8/03/2555

Another Portray 5







เวลาหยุดลง    เมื่อสองใจประสานกันเป็นหนึ่ง...

แม้จะแตกต่างกันเพียงใด   แม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นสักเพียงไหน    หากเวลานี้สองกายร่วมผสานเป็นหนึ่งเดียว   สองคนตัดสินใจจะร่วมทางกันไปแม้ว่าจะมาจากคนละโลก   แต่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว  

ตราบใดที่มีอ้อมแขนนี้เกาะกอดแนบชิดก็จะไม่ร้องขอสิ่งใดอีก  
ตราบใดที่หัวใจนี้ยังคงเต้นเพื่อหัวใจอีกดวง   ตราบใดที่ลมหายใจยังคงเป่ารดใบหน้าให้ผ่าวร้อน   และไออุ่นจากเรือนกายที่แนบชิดกันยังมิจางหาย   เขาก็พร้อมรับ..  

แม้ว่าสวรรค์จะถล่มทลายลงมาทับก็ตาม




...อย่าทิ้งข้าไป...

คามิวภาวนาจากหัวใจให้ตนเองได้อยู่เคียงข้างคนผู้นี้     นึกอยากให้ตนเองได้หมั้นหมาย..  ได้มีโอกาสให้กำเนิดสายเลือดที่น่าภาคภูมิใจ   ชีวิตน้อยๆซึ่งจะเป็นส่วนผสมกลมกลืนระหว่างเขา..  กับผู้ที่เขารักยิ่งกว่าชีวิต   แม้จะรู้ดีว่าเป็นการขอที่เกินตัวไปมาก    ทว่ากับสถานที่นี้แล้ว..  อะไรๆก็เกิดขึ้นได้มิใช่หรือ  

มือเรียวบางลูบไล้เกศาสีน้ำเงินเข้มของคนที่นอนเคียงข้างอย่างใจลอย   พลางนึกอิจฉาคาร์เดียผู้หลับใหลที่ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกกังวลสารพัดเช่นตน    เด็กหนุ่มถอนใจ..  ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงละสายตาไปจากดวงหน้าคมคายที่ซบอยู่บนหมอนหนุนมิได้   เรือนกายแกร่งเยี่ยงชายชาตรีของคาร์เดียมิได้สะอาดเกลี้ยงเกลาเช่นเดียวกับเขา   ผิวสีน้ำผึ้งของจอมสลัดหนุ่มเต็มไปด้วยริ้วรอยจากการต่อสู้   และในยามที่ชายหนุ่มตะแคงร่างเข้าหาเช่นนี้ยิ่งเผยให้เห็นรอยแผลเป็นจางๆที่ลากยาวจากสีข้างลงไปจนเกือบถึงหน้าท้องซึ่งน่าจะรุนแรงถึงชีวิต  ..แต่กระนั้นพวกมันก็ช่างงดงามนัก  

“ทั้งที่มีแต่รอยแผลเต็มตัวเช่นนี้เหตุใดจึงยังหยิ่งทระนงนักนะ”   ปลายนิ้วยาวลากไล้ไปตามรอยแผลนั้นอย่างอ้อยอิ่ง   จวบจนกระทั่งรู้สึกถึงอาการพลิกตัวของอีกฝ่าย

“ขอโทษด้วย..  ข้าทำท่านตื่นหรือเปล่า”

ท่อนแขนแข็งแรงตวัดรวบเซนต์อควอเรียสเข้าไปกอดทันทีที่รู้สึกตัวตื่น   คาร์เดียก้มลงสูดกลิ่นกายจากร่างนุ่มนิ่มในวงแขนแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า

