...โธ่..
นางไม่น่าทำอย่างนี้เลย
เพียงแค่ขอแยกตัวออกมาประเดี๋ยวเดียว แล้วมันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงกัน...
แต่ท่ามกลางนาทีระทึกของความเป็นความตายเช่นนี้ไม่มีเวลาสำหรับการสำนึกเสียใจ
ไม่ใช่สำหรับหวนคิดถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือมัวห่วงกังวลอะไรทั้งนั้น ต่อให้คนโง่ก็ยังรู้เลยว่าสิ่งเดียวที่ควรทำในเวลานี้คือวิ่งตรงไปข้างหน้า และต้องไปให้เร็วที่สุดด้วย สาวน้อยร่างเล็กบางในอาภรณ์ของเด็กหนุ่มหอบแฮ่ก ทั้งๆที่รู้สึกอ่อนล้าเสียจนลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว ทว่ายูคิมูระ
จิสึรุไม่มีเวลาให้พักหายใจนอกจากกัดฟันแล้ววิ่งต่อไปเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
เมื่ออันธพาลกลุ่มใหญ่ที่ตามติดไม่ลดละกำลังจะถึงตัวนางอยู่ในไม่กี่อึดใจแล้ว
..ทำไมกันนะ นางไปทำอะไรให้... หากรู้สักนิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนางคงไม่ขอแยกกับพวกฮาราดะซังในเมืองแล้วไปเดินเลือกซื้อของตามลำพังเป็นแน่
ถึงแม้จะเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบผู้ชายในสถานที่ซึ่งมีแต่ผู้ชายแล้ว แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ทุกๆเดือน
ซึ่งมีแต่ผู้หญิงอย่างนางเท่านั้นที่จะเข้าใจ กับเรื่องส่วนตัวของผู้หญิง..
จิสึรุไม่เคยกล้ายอมให้ใครมาเป็นเพื่อนในเวลาที่ต้องการหาซื้อของใช้ส่วนตัวพรรค์นี้เสียด้วยสิ
และทั้งๆที่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรทว่านางก็ยังไม่วายพาตัวเข้าไปพบกับเรื่องยุ่งๆจนได้ เมื่อจู่ๆนางก็เกิดไปต้องตาต้องใจนักรบอันธพาลกลุ่มนี้เข้า จิรึสุพยายามกระเสือกกระสนเอาตัวรอด แต่นางตัดสินใจผิดที่วิ่งห่างออกมาจากแหล่งชุมชนแทนที่จะหันหน้ากลับไปยังทิศทางตรงข้าม เผื่อจะพบใครสักคนที่มีน้ำใจคิดช่วยเหลือ อาจเป็นพวกฮาระดะซังซึ่งป่านนี้คงจะตามหานางอยู่หรือใครก็ได้สักคน
ทว่าเวลานี้นางสิ้นหวังในทุกทางแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลย..
คงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากถูกคนพวกนี้ตะครุบตัวได้
และจิสึรุก็หวาดกลัวเกินกว่าจะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้างหากหนีไม่รอด ตะวันคล้อยลงทุกทีแล้วขณะที่ความมืดสลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนนี่ พร้อมๆกับที่ความหวังอันริบหรี่ของนางกำลังจะดับวูบไป สาวน้อยหวีดร้อง.. เมื่อเชือกรองเท้าสานเกิดขาดกะทันหันส่งผลให้ตนเองล้มกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น และยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นมือหยาบกระด้างข้างหนึ่งก็เอื้อมเข้ามาคว้าต้นแขนนางเสียแล้ว
..ไม่นะ...
