกว่าโอกาสรอดของตนกำลังน้อยลงทุกที กลุ่มทูตสวรรค์ที่ตามติดไม่ลดละกำลังจะถึงตัวเขาอยู่ในอีกไม่กี่วินาทีแล้ว แต่เขายังไม่ยอมแพ้.. ไม่มีวัน
แม้ว่าบาดแผลที่อกข้างซ้ายจะปวดระบมยามที่ออกแรงวิ่งเต็มที่ แต่ชิเอลไม่สนใจ
..เมื่อเวลานี้เซบาสเตียนไม่ได้มาอยู่คอยช่วยเหลืออีกต่อไปแล้วเขาก็จำเป็นที่จะต้องยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้
ทว่าเสียงปีกใหญ่หลายคู่ที่กระพือลมใกล้เข้ามาพร้อมด้วยกระแสลมที่ทวีความแรงขึ้นทุกขณะจิตนั้นราวกับจะตอกย้ำซ้ำเติมถึงชะตากรรมที่ต้องตกเป็นเหยื่ออยู่ร่ำไป เป็นการบอกให้รู้ว่าพวกมันมาแล้ว และเขาหนีไปไหนไม่รอด..
ต้นแขนข้างหนึ่งถูกพวกนั้นคว้าเอาไว้ได้ในที่สุด พริบตานั้นชิเอลตั้งใจจะหันกลับไปสู้ตายด้วยอะไรก็ตามตนที่มีอยู่
ขณะเดียวกับที่หนึ่งในนั้นกรีดร้องเสียงหลงพร้อมด้วยม้วนฟิล์มแห่งชีวิตที่พรั่งพรูออกมาจากร่างกาย
เลื่อยไฟฟ้าสีแดงสดที่กำลังส่งเสียงคำรามกระหึ่มอันหนึ่งพุ่งเข้าใส่และกรีดเปิดหน้าท้องผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นเป็นแผลยาวพร้อมด้วยเสียงหัวเราะอย่างเริงร่าเกินกว่าเหตุของเจ้าของ เกรล
แซตคลิฟสะบัดคมเลื่อยในมือให้ดื่มเลือดทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งขณะที่หันมามองหนุ่มน้อยแล้วทำสีหน้าเบื่อหน่าย
“ต๊ายยย อะไรกัน..
แล้วเซบาสจังไปไหนเสียล่ะ
ชั้นอุตส่าห์ตามกลิ่นเธอมาเพราะคิดว่าจะได้เจอกับสุดที่รักนะเนี่ย
อย่างนี้มันก็น่าเบื่อแย่น่ะสิ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น