8/03/2555

Another Portray 4







คามิวข่มกลั้นความอับอายแล้วโถมกายเข้ารั้งแขนอีกฝ่ายไว้แน่นและความจริงจังในน้ำเสียงดูเหมือนจะส่งไปถึงเมื่อครั้งนี้โจรสลัดหนุ่มยอมนิ่งฟังแต่โดยดี    คาร์เดียสูดหายใจเข้าพลางหลับตาลงแล้วพยายามรวบรวมสมาธิ   ขณะที่หนุ่มน้อยยังไม่อาจเข้าใจถึงท่าทีซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน

“ถ้าคุณยืนยันเช่นนั้นงั้นเรามาเริ่มกันใหม่อีกรอบ”   คาร์เดียยังคงนั่งหลับตานิ่งแล้วผ่อนลมหายใจยาว   

“เวลานี้ผมจะไม่มองคุณ    ผมจะลบภาพของคุณที่อยู่ในความคิดทั้งหมดทิ้งไปเพื่อที่จะได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ   
ทีนี้บอกผม..  ว่าจริงๆแล้วคุณเป็นใครมาจากไหน    หากคุณมั่นใจในตนเองมากพอว่ามิใช่ท่านหญิงเดเจลก็ต้องทำให้ผมเชื่อเช่นนั้นด้วย” 

คามิวดูจะเกิดความเข้าใจอย่างคร่าวๆจากคำพูดของชายหนุ่ม    เขาพอจะเดาได้ว่าอาณาจักรแห่งนี้คงเป็นสถานที่ซึ่งพลังแห่งความเชื่อมั่นและศรัทธาทรงอำนาจมหาศาล    แรงปรารถนาที่มุ่งมั่นไร้ซึ่งความลังเลนี้คงจะเป็นเครื่องผลักดันให้เกิดปาฏิหาริย์ที่เกินกว่าจะใครคาดคิด    เช่นเดียวกับเจ้าฮอร์ค  นกเหยี่ยวซึ่งสูญสลายกลายเป็นควันเพียงเพราะเป็นความต้องการของเจ้าของ     และด้วยเหตุที่ใครต่อใครบนเรือลำนี้เข้าใจว่าตนเป็นสตรี   สรีระต่างๆจึงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของคนเหล่านั้น   และในทางตรงกันข้าม...  เด็กหนุ่มตั้งสมาธิพลางระลึกถึงตัวตนที่แท้จริงว่าเขาคือใคร..  และมีหน้าที่อะไร  

“ข้าคือโกลเซนต์อควอเรียส   หนึ่งในบรรดาสิบสองขุนพลแห่งแซงทัวรี่    ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากเทพีอาเทน่าให้พิทักษ์ปราการด่านที่สิบเอ็ดของนครศักดิสิทธิ์   ..ที่ซึ่งข้าจากมา

ข้าคือเซนต์ผู้มีหน้าที่สังหารศัตรูที่บุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้าม    และมือทั้งสองของข้าจะดับลมหายใจของใครก็ตามที่กล้าพอจะประสงค์ร้ายต่อองค์เทพี    ..นี่คือตัวตนที่แท้จริงของคามิวผู้นี้    ข้าเสียใจ..  ที่ข้าไม่ใช่สตรีที่ท่านคนึงหา” คามิวจบคำพร้อมด้วยหัวใจที่เต้นระรัว

...ยามเมื่อคิดว่าคนๆนี้จะผิดหวังสักเพียงใดเมื่อพบว่าตนมิใช่สตรีที่พึงใจ    และภาพลักษณ์ของนักรบผู้แข็งแกร่งจะส่งผลให้เขารังเกียจตนรึไม่    เพียงแต่คิดก็กลัวเสียแล้ว...


