…เวลาหยุดลง
เมื่อสองใจประสานกันเป็นหนึ่ง...
แม้จะแตกต่างกันเพียงใด แม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นสักเพียงไหน หากเวลานี้สองกายร่วมผสานเป็นหนึ่งเดียว
สองคนตัดสินใจจะร่วมทางกันไปแม้ว่าจะมาจากคนละโลก แต่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ตราบใดที่มีอ้อมแขนนี้เกาะกอดแนบชิดก็จะไม่ร้องขอสิ่งใดอีก
ตราบใดที่หัวใจนี้ยังคงเต้นเพื่อหัวใจอีกดวง
ตราบใดที่ลมหายใจยังคงเป่ารดใบหน้าให้ผ่าวร้อน
และไออุ่นจากเรือนกายที่แนบชิดกันยังมิจางหาย เขาก็พร้อมรับ..
แม้ว่าสวรรค์จะถล่มทลายลงมาทับก็ตาม
...อย่าทิ้งข้าไป...
คามิวภาวนาจากหัวใจให้ตนเองได้อยู่เคียงข้างคนผู้นี้ นึกอยากให้ตนเองได้หมั้นหมาย..
ได้มีโอกาสให้กำเนิดสายเลือดที่น่าภาคภูมิใจ
ชีวิตน้อยๆซึ่งจะเป็นส่วนผสมกลมกลืนระหว่างเขา.. กับผู้ที่เขารักยิ่งกว่าชีวิต แม้จะรู้ดีว่าเป็นการขอที่เกินตัวไปมาก ทว่ากับสถานที่นี้แล้ว.. อะไรๆก็เกิดขึ้นได้มิใช่หรือ
มือเรียวบางลูบไล้เกศาสีน้ำเงินเข้มของคนที่นอนเคียงข้างอย่างใจลอย
พลางนึกอิจฉาคาร์เดียผู้หลับใหลที่ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกกังวลสารพัดเช่นตน
เด็กหนุ่มถอนใจ..
ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงละสายตาไปจากดวงหน้าคมคายที่ซบอยู่บนหมอนหนุนมิได้ เรือนกายแกร่งเยี่ยงชายชาตรีของคาร์เดียมิได้สะอาดเกลี้ยงเกลาเช่นเดียวกับเขา
ผิวสีน้ำผึ้งของจอมสลัดหนุ่มเต็มไปด้วยริ้วรอยจากการต่อสู้
และในยามที่ชายหนุ่มตะแคงร่างเข้าหาเช่นนี้ยิ่งเผยให้เห็นรอยแผลเป็นจางๆที่ลากยาวจากสีข้างลงไปจนเกือบถึงหน้าท้องซึ่งน่าจะรุนแรงถึงชีวิต ..แต่กระนั้นพวกมันก็ช่างงดงามนัก
“ทั้งที่มีแต่รอยแผลเต็มตัวเช่นนี้เหตุใดจึงยังหยิ่งทระนงนักนะ”
ปลายนิ้วยาวลากไล้ไปตามรอยแผลนั้นอย่างอ้อยอิ่ง จวบจนกระทั่งรู้สึกถึงอาการพลิกตัวของอีกฝ่าย
“ขอโทษด้วย..
ข้าทำท่านตื่นหรือเปล่า”
ท่อนแขนแข็งแรงตวัดรวบเซนต์อควอเรียสเข้าไปกอดทันทีที่รู้สึกตัวตื่น
คาร์เดียก้มลงสูดกลิ่นกายจากร่างนุ่มนิ่มในวงแขนแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า
“ทั้งหมดของผมเป็นของคุณแล้ว
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก
แต่ผมได้ยินสิ่งที่คุณถาม
..จะบอกให้ก็ได้
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากสมรภูมิก็คือ.. ไม่มีสงครามใดที่จะไม่มีผู้บาดเจ็บ ทุกสงครามย่อมต้องมีเหยื่อเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมถึงยัง..”