จิสึรุได้แต่ภาวนาให้ตนเองมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะสะบัดให้หลุด แต่แล้ววินาทีนั้นจู่ๆก็มีลมพัดมาหอบใหญ่เสียจนนางต้องหลับตาปี๋ แม้จะเพียงวูบเดียว ทว่าก็มีเรื่องไม่คาดฝันถึงสองเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลานั้น หนึ่งคือชายหนุ่มคนที่จับแขนนางอยู่ยอมปล่อยมือแล้ว ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามมันทำให้นางรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาก และสองคือพวกอันธพาลทั้งหมดถูกเล่นงานอย่างหนักเสียจนร้องโอดโอยไปตามๆกัน บ้างก็กระดูกหัก บ้างเลือดตกยางออก ขณะที่อีกหลายคนนอนกองอยู่กับพื้นในสภาพสิ้นสติสมประดี.. ซึ่งสาวน้อยก็ไม่แน่ใจนักว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ ส่วนผู้มีพระคุณของนางยืนหันหลังให้กับแสงอาทิตย์ยามอัสดงจึงทำให้นางมองไม่เห็นใบหน้าเขานอกจากเป็นเงาดำมืดเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น.. เขาดูไม่เหมือนนักรบเลยสักนิดเดียว นั่นทำให้จิสึรุถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อมั่นใจว่าตนไม่ได้พาตัวเข้ามาพบกับเรื่องยุ่งยากที่อาจทำให้เดือดร้อนหนักกว่าเดิม คนแปลกหน้าที่ช่วยเหลือนางมีเรือนร่างสูงเพรียวซึ่งอุดมด้วยมัดกล้าม เขาแต่งกายตามสบายโดยไม่สนใจกับสายตาใคร ผิวคล้ำเข้ม
รอยสักรูปมังกรสีดำสนิทบนต้นแขนซ้าย
และผมยาวหยักศกที่รวบเป็นทรงหางม้าทิ้งชายยาวระสะโพกนั้นช่างชวนให้รู้สึกคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
แต่เมื่อเขาประคองนางให้ยืนขึ้นและได้เห็นใบหน้าอย่างถนัดชัดเจนเด็กสาวก็ต้องตกใจแทบล้มทั้งยืน
“เป็นอะไรอีกล่ะ..
ข้าน่าจะมาทันเวลาไม่ใช่หรือ”
เขาคือคนซึ่งมักจะปรากฏตัวพร้อมกับคาซามะ จิคาเงะ
และนั่นหมายความว่าเขา..
“ชิรานุอิซัง”
..เป็นศัตรูอีกคนหนึ่งของนาง...
“ข..ขอบคุณค่ะ”
ยักษ์หนุ่มแสยะยิ้มเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าขาวซีดของสาวน้อย ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะกว้างขวางมากขึ้นเมื่อพบว่าจิสึรุถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่ไว้วางใจ อันที่จริงคงไม่แปลกนักหรอกที่นางจะกลัวเขา..
ในเมื่อปกติก็มีอยู่น้อยคนนักที่จะหาญกล้ามายืนอยู่ต่อหน้าเขาแล้วไม่สั่น
นอกจากนี้เด็กสาวคนนี้ยังเคยเห็นเวลาที่เขาแผลงฤทธิ์เสียด้วย เพียงแค่นางไม่ตกใจกลัวจนเป็นลมพับไปเขาก็น่าจะนึกขอบใจแล้ว ชิรานุอิเอียงศีรษะมองจิสึรุด้วยแววตาประหลาด..
ช่วยไม่ได้ที่เขารู้สึกว่าช่วงนี้ดูเหมือนนางจะผอมลงนิดหนึ่งจากที่เห็นครั้งหลังสุด กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าตนไม่ควรยุ่มยามและควรจะปล่อยนางไปเสีย..
เพราะอย่างน้อยนางก็เป็นสตรีที่คาซามะพึงใจ ชิรานุอิ
เคียวยักไหล่อย่างไม่แยแสก่อนจะปล่อยมือและทำให้จิสึรุร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นอีกรอบ
“โอ๊ย!”
ตอนที่หกล้มเมื่อครู่คงจะทำให้นางขาแพลงเสียแล้ว
เมื่อจู่ๆข้อเท้าขวาของนางก็ปวดแปลบขึ้นมาจนทรงกายไม่อยู่ และก่อนที่จิสึรุจะได้ขยับตัวชิรานุอิก็หมุนตัวกลับหลังหันแล้วลงนั่งยองๆกับพื้นพร้อมกับเปลี่ยนความตั้งใจ ..แบบนี้คงอดยื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ได้เสียแล้ว
“มัวรออะไรอยู่
รีบขึ้นมาสิ..