โกลเซนต์อควอเรียสกลั้นหายใจพลางกัดริมฝีปากแน่นอย่างลืมตัวขณะที่ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้น  

วินาทีแห่งการรอคอยนั้นเนิ่นนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด    ประหนึ่งเวลาจะหยุดเดิน..   นัยน์ตาสีเทากระจ่างใสดุจฟ้าไร้เมฆหมอกจ้องตรงมายังตนนิ่งนาน    ปราศจากวาจา    คามิวรู้สึกปวดร้าวพลางคาดว่าจะได้เห็นความผิดหวังปรากฏในแววตาของคาร์เดียทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นอะไรไป..  เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้    ทว่าหนุ่มน้อยกลับไม่มีเวลาสำหรับการหาคำตอบเมื่อต้องรับมือกับอารมณ์อันวูบวาบซึ่งเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน   ยามที่มือใหญ่แข็งแรงเอื้อมมาสัมผัสเปลือกตา   จมูก   ริมฝีปากและลำคอ  

คาร์เดียยังคงมองและมองรูปลักษณ์ใหม่ที่ปรากฏต่อสายตาอย่างพินิจพิเคราะห์   ..เรือนกายที่นั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าตนนี้ยังคงอ่อนเยาว์และดูเปราะบางนัก   เสื้อตัวใหญ่ซึ่งแบะอ้าอยู่เผยให้เห็นถึงสรีระแบบบุรุษเพศก็จริง    แต่ถึงแม้จะเป็นเด็กหนุ่มทว่าผิวกายนั้นกลับขาวนวลเนียนราวอิสตรี    ใบหน้ารูปไข่ซึ่งล้อมกรอบด้วยเรือนผมยาวสีฟ้าครามดุจน้ำทะเล   รับกันกับสีนัยน์ตาซึ่งปรากฏความกระวนกระวายระริกไหวอยู่ภายใน   จมูกและริมฝีปากงดงามได้รูปเปรียบดังส่วนประกอบที่ลงตัวไร้ที่ติจนเขารู้สึกอดใจไม่ไหวที่จะลองยื่นมือเข้าไปสัมผัสดูเพื่อให้แน่ใจว่ามีตัวตนอยู่จริง    คาร์เดียได้แต่ตำหนิตนเอง...   เขาควรจะสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้มานานแล้วหากยอมเปิดหัวใจแล้วรับฟังตั้งแต่แรก    ทว่าชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเหตุใดอาคันตุกะแปลกหน้าซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกับคู่หมั้นของเขาจึงมีอำนาจดึงดูดรุนแรงปานนี้     

ไม่เพียงแค่รูปโฉมเปลือกนอก..   หากความงดงามที่แท้จริงกลับอยู่ลึกลงไปภายใน    เขาสัมผัสซึ้งถึงหัวใจที่แกร่งกล้าเกินตัว..  ทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน    และมันก็ทำให้คาร์เดียได้หวนคิดถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน    หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าโต้แย้งเขาแม้แต่คำเดียว    ด้วยภาพลักษณ์ของจอมสลัดผู้เหี้ยมโหดไร้ปรานีที่ปล้นและเผาเรือสินค้าของศัตรูมานักต่อนัก   ส่งผลให้ชื่อเสียงในทางเสียๆหายๆนั้นลือกระฉ่อนไปไกลพอๆกับอีกโฉมหน้าหนึ่งของเขา..   วีรกรรมและชื่อเสียงของผู้บัญชาการกองเรือรบราชนาวีที่ขึ้นตรงต่อเจ้าผู้ครองแคว้นอิตาลีเองเป็นที่ครั่นคร้ามไม่น้อยไปกว่ากัน    เมื่อใดที่ผืนธวัชแห่งราชนาวีโบกสะบัดอยู่บนยอดเสาแทนที่สัญลักษณ์หัวกะโหลกไขว้    เมื่อนั้นจะเป็นเวลาอกสั่นขวัญแขวนอย่างแท้จริงของศัตรูด้วยจะไม่มีเรือลำใดรอดพ้นจากเงื้อมือไปได้    แต่แล้วเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้กลับกล้าเถียง..   ยิ่งกว่านั้นถึงกับกล้าตบหน้าเขา


...จริงอยู่ว่าทั้งสองต่างก็งดงามเหมือนกัน    ทว่าก็ไม่เหมือนกัน...

ภายใต้ความเหมือนยังคงมีความเเตกต่าง  

มาบัดนี้จึงได้ตระหนัก..  


