ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวลาง เงาร่างสูงโปร่งในชุดราตรีสีดำล้วนของบุรุษอีกคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา เขามีท่วงท่าของนักล่าที่ดูไม่อนาทรร้อนใจราวกับตนเองมีเวลาอยู่ในโลกนี้ชั่วนิรันดร์ เสียงส้นรองเท้าที่กระทบกับพื้นหินอ่อนสะท้อนก้องไปทั่วนั้นพาให้ใจหาย ยิ่งเมื่อรู้สึกว่าท่านเซอร์ผู้นี้ดูเหมือนจะรู้จักกับโซเซเป็นอย่างดีแล้วก็ชวนให้ชิเอลคิดว่าคนๆนี้อาจไม่ใช่มนุษย์ก็เป็นได้
“อะไร.. แค่นี้ก็ต้องโมโหกันด้วยหรือ”
ท่านเซอร์โอลิเวอร์ยังคงถามเนิบๆอย่างไม่ใส่ใจ ร่างเพรียวสมส่วนที่สูงไล่เลี่ยกับโซเซเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขามีรูปหน้าคมสันกับคิ้วเรียวยาวที่เฉียงขึ้นราวกับปีกกาซึ่งตัดกันกับผิวสีงาช้าง เกศาดำขลับซึ่งยาวเกือบถึงสะโพกซึ่งรวบเป็นทรงหางม้าอย่างเรียบง่ายไว้ด้านหลังด้วยเชือกหนังเส้นบาง ทิ้งปอยผมสองสามปอยให้ล้อมกรอบใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ขณะที่นัยน์ตาสีทองเปล่งประกายเจิดจ้านั้นสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกท่าทีที่มั่นใจในตนเองอย่างล้นเหลือ ซึ่งต่างไปจากตอนที่เขาแนะนำตนเองอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวในงานเต้นรำอย่างลิบลับ และมันทำให้เด็กหนุ่มอดนึกถึงยมทูตผมแดงขึ้นมาไม่ได้
“ช่างเสแสร้งได้เก่งนักนะ”
“มิได้ มิได้..” โอลิเวอร์หัวเราะเบาๆขณะที่ยักไหล่
“ผมก็เพียงแค่ไม่อยากจะเข้ามาขัดจังหวะช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มของพวกคุณเท่านั้นเอง ไม่ได้จะมีเจตนาทำหูทวนลมอะไรหรอก”
“ชะ.. ใช่ที่ไหนกันเล่า!! ฉันน่ะ..”
ชิเอลอ้าปากพูดได้เพียงเท่านั้นก็ถูกพ่อบ้านจำเป็นเอามือตะปบไว้อีกรอบ และราวกับเป็นตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง.. โซเซจับร่างเล็กเหวี่ยงขึ้นพาดบ่าอย่างไม่สนใจใยดีกับความเดือดดาลและการดิ้นรนอาละวาดของเด็กหนุ่ม แล้วหันกายจะกลับเข้าไปข้างใน
“นายเปลี่ยนไปมากนะเพื่อน ตั้งแต่เลิกพกเดธไซด์เดินไปเดินมาวันๆก็มัวแต่ขลุกอยู่กับซากศพคนตาย
มาตอนนี้เริ่มเกิดความสนใจในตัวเด็กผู้ชายแล้วหรือไง”
“ใครบอกนายวะไอ้หมาแก่..
นี่น่ะมันเป็นเรื่องงานต่างหาก” องครักษ์หนุ่มชำเลืองมองท่านเอิร์ลน้อยซึ่งกำลังระดมทุบแผ่นหลังเขาอย่างเอาเป็นเอาตายแวบหนึ่งก่อนจะวกกลับมาเข้าเรื่อง
“เราไม่ได้เจอกันตั้งสามร้อยปี
แทนที่จะได้ไปดื่มกันสักรอบแต่ฉันกลับมีเรื่องให้นายช่วยจัดการเสียนี่ โทษทีนะ
โอลิเวอร์
แต่นายก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ฉันต้องการคืออะไรดังนั้นจะไม่พูดมากล่ะนะ..
ไปเอาหัวเคาท์นั่นพร้อมทั้งกุญแจโกดังมาให้ที”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกเพื่อน ฉันเองก็ยังไม่ได้รับปากสักหน่อยว่าจะช่วย
เพราะถึงยังไงเจ้านั่นก็เป็นเพื่อนฉันเหมือนกัน”
คำตอบที่ฟังดูราวกับไม่ใยดีนั้นมิได้ทำให้อดีตยมทูตอย่างโซเซชักสีหน้า ทว่าประกายตาคมปลาบที่จ้องตรงไปยังเพื่อนเก่านั้นบอกให้รู้ว่าไม่ได้ล้อเล่น
“อ้อ.. งั้นนายก็คิดจะลืมมิตรภาพตลอดหลายร้อยปีระหว่างเรา แล้วไปกระดิกหางตามก้นไอ้ขุนนางฝรั่งเศสปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้นสินะ”
“พูดซะเสียเลยนะแกนี่..”
โอลิเวอร์ยกมือขึ้นเกาจมูกแล้วทำทีเป็นถอนหายใจ พร้อมกันนั้น.. กระบี่สีเงินวาววับก็ปรากฏขึ้นในมือข้างขวา
ขณะที่นัยน์ตาสีทองเปลี่ยนเป็นสีอำพันเข้ม
“ฉันไม่สนหรอกว่านายจะมีเรื่องเดือดร้อนอะไร แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้ยืดเส้นยืดสายกันมาพักใหญ่แล้ว
และถึงจะเป็นเพื่อนเก่าก็ไม่มีข้อยกเว้นให้หรอกนะ ยอมทำตามเงื่อนไขเสียดีๆเถอะน่าโซเซ
นายรู้ดีนี่.. ว่าถ้าต้องการความช่วยเหลือจากฉันนายก็ต้อง..”