ข้าจะแบกเจ้าขึ้นหลังไปส่งให้ถึงที่”
“ไม่เป็นไรค่ะ
ข้าจะค่อยๆเดินไปเอง”
สาวน้อยรีบบอกปัด..
นางไม่มีทางยอมแน่ๆ
เพราะรู้ดีว่าคนๆนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจที่นางสมควรจะอยู่ให้ห่างเอาไว้เป็นดี
“อย่ามาทำอวดเก่ง..
นอกจากว่าเจ้าอยากจะเล่นไล่จับกับไอ้พวกนี้อีกข้าก็จะปล่อยทิ้งไว้
จวนจะค่ำแล้ว เด็กสาวๆอย่างเจ้าคงไม่รู้สินะว่าจะมีเรื่องสนุกอะไรรออยู่บ้างน่ะ”
จิสึรุจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมปีนขึ้นหลังเขาอย่างว่าง่าย
นางโอบแขนไปรอบลำคอยักษ์หนุ่มอย่างกล้าๆกลัวๆ และอดหน้าแดงไม่ได้เมื่อลำตัวด้านหน้าของตนแนบชิดอยู่กับแผ่นหลังของเขา ขณะที่รู้สึกถึงมือทั้งสองข้างของเขาที่ประสานกันแน่นอยู่ที่บริเวณบั้นท้ายนางเพื่อรองรับน้ำหนักตัว ชิรานุอิยืดกายขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เส้นผมสีเข้มของเขาที่ปลิวระใบหน้านางยามที่เขาออกเดินไปตามถนนเจือด้วยกลิ่นจางๆของป่า ต้นไม้ใบหญ้า
และยาสูบ ผิวกายเขาร้อนจัดจนจิสึรุอดนึกสงสัยไม่ได้..
เขากำลังมีไข้งั้นหรือ
“ชิรานุอิซังกำลังไม่สบายหรือคะ”
ยักษ์หนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินต่อ “ข้าปกติดี
..อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”
เขาเพียงแต่ชำเลืองมองนางด้วยหางตาก็ได้เห็นใบหน้างามที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อ และนั่นทำให้ลมหายใจเขาสะดุดขึ้นมาทันที ชิรานุอิได้แต่ขบกรามแน่นพลางนึกแช่งชักประสาทรับรู้ที่ไวเกินกว่าเหตุของตนเอง การได้อยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำของนางเท่านั้น แต่กลิ่นกายนางยังเข้าไปอัดแน่นอยู่ในโพรงจมูกเสียจนทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก
กลิ่นหอมละมุนเหมือนดอกไม้ที่เขาสุดแสนจะประทับใจตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรกของนางกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น มันทำให้เขาร้อนรุ่มจนแทบห้ามใจไม่อยู่
นอกจากนี้ความเป็นห่วงกังวลของนางที่เขารับรู้ได้ด้วยความสามารถพิเศษก็กำลังรบกวนสมาธิของเขาอย่างยิ่งยวด จะเป็นอย่างไร..