“น่าเสียดายนัก” 

คามิวรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบเค้น    เพียงถ้อยคำสั้นๆประโยคเดียวทว่าส่งผลรุนแรงดุจสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจ   เมื่อมันแสดงอย่างออกชัดเจนถึงความผิดหวัง   เป็นดังที่คาดไว้จริงๆ    โกลเซนต์หนุ่มน้อยสูดหายใจลึกแล้วผละจากสัมผัสอ่อนโยนของชายหนุ่มเพราะรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์จะคาดหวังอันใดในเมื่อผู้ซึ่งคาร์เดียถวิลหามิใช่ตนมาตั้งแต่แรกแล้ว   ซ้ำร้ายที่นี่ยังมิใช่ที่ทางสำหรับเขาและความฝันไร้สาระนี่ก็ควรยุติเสียที  

“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าท่านเชื่อข้าแล้ว”   น่าแปลกนักที่เวลานี้เขากลับไม่ดีใจ... 

“และข้าเดาว่าต่อไปนี้ข้าคงสามารถขึ้นไปเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือได้อย่างอิสระแล้วกระมัง”  โดยไม่แยแสสายตาที่เฝ้ามองอยู่   คามิวรีบกลัดกระดุมเสื้อเปียกโชกเข้าหากันอย่างรวดเร็วพลางกัดริมฝีปากแน่นแล้วภาวนาขออย่าให้มือสั่นด้วยไม่ต้องการจะเปิดเผยความอ่อนแอมากไปกว่านี้อีกแล้ว    ทว่าคาร์เดียกลับเกาะกุมมือเย็นเฉียบไว้แน่นส่งผลให้หนุ่มน้อยต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“สวมเสื้อเปียกๆเดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี”   ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มพลางดึงคามิวเข้ามากอด  “และไม่ว่ายังไงผมก็ยังคงปฏิเสธเรื่องการเดินเล่นบนดาดฟ้า    เพราะผมไม่ต้องการจะทนเห็นใครจ้องมองคุณทั้งนั้น” 

“แต่..”   หนุ่มน้อยขมวดคิ้วอย่างงุนงง   ก็คนๆนี้ควรจะรู้แล้วมิใช่หรือว่าตนไม่ใช่...

“ไม่มีแต่!!   ให้ตายเถอะ..  คามิว   ผมคิดว่าผมแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วนะว่าตกหลุมรักคุณ!    และผมไม่เคยนึกรังเกียจเลยสักนิดว่าคุณจะมีร่างกายเป็นเช่นไร”  คาร์เดียย้ำเสียงแข็งพลางแตะปลายคางคามิวให้เงยหน้าขึ้นสบตา    สีหน้ากระด้างดุดันพลันอ่อนลงทันทีเมื่อได้เห็นแววตาที่กำลังจ้องมองตน  

“คุณคงจะไม่เชื่อ..   ว่าสิ่งที่ทำให้ผมหลงรักคุณมิใช่เพียงแค่รูปกาย    หากแต่เป็นเพราะคุณมีพลังแห่งชีวิตที่เปี่ยมล้นและเจิดจ้าที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา    ประกอบกับยามที่ได้เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้แล้วคุณยิ่งเด่นชัดและดูมีเสน่ห์มากเหลือเกิน   คุณมีจิตวิญญาณที่ทั้งแข็งแกร่งและงามสง่าในขณะเดียวกัน   อีกทั้งเจิดจรัสเสียจนทำให้ผมไม่อาจละสายตาได้เลย  

คามิว..  คุณจะรู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าเพียงแค่คุณปรากฏกายขึ้นบนเรือของผมก็ทำให้ชีวิตผมมันสับสนปั่นป่วนไปหมดแล้ว    ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสามารถปลุกปั่นให้ผมคลั่งได้เหมือนที่คุณทำ   ไม่เคยมีใครกล้าเถียง  ..คำพูดของผมคือประกาศิตเสมอมา   แต่แล้วคุณ..” 