“ทั้งหมดของผมเป็นของคุณแล้ว    ดังนั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก
แต่ผมได้ยินสิ่งที่คุณถาม   ..จะบอกให้ก็ได้    สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากสมรภูมิก็คือ..   ไม่มีสงครามใดที่จะไม่มีผู้บาดเจ็บ    ทุกสงครามย่อมต้องมีเหยื่อเสมอ   ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นทำไมถึงยัง..”
“ผมเป็นทหาร..  คามิว” ชายหนุ่มตัดบท  “ผมต้องทำหน้าที่ของผมเช่นเดียวกับที่เซนต์อย่างคุณต้องกำจัดผู้บุกรุก    สำหรับผม..  กลางสนามรบนั่นคือบ้านซึ่งคุ้นเคยและปรารถนาที่จะสิ้นลมหายใจ” คาร์เดียพลิกร่างหนุ่มน้อยให้หันมาสบตา   ทว่าประกายพราวระยับในดวงตาของชายหนุ่มมิอาจกลบฝังความกลัวที่จะสูญเสียได้เลยแม้แต่น้อย    คามิวเบี่ยงกายออกจากอ้อมแขนก่อนจะพลิกร่างลงจากเตียง

...ถ้าเช่นนั้นสวรรค์ให้เราได้พบกันเพื่ออะไร...


............................................................

ถึงแม้เวลาจะหยุดลง   ทว่ามิได้หมายความว่าทุกสิ่งรอบตัวจะหยุดชะงักตาม  
เมื่อวิญญาณทั้งสองดวงโคจรมาพบกัน   ก็ย่อมมีเวลาที่ต้องพลัดพราก

ในที่สุดคามิวก็เข้าใจถ่องแท้    เขาได้พบกับคาร์เดีย..   ก็เพื่อพลัดพราก  

เมื่อในที่สุดคำสั่งให้  ประจัญบาลก็มาถึง   เสียงแตรรบดังโหยหวนไปทั่วท้องน้ำขณะที่ผ้าพื้นดำและลายหัวกะโหลกไขว้ถูกปลดลงจากยอดเสาแล้วแทนที่ด้วยผืนธวัชแห่งราชนาวี    สัญลักษณ์รูปแมงป่องทองบนผืนผ้าสีแดงสดดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆยามที่ธงโบกสะบัดไปตามแรงลม    เหล่าลูกเรือและกลาสีซึ่งรอเวลาอยู่นานต่างก็ไชโยโห่ร้องอย่างยินดีที่จะได้รบ   ต่างคนต่างกุลีกุจอสลัดเสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่งทิ้งแล้วแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ   บ้างก็ตระเตรียมอาวุธคู่มือ   บ้างก็ส่งข่าวบอกเรือลำอื่นต่อกันไปเป็นทอดๆ    ทว่าสำหรับคามิวแล้วมันคือฝันร้าย    ในที่สุดกองเรือโจรสลัดซึ่งลอยลำอยู่เหนือน่านน้ำก็พลันเปลี่ยนเป็นกองเรือรบติดอาวุธเต็มพิกัด    เมื่อสัญลักษณ์บนยอดเสากระโดงถูกแทนที่ด้วยธงสีแดงเหมือนกันหมดทุกลำ    และกัปตันเรือหลวงในชุดเครื่องแบบเต็มยศ..  ผู้เปรียบเสมือนลมหายใจตนก็กำลังจะ...


“ไม่ต้องกลัว..   ผมจะปกป้องคุณด้วยชีวิต”  นั่นคือคำที่ท่านแม่ทัพบอกกับคามิวก่อนจะรวบร่างเข้าไปกอดแล้วมอบจุมพิตหนักหน่วงให้    มือใหญ่คลุมเสื้อลูกไม้ลงบนศีรษะคนรักก่อนจะหันไปรับมือกับศัตรูที่ปีนขึ้นมาบนเรือ

ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นสัมผัสริมฝีปากตนเองซึ่งยังคงร้อนผะผ่าวด้วยรสจูบ   เขามิได้หวั่นเกรง..   แม้ในยามที่ได้เห็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญบั่นศีรษะข้าศึกหลุดกระเด็นจากบ่า    เลือดสาดกระจายราวกับห่าฝนขณะที่ศีรษะนั้นหล่นกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมด้วยดวงตาเหลือกถลนออกมานอกเบ้า    กลิ่นคาวโลหิตที่ไหลนองไปทั่วก็ยังมิอาจทำให้หัวใจเขาหยุดเต้นได้เท่ากับความกลัวที่จะต้องสูญเสียคนรักไป    คามิวกระชับเสื้อลูกไม้แน่นขณะที่คมดาบวาววับในมือขวาของคาร์เดียยกขึ้นรับการโจมตีจากศัตรูอีกสองคนขณะที่มือซ้ายคว้าข้อมือตนไว้แล้วดึงมาแอบข้างหลัง   ใช้ร่างที่ใหญ่กว่าเป็นเครื่องกำบังคนรักให้ปลอดภัย  

...ข้าจะไว้ใจท่านทุกลมหายใจ   จะเชื่อมั่นและศรัทธาในทุกคำที่ท่านบอกข้า  
หากสิ่งเดียวที่ข้ากลัวก็คือการไม่ได้เห็นหน้าท่านอีกครั้ง


แต่แล้วจู่ๆเปลวเพลิงร้อนระอุก็โหมกระหน่ำไปทั่วลำเรือตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้องจากด้านท้ายเรือ   และพริบตานั้นเรือทั้งลำก็สะท้านอย่างรุนแรง   เมื่อแรงกระแทกที่ราวกับจะฉีกมันออกเป็นเสี่ยงๆนั้นทำให้ถึงกับเสียการทรงตัว


“ช่วยเรือหลวงดับไฟ!! 

ช่วยเรือหลวงดับไฟ!!

คาร์เดียไม่สนใจเสียงตะโกนโหวกเหวก   ชายหนุ่มตะโกนสั่งการพร้อมกับตวัดดาบฟันร่างข้าศึกจนขาดสองท่อน   วงแขนกว้างกางโอบรอบร่างคนรักเพื่อปกป้องจากเศษซากความเสียหายที่ปลิวว่อนไปทั่วพลางประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น  

“คลังแสงของเราคงถูกปืนใหญ่ข้าศึกเข้าแล้ว   แบบนี้เห็นทีจะไม่ได้การ..”

มือใหญ่คว้าเอวหนุ่มน้อยเข้ามาแล้วกอดกระชับก่อนจะลากลงบันไดไปยังส่วนล่างของลำเรือ   ขณะเดียวกัน..  ดาบในมือยังคงกวัดแกว่งสังหารศัตรูที่ไล่ตามจนล้มกลิ้งระเนระนาด   แม่ทัพหนุ่มเตะซากศพที่กองทับถมออกไปให้พ้นทางแล้วพาคามิวลงไปยังห้องเก็บของใต้ท้องเรือ   ...พื้นที่สุดท้ายที่ยังไม่ถูกเผา   ก่อนจะตะโกนเรียกเพื่อนคู่ใจ

“ฮอร์ค!!

นกเหยี่ยวปรากฏร่างขึ้นจากละอองหมอกสีเงินซึ่งม้วนตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อน    ขนปีกสีเงินยังคงเป็นประกายเงางามยามที่ฮอร์คโผนเข้ามาเกาะบ่าเจ้าของ    ทว่าคาร์เดียมิได้สนใจมัน   เมื่อเวลานี้ดวงหน้าอันงดงามนี้ต่างหากที่เขาหวังจะให้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ   ชายหนุ่มประคองคามิวไว้ในวงแขนพลางจดจำทุกรายละเอียด   ทุกอารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตา   ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอยต่อกัน   ก่อนจะประทับรอยรักรอยอาลัยลงบนเรียวปากที่สั่นระริก   คามิวเบิกตาค้างเมื่อหยาดโลหิตจากร่างสูงหยดลงบนใบหน้าตน  

...นี่ท่าน....


“ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว..

ผมรักคุณ..   และจะรักตลอดไป   
ได้โปรดจดจำไว้    ว่าวิญญาณผมจะคอยติดตามคุณเสมอ”

...ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม....  


“ฮอร์ค!  ..พาคามิวหนีไป”

...ลาก่อน   ลมหายใจของผม....