“ผมเป็นทหาร.. คามิว”
ชายหนุ่มตัดบท
“ผมต้องทำหน้าที่ของผมเช่นเดียวกับที่เซนต์อย่างคุณต้องกำจัดผู้บุกรุก สำหรับผม..
กลางสนามรบนั่นคือบ้านซึ่งคุ้นเคยและปรารถนาที่จะสิ้นลมหายใจ”
คาร์เดียพลิกร่างหนุ่มน้อยให้หันมาสบตา ทว่าประกายพราวระยับในดวงตาของชายหนุ่มมิอาจกลบฝังความกลัวที่จะสูญเสียได้เลยแม้แต่น้อย
คามิวเบี่ยงกายออกจากอ้อมแขนก่อนจะพลิกร่างลงจากเตียง
...ถ้าเช่นนั้นสวรรค์ให้เราได้พบกันเพื่ออะไร...
............................................................
ถึงแม้เวลาจะหยุดลง
ทว่ามิได้หมายความว่าทุกสิ่งรอบตัวจะหยุดชะงักตาม
เมื่อวิญญาณทั้งสองดวงโคจรมาพบกัน
ก็ย่อมมีเวลาที่ต้องพลัดพราก
ในที่สุดคามิวก็เข้าใจถ่องแท้
เขาได้พบกับคาร์เดีย..
ก็เพื่อพลัดพราก
เมื่อในที่สุดคำสั่งให้ ‘ประจัญบาล ’ก็มาถึง
เสียงแตรรบดังโหยหวนไปทั่วท้องน้ำขณะที่ผ้าพื้นดำและลายหัวกะโหลกไขว้ถูกปลดลงจากยอดเสาแล้วแทนที่ด้วยผืนธวัชแห่งราชนาวี
สัญลักษณ์รูปแมงป่องทองบนผืนผ้าสีแดงสดดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆยามที่ธงโบกสะบัดไปตามแรงลม
เหล่าลูกเรือและกลาสีซึ่งรอเวลาอยู่นานต่างก็ไชโยโห่ร้องอย่างยินดีที่จะได้รบ
ต่างคนต่างกุลีกุจอสลัดเสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่งทิ้งแล้วแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ บ้างก็ตระเตรียมอาวุธคู่มือ บ้างก็ส่งข่าวบอกเรือลำอื่นต่อกันไปเป็นทอดๆ
ทว่าสำหรับคามิวแล้วมันคือฝันร้าย
ในที่สุดกองเรือโจรสลัดซึ่งลอยลำอยู่เหนือน่านน้ำก็พลันเปลี่ยนเป็นกองเรือรบติดอาวุธเต็มพิกัด เมื่อสัญลักษณ์บนยอดเสากระโดงถูกแทนที่ด้วยธงสีแดงเหมือนกันหมดทุกลำ
และกัปตันเรือหลวงในชุดเครื่องแบบเต็มยศ..
ผู้เปรียบเสมือนลมหายใจตนก็กำลังจะ...
“ไม่ต้องกลัว..
ผมจะปกป้องคุณด้วยชีวิต”
นั่นคือคำที่ท่านแม่ทัพบอกกับคามิวก่อนจะรวบร่างเข้าไปกอดแล้วมอบจุมพิตหนักหน่วงให้
มือใหญ่คลุมเสื้อลูกไม้ลงบนศีรษะคนรักก่อนจะหันไปรับมือกับศัตรูที่ปีนขึ้นมาบนเรือ
ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นสัมผัสริมฝีปากตนเองซึ่งยังคงร้อนผะผ่าวด้วยรสจูบ เขามิได้หวั่นเกรง..