ชายหนุ่มชะงักเพียงครู่หนึ่งเพื่อที่จะจ้องมองใบหน้างามให้เต็มตาพลางยิ้มขันเมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายถึงกับอ้าปากค้าง   คาร์เดียปอกเปลื้องเสื้อผ้าเปียกชุ่มออกจากร่างในอ้อมแขนแล้วแทนที่ด้วยผ้าห่มผืนหนา   ฝ่ามือใหญ่บรรจงเช็ดเรือนผมให้อย่างเบามือขณะที่คามิวได้แต่นิ่งงันอย่างทำอะไรไม่ถูก

“คุณไม่เพียงแต่กล้าโต้แย้ง   แต่ยังทำในสิ่งซึ่งแม้แต่กลาสีที่กล้าหาญที่สุดบนเรือลำนี้ก็ยังไม่คิดจะทำ  
และถึงแม้จะเป็นแค่เพียงไม่กี่วันที่ได้อยู่กับคุณแต่ก็ทำให้ผมได้รู้ว่ามันสายเสียแล้วที่จะปล่อยคุณไป   คามิว..   เวลานี้ผมไม่อาจปล่อยมือจากคุณได้อีกแล้ว”      


...นี่มันอะไรกัน....
เป็นไปได้หรือที่คนๆนี้จะหลงรักตนได้ถึงเพียงนั้น   ทั้งที่ตนมิใช่สตรี   ทั้งที่เขาเองก็มีคู่รักที่รอจะวิวาห์ด้วย...  

หรือจะเป็นการเล่นตลกอันใดอีก..


“ย..  อย่ามาล้อเล่นนะ!   นี่มันไม่ตลกเลยสักนิด   ข้าไม่ใช่..”  


นาทีนั้นอารมณ์ขุ่นมัวและถ้อยคำทั้งมวลมีอันถูกกลืนหายลงไปในลำคอ   คามิวถึงกับหายใจไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายกระชับอ้อมแขนแน่นแล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้นรับจุมพิต   คาร์เดียประคองศีรษะเด็กหนุ่มไว้เพื่อมิให้สะบัดหนีแล้วลิ้มชิมรสหวานมิรู้เบื่อ   ชายหนุ่มต้องสะกดอารมณ์รุนแรงของตนเองไว้ภายในด้วยไม่ต้องการจะทำให้เกิดความเจ็บปวด   ถึงแม้ว่าความดื้อดึงของคามิวสมควรจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสมก็ตาม

“ทำไมถึงดื้ออย่างนี้นะ!!”  หนุ่มน้อยได้แต่กระพริบตาปริบๆกับวาจาตำหนิ    ภายใต้ลมหายใจที่ขาดห้วงของทั้งคู่    นัยน์ตาสีเทาเข้มจ้องมองราวกับจะทะลุทะลวงไปถึงแก่นกลางใจ   สะกดทุกอณูในเรือนกายให้ชะงันงันได้ประหนึ่งสายตาพยัคฆ์ร้าย   และเขาเป็นเพียงเหยื่ออันโอชะ  ..เหยื่อเนื้อนุ่มรสหวานที่ไร้ทางขัดขืน

“ทั้งๆที่มองตาคุณแวบเดียวผมก็เห็นทะลุปรุโปร่งหมดแล้วแท้ๆว่าคุณรู้สึกกับผมอย่างไร   จะต้องให้ผมทำยังไงคุณจึงจะยอมเข้าใจว่าผมรักคุณ!   ไม่คิดบ้างหรือว่าการที่ฮอร์คนำคุณมาที่นี่ก็เพื่อให้เราได้พบกัน”  คาร์เดียนึกอยากจะจับคนหัวดื้อเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนนักเผื่อว่าคำพูดเปิดอกนี้จะแทรกซึมสู่สมองได้บ้าง  

“แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องแต่งงาน    ดังนั้นนี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะเอ่ยคำรักออกมา   และคู่หมั้นของท่าน..  ท่านหญิงเดเจลตัวจริงน่ะคงกำลังรอท่านอยู่แน่ๆ” โกลเซนต์อควอเรียสไม่ปล่อยใจให้หลงไปกับการเกลี้ยกล่อม   ด้วยยังสำนึกอยู่เสมอว่าตนไม่อาจตอบรับข้อเรียกร้องของอีกฝ่ายได้  