“สังเวยด้วยเลือดสินะ”
โซเซหัวเราะเบาๆในลำคอพร้อมด้วยอาวุธคู่ใจที่ปรากฏขึ้นเช่นกัน พ่อบ้านจำเป็นวางร่างผู้เป็นนายลงบนพื้นระเบียงอย่างนุ่มนวล มือใหญ่อีกข้างที่ยังว่างอยู่ไล้เบาๆไปบนแก้มเนียน ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ริมหูให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น
“หลบให้ดีๆนะครับ
มายเลดี้
แล้วทำตัวเป็นเด็กดีว่าง่ายด้วยล่ะ
เพราะจากจุดนี้ไปไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์อย่างคุณจะเข้ามายุ่งได้”
“เจ้านั่นมันเป็นใครกัน” ชิเอล แฟนธอมไฮฟ์ยังไม่ยอมกลับเข้าไปข้างใน หากยังคงยืนนิ่งพลางจ้องเซอร์โอลิเวอร์ซึ่งกำลังหมุนกระบี่ในมือเล่นอยู่โดยไม่ละสายตา
“เขาคือนายหน้าแห่งความตายของพวกปีศาจ สำหรับมนุษย์ก็คงเทียบได้กับมือสังหารอะไรทำนองนั้น
แต่สำหรับเจ้าหมอนี่มันไม่ใช่แค่นั้น.. ไม่มีเรื่องใดในจักรวาลนี้ที่เขาทำไม่ได้”
โซเซพยุงเด็กหนุ่มให้เลี่ยงเข้าไปยังทางเดินด้านในคฤหาสน์
“เพียงแต่..
สิ่งที่เขาจะรับเป็นค่าจ้างนั้นไม่ใช่เงิน แต่เป็นเลือด”
“เลือดของใคร..”
ไม่มีคำตอบจากองครักษ์ผมสีเงิน
โซเซยืดกายขึ้นพลางถอดถุงมือทั้งสองข้างออกแล้วก้าวออกไปที่ระเบียงอีกครั้งพร้อมด้วยเดธไซด์.. เคียวมรณะซึ่งเคยอยู่ติดกายไม่ห่างอย่างน้อยก็ตลอดห้าร้อยปีที่ทำหน้าที่เป็นยมทูต
“แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
โอลิเวอร์”
อดีตผู้เก็บเกี่ยววิญญาณตวัดอาวุธคู่ใจขึ้นสูงแล้วกวัดแกว่งเป็นวงกลมเหนือศีรษะ เสียงใบมีดโค้งคมกริบที่ยาวไม่น้อยกว่าสองฟุตแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงนั้นฟังดูน่าพรั่นพรึงนัก
เห็นได้ชัดว่าโซเซมิได้มีความคิดที่จะทำตามความต้องการของอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว และโอลิเวอร์เองก็รู้ดี.. ตั้งแต่วินาทีที่เพื่อนเก่าเรียกหาเดธไซด์แล้ว
“เฮ้ๆ..
ไอ้เฒ่านิสัยเสีย แกคิดจะโกงแม้กระทั่งเพื่อนฝูงรึนี่”
“แล้วใครกัน
ที่คิดจะเอาเครื่องสังเวยแม้กระทั่งกับเพื่อนกับฝูง
ถ้าอยากได้นักก็เข้ามาเอาไปเอง
แต่อย่าคิดนะว่าจะง่าย”
“ปัดโธ่!
ก็เรารู้ๆกันอยู่แล้วว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆนี่นะ อีกอย่างฉันก็หิวท้องกิ่วมาตั้งสองศตวรรษแล้วด้วย”
นายหน้าแห่งความตายเลิกบ่นได้ในที่สุด ยามที่ต้องเบี่ยงศีรษะหลบคมเคียวโค้งที่ตวัดเข้ามาเฉี่ยวใบหน้าไปนิดเดียว
โอลิเวอร์สบถถ้อยคำหยาบคายขณะที่ยกแขนขึ้นปาดเลือดออกจากแก้มซ้ายแล้วยกกระบี่ในมือขึ้นรับการโจมตีครั้งที่สองและสาม
เสียงโลหะกระทบกันดังบาดแก้วหูยามที่ใบมีดยาวโค้งและคมกระบี่ปะทะกันเต็มแรง
“หยุดเห่าไปเลยไอ้หมาแก่
ใครๆเค้าก็รู้กันทั้งนั้นว่าทนหิวแค่สองสามร้อยปีมันไม่ถึงตายหรอก
แต่ถ้าแค่นี้แกทำเพื่อเพื่อนไม่ได้ก็เชิญไสหัวไปตายซะ” โซเซจบคำพร้อมกับหยุดการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามด้วยมือซ้าย ส่งผลให้เอิร์ลแห่งแฟนธอมไฮฟ์ต้องเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ
…เจ้านี่ ..แกร่งกว่าที่คิด...
“อาวุธสองมือที่มีน้ำหนักมากขนาดนั้นก็ยังกวัดแกว่งได้สบายๆด้วยมือเพียงข้างเดียวงั้นหรือ ดูเหมือนนายจะยังไม่ยอมแก่ง่ายๆเลยสินะ โซเซ
ถ้างั้นก็เข้ามาเลย.. ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ มาต่อสู้ให้รู้เรื่องกันไปข้าง!”
“เออ!
..แล้วนายจะต้องเสียใจที่บังอาจมาลูบคมท่านโซเซผู้นี้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น