แม้ในยามที่ได้เห็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญบั่นศีรษะข้าศึกหลุดกระเด็นจากบ่า
เลือดสาดกระจายราวกับห่าฝนขณะที่ศีรษะนั้นหล่นกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมด้วยดวงตาเหลือกถลนออกมานอกเบ้า กลิ่นคาวโลหิตที่ไหลนองไปทั่วก็ยังมิอาจทำให้หัวใจเขาหยุดเต้นได้เท่ากับความกลัวที่จะต้องสูญเสียคนรักไป
คามิวกระชับเสื้อลูกไม้แน่นขณะที่คมดาบวาววับในมือขวาของคาร์เดียยกขึ้นรับการโจมตีจากศัตรูอีกสองคนขณะที่มือซ้ายคว้าข้อมือตนไว้แล้วดึงมาแอบข้างหลัง ใช้ร่างที่ใหญ่กว่าเป็นเครื่องกำบังคนรักให้ปลอดภัย
...ข้าจะไว้ใจท่านทุกลมหายใจ
จะเชื่อมั่นและศรัทธาในทุกคำที่ท่านบอกข้า
หากสิ่งเดียวที่ข้ากลัวก็คือการไม่ได้เห็นหน้าท่านอีกครั้ง…
แต่แล้วจู่ๆเปลวเพลิงร้อนระอุก็โหมกระหน่ำไปทั่วลำเรือตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้องจากด้านท้ายเรือ
และพริบตานั้นเรือทั้งลำก็สะท้านอย่างรุนแรง
เมื่อแรงกระแทกที่ราวกับจะฉีกมันออกเป็นเสี่ยงๆนั้นทำให้ถึงกับเสียการทรงตัว
“ช่วยเรือหลวงดับไฟ!!
ช่วยเรือหลวงดับไฟ!!”
คาร์เดียไม่สนใจเสียงตะโกนโหวกเหวก
ชายหนุ่มตะโกนสั่งการพร้อมกับตวัดดาบฟันร่างข้าศึกจนขาดสองท่อน
วงแขนกว้างกางโอบรอบร่างคนรักเพื่อปกป้องจากเศษซากความเสียหายที่ปลิวว่อนไปทั่วพลางประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น
“คลังแสงของเราคงถูกปืนใหญ่ข้าศึกเข้าแล้ว แบบนี้เห็นทีจะไม่ได้การ..”
มือใหญ่คว้าเอวหนุ่มน้อยเข้ามาแล้วกอดกระชับก่อนจะลากลงบันไดไปยังส่วนล่างของลำเรือ ขณะเดียวกัน..
ดาบในมือยังคงกวัดแกว่งสังหารศัตรูที่ไล่ตามจนล้มกลิ้งระเนระนาด
แม่ทัพหนุ่มเตะซากศพที่กองทับถมออกไปให้พ้นทางแล้วพาคามิวลงไปยังห้องเก็บของใต้ท้องเรือ ...พื้นที่สุดท้ายที่ยังไม่ถูกเผา ก่อนจะตะโกนเรียกเพื่อนคู่ใจ
“ฮอร์ค!!”
นกเหยี่ยวปรากฏร่างขึ้นจากละอองหมอกสีเงินซึ่งม้วนตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
ขนปีกสีเงินยังคงเป็นประกายเงางามยามที่ฮอร์คโผนเข้ามาเกาะบ่าเจ้าของ ทว่าคาร์เดียมิได้สนใจมัน เมื่อเวลานี้ดวงหน้าอันงดงามนี้ต่างหากที่เขาหวังจะให้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
ชายหนุ่มประคองคามิวไว้ในวงแขนพลางจดจำทุกรายละเอียด ทุกอารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตา ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอยต่อกัน
ก่อนจะประทับรอยรักรอยอาลัยลงบนเรียวปากที่สั่นระริก
คามิวเบิกตาค้างเมื่อหยาดโลหิตจากร่างสูงหยดลงบนใบหน้าตน
...นี่ท่าน....
“ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว..
ผมรักคุณ..
และจะรักตลอดไป
ได้โปรดจดจำไว้
ว่าวิญญาณผมจะคอยติดตามคุณเสมอ”
...ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม....
“ฮอร์ค!
..พาคามิวหนีไป”
...ลาก่อน ลมหายใจของผม....