“ผมคงยังไม่ได้บอกคุณ..   เหตุที่กองเรือทั้งหมดของผมลอยลำอยู่กลางทะเลวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ก็เพื่อรอเวลา   ผมได้รับคำสั่งให้เข้าโจมตีเมืองท่าสำคัญของศัตรู   และเมื่อสัญญาณมาถึง..   สัญลักษณ์ของโจรสลัดจะถูกปลดลงแล้วแทนที่ด้วยธงราชนาวี    ลูกเรือทั้งหมดบนเรือลำนี้จะสลัดคราบกลาสีสกปรกทิ้งแล้วแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศอย่างพร้อมรบ

เมื่อถึงเวลานั้นผมจะไม่มีสิทธิ์คิดถึงเรื่องหัวใจและภารกิจต่อบ้านเมืองต้องมาก่อน    ผมไม่อาจรู้..  ท่านหญิงเดเจลซึ่งเป็นบุตรีของเจ้าผู้ครองเมืองท่านั้นจะสิ้นชีวิตไปพร้อมกับผู้คนในเมือง   จะกลายเป็นเชลยศึกที่จะถูกส่งไปขายเป็นทาสหรือนำไปปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรก็ได้   หรือจะมาเป็นเจ้าสาวของผมที่จะอยู่ครองคู่กันไปชั่วชีวิต    หากนางยอมเอาใจออกห่างจากบิดาแล้วมาร่วมกับเราก็คงดี   แต่ถ้าไม่..”  คาร์เดียพลันชักสีหน้าเหี้ยมเกรียมยามที่เอ่ยถึงสงคราม   

“ ก็คงมีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่จะบอกได้    ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะหวังอะไรทั้งสิ้นและไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมีโอกาสมอบความรักให้ใครหรือเปล่า    พลังแห่งความคิดของผมเพียงคนเดียวไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะเชื่อว่าทุกสิ่งจะจบลงด้วยดี    ผมอาจตาย..   อุทิศร่างกายนี้เป็นอาหารปลาในทะเลรึไม่ก็ถูกคมหอกคมดาบเสียบทะลุ   แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติของพวกเรา”


“ไม่!”  

อึดใจนั้นคาร์เดียถึงกับตะลึงงันเมื่อเด็กหนุ่มโผเข้ากอด    ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงวงแขนสั่นสะท้านที่โอบแน่นอยู่รอบลำคอก่อนจะถอนหายใจ   เขาไม่ควรเล่าเรื่องงานให้คามิวฟังเลย    รังแต่จะทำให้หวาดกลัวเสียเปล่าๆ   

“ไม่ต้องกลัว..   ก่อนที่จะถึงเวลานั้นผมจะหาทางส่งคุณกลับไปโลกเดิม    จงลืมเรื่องพวกนี้เสียเพราะมันไม่เกี่ยว..”     

“ข้ามิได้กลัวการทำศึก..   แต่กลัวที่จะต้องเสียท่านไป” นัยน์ตาสีครามเปิดเปลือยความรู้สึกทั้งหมดออกมา   วินาทีนี้คามิวปรารถนาจะให้ตนเองเชื่อเหลือเกินว่าคนๆนี้จะต้องปลอดภัย   หากดินแดนแห่งนี้ตอบสนองต่อพลังแห่งความศรัทธาแล้วล่ะก็..   เขาก็จะขอทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อมัน  

“ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านรอด    ข้าจะไม่ยอมเห็นท่านตายอย่างแน่นอน”

คำพูดหนักแน่นมั่นคงที่ประกาศชัดถึงความรู้สึกนึกคิดทำให้คาร์เดียยิ้มได้   ชายหนุ่มดันร่างคามิวออกห่างแล้วยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกใบหน้างามออกพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ซื่อตรงพลางได้ตระหนักว่านี่คือผู้ที่เป็นดังลมหายใจตน    เมื่อได้พบกันแล้วเขาไม่ก็คิดเสียดายเลยหากชีวิตจะแตกดับไปในสงครามครั้งนี้

“ถ้างั้นหลับตาสิ..”  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น