คาร์เดียจำต้องปล่อยมือจากคนรักแล้วหันหลังจากไป   ด้วยตระหนักดีว่าหน้าที่ต้องมาก่อนและเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกพ้อง   มือข้างที่ถืออาวุธอยู่กำกระชับแน่นขณะที่กรามขบเป็นสัน   หากพวกมันต้องการจะเปิดฉากละเลงเลือดนักเขาก็จะบันดาลให้ตามนั้น   เมื่อเวลานี้หมดห่วงเรื่องคามิวแล้ว   เขา..  คาร์เดียผู้นี้จะเปลี่ยนทะเลแถบนี้ให้กลายเป็นสมรภูมิเลือดให้พวกมันกลายเป็นเศษซากอาหารปลาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

คามิวแทบไม่มีโอกาสได้โต้แย้ง   เรียวแขนยาวพยายามไขว่คว้าคนรักด้วยยังไม่พร้อมจะแยกจากกัน    ทว่าร่างงามกลับทำได้เพียงแค่ดิ้นรนขณะที่ถูกฮอร์คลากไปยังประตูห้องเก็บของที่จู่ๆก็เปิดอ้าออกราวกับจะเชิญชวน   กรงเล็บแหลมคมของเหยี่ยวลึกลับตัวนั้นจิกแน่นอยู่กับต้นแขนพร้อมด้วยพละกำลังมหาศาลเกินตัวที่สามารถลากอะไรก็ตามที่ใหญ่และน้ำหนักมากกว่าตัวมันเองได้อย่างง่ายดาย   และแล้วเขาก็ได้พบว่าเป็นอีกครั้ง..   ที่เบื้องหลังบานประตูไม่มีพื้นห้อง  

คามิวร่วงลงสู่ความมืดเบื้องล่าง   พร้อมๆกับฮอร์คซึ่งบินวนอยู่รอบตัวมิยอมห่างราวกับจะได้รับคำสั่งจากเจ้าของให้พาไปส่งให้ถึงที่หมาย   และบัดนั้นเองเขาก็ได้เข้าใจ...    น้ำเสียงอ่อนโยนที่เฝ้าปลุกปลอบมิให้หวาดกลัว   และสายลมที่โอบล้อมอยู่รอบกายในวันที่ตนเดินทางข้ามผ่านห้วงเวลาที่บิดเบี้ยวนั้นก็คือเสียงของคาร์เดียนั่นเอง  

“ไม่นะ..  คาร์เดีย!  
ข้ายังมิได้บอกท่านเลย    ว่าข้ารักท่าน!!


...โปรดจดจำไว้   

วิญญาณผมจะคอยติดตามคุณเสมอ


จำไว้....





หนุ่มน้อยกระแทกกำปั้นเข้ากับเสาหินเต็มแรง   คามิวอยากจะคิดว่าตนเองสติฟั่นเฟือนไป..  รึไม่เรื่องทั้งหมดก็เป็นเพียงฝัน   ทว่าชุดลูกไม้ในมือเขามาจากไหนกัน..   หากมิใช่สิ่งที่คนๆนั้นมอบให้ก่อนลาจาก   นัยน์ตาสีครามทอดมองออกไปยังทิวทัศน์ที่คุ้นตา   เสียงจากลานประลองและกลิ่นอายของความเงียบเชียบ   ตลอดจนเสียงหวีดหวิวของสายลมตอกย้ำให้ตระหนักชัดว่าที่นี่คือแซงทัวรี่   ดินแดนแห่งเทพเจ้า   มิใช่บนเรือซึ่งลอยลำอยู่กลางทะเลแต่อย่างใด    

และทั้งๆที่ความจริงปรากฏเช่นนั้น   ทว่าเหตุใดในหูเขาจึงยังคงแว่วเสียงกระซิบกระซาบอยู่   น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังแผ่วๆมาตามสายลม    ดุจดังคำสัญญา..  ดังคำสาบานว่าจะได้พบกันอีก 


...วิญญาณผมจะคอยติดตามคุณเสมอ

ได้โปรดจำไว้....


~End~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น