คาร์เดียจำต้องปล่อยมือจากคนรักแล้วหันหลังจากไป
ด้วยตระหนักดีว่าหน้าที่ต้องมาก่อนและเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกพ้อง
มือข้างที่ถืออาวุธอยู่กำกระชับแน่นขณะที่กรามขบเป็นสัน
หากพวกมันต้องการจะเปิดฉากละเลงเลือดนักเขาก็จะบันดาลให้ตามนั้น เมื่อเวลานี้หมดห่วงเรื่องคามิวแล้ว เขา..
คาร์เดียผู้นี้จะเปลี่ยนทะเลแถบนี้ให้กลายเป็นสมรภูมิเลือดให้พวกมันกลายเป็นเศษซากอาหารปลาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
คามิวแทบไม่มีโอกาสได้โต้แย้ง
เรียวแขนยาวพยายามไขว่คว้าคนรักด้วยยังไม่พร้อมจะแยกจากกัน ทว่าร่างงามกลับทำได้เพียงแค่ดิ้นรนขณะที่ถูกฮอร์คลากไปยังประตูห้องเก็บของที่จู่ๆก็เปิดอ้าออกราวกับจะเชิญชวน
กรงเล็บแหลมคมของเหยี่ยวลึกลับตัวนั้นจิกแน่นอยู่กับต้นแขนพร้อมด้วยพละกำลังมหาศาลเกินตัวที่สามารถลากอะไรก็ตามที่ใหญ่และน้ำหนักมากกว่าตัวมันเองได้อย่างง่ายดาย และแล้วเขาก็ได้พบว่าเป็นอีกครั้ง.. ที่เบื้องหลังบานประตูไม่มีพื้นห้อง
คามิวร่วงลงสู่ความมืดเบื้องล่าง
พร้อมๆกับฮอร์คซึ่งบินวนอยู่รอบตัวมิยอมห่างราวกับจะได้รับคำสั่งจากเจ้าของให้พาไปส่งให้ถึงที่หมาย และบัดนั้นเองเขาก็ได้เข้าใจ... น้ำเสียงอ่อนโยนที่เฝ้าปลุกปลอบมิให้หวาดกลัว
และสายลมที่โอบล้อมอยู่รอบกายในวันที่ตนเดินทางข้ามผ่านห้วงเวลาที่บิดเบี้ยวนั้นก็คือเสียงของคาร์เดียนั่นเอง
“ไม่นะ.. คาร์เดีย!
ข้ายังมิได้บอกท่านเลย
ว่าข้ารักท่าน!!”
...โปรดจดจำไว้
วิญญาณผมจะคอยติดตามคุณเสมอ…
จำไว้....
หนุ่มน้อยกระแทกกำปั้นเข้ากับเสาหินเต็มแรง คามิวอยากจะคิดว่าตนเองสติฟั่นเฟือนไป.. รึไม่เรื่องทั้งหมดก็เป็นเพียงฝัน ทว่าชุดลูกไม้ในมือเขามาจากไหนกัน.. หากมิใช่สิ่งที่คนๆนั้นมอบให้ก่อนลาจาก นัยน์ตาสีครามทอดมองออกไปยังทิวทัศน์ที่คุ้นตา
เสียงจากลานประลองและกลิ่นอายของความเงียบเชียบ
ตลอดจนเสียงหวีดหวิวของสายลมตอกย้ำให้ตระหนักชัดว่าที่นี่คือแซงทัวรี่ ดินแดนแห่งเทพเจ้า มิใช่บนเรือซึ่งลอยลำอยู่กลางทะเลแต่อย่างใด
และทั้งๆที่ความจริงปรากฏเช่นนั้น
ทว่าเหตุใดในหูเขาจึงยังคงแว่วเสียงกระซิบกระซาบอยู่
น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังแผ่วๆมาตามสายลม ดุจดังคำสัญญา.. ดังคำสาบานว่าจะได้พบกันอีก
...วิญญาณผมจะคอยติดตามคุณเสมอ
ได้โปรดจำไว้....
~End~
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น