หากว่าเขาจะเก็บตัวนางไว้
ไม่มอบนางให้กับทั้งพวกชินเซ็นและหัวหน้าเผ่าพันธุ์ยักษ์ ชิรานุอิอดตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้ทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ..มันจะมีอะไรเสียอีก.. นอกจากเขาจะพาตนเองไปสู่ความพินาศเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว.. ทว่าสำหรับเขาแล้วความมืดมิใช่อุปสรรคต่อการมองเห็น นอกจากสัมผัสจากผิวกายอันอ่อนนุ่มของเด็กสาวที่ทำให้เขาแทบคลั่งแล้ว นอกนั้นก็เหลือเพียงการพบหน้าที่น่ารำคาญกับมนุษย์อีกคนหนึ่งเท่านั้น เจ้าหมอนั่นมายืนดักรออยู่ข้างทางก่อนที่จะถึงฐานที่มั่นของกลุ่มชินเซ็นมาพักใหญ่แล้ว.. ลางสังหรณ์บอกเขาเช่นนั้น
ยักษ์หนุ่มเผยรอยยิ้มยียวนออกมาเมื่อแสงจากโคมกระดาษในมืออีกฝ่ายสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลและสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจเมื่อเห็นเขาเข้า
“ดูสิว่าใครมารอเจ้า”
ชิรานุอิถามเด็กสาวที่เกาะอยู่บนหลังก่อนจะหยุดเดินเมื่อชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก้าวออกมาขวางกลางถนนอย่างเอาเรื่อง
ชายเสื้อคลุมสีฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มโบกสะบัดไปตามแรงลมขณะที่ฮาราดะ ซาโนสุเกะ
หัวหน้าหน่วยสิบยืนนิ่งไม่ไหวติง
บุรุษทั้งสองต่างก็จ้องตากันนิ่งโดยไม่มีฝ่ายใดยอมถอยให้ก่อน ขณะเดียวกัน.. ยูคิมูระ
จิสึรุที่กระสับกระส่ายอยู่บนหลังยักษ์หนุ่มกลับเป็นฝ่ายหมดความอดทนเสียเอง ด้วยหวั่นใจว่าหากรอช้าทั้งสองคนอาจเปิดฉากปะทะกันกลางถนนและทำให้เรื่องยิ่งเลวร้ายมากขึ้น
“ใจเย็นๆค่ะฮาราดะซัง ..ข้าถูกคนไล่ตามและได้ชิรานุอิซังช่วยเอาไว้ค่ะ”
ในตอนนั้นนางคิดว่าทุกอย่างคงจะเรียบร้อยพร้อมทั้งปัญหาที่หมดไปเมื่อทั้งคู่ยอมแยกจากกันด้วยดี ..ก่อนจะได้ตระหนักว่าคิดผิดในเวลาต่อมา
นี่คงจะเป็นคราวเคราะห์ของนางโดยแท้จริงกระมัง เพราะถ้าไม่ใช่.. เหตุใดนางจึงต้องพบเจอแต่เรื่องยุ่งยากซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ จิสึรุอย่างจะร้องไห้ออกมาดังๆ
เมื่อนับตั้งแต่ถูกอันธพาลไล่ตามจนกระทั่งถูกช่วยเอาไว้ได้จนถึงบัดนี้ ดวงชะตาของนางก็มีแต่จะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ทำให้นางคิดถึงพวกเพื่อนผู้หญิงใจจะขาด
หลังจากกลับมาถึงฐานในตอนหัวค่ำนางก็ถูกเรียกตัวไปเทศนาอย่างหนัก รองหัวหน้ากลุ่มชินเซ็น.. ฮิจิคาตะ
โทชิโซรวมทั้งคนอื่นๆไม่อยู่ในอารมณ์ที่ดีนักเมื่อรู้ว่าจิสึรุขอแยกตัวออกไปเดินตลาดตามลำพังโดยไม่มีผู้คุ้มกันจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องขึ้น และนางเองก็สำนึกผิดเป็นอย่างดี..
สิ่งเดียวที่นางไม่อยากทำจริงๆคือทำให้พวกเขาต้องอายหรือรู้สึกไม่สบายใจ แต่เมื่อถูกซักไซ้หนักๆเข้าถึงเหตุผลที่ทำเช่นนั้นจิสึรุก็จำต้องพูดความจริงทุกอย่าง
“เป็นเพราะข้ากำลังจะมีรอบเดือนค่ะ..” นางเริ่มต้นอย่างแผ่วเบาและเหนียมอาย ขณะที่ได้แต่ก้มหน้ามองมือตนเอง “และเศษผ้าที่เตรียมไว้ก็กำลังจะหมด จึงจำเป็นต้องหาซื้อเพิ่มสำหรับเก็บไว้ใช้ในช่วงเวลานั้น
ข้าเกรงว่าคงไม่ดีนักหากเรื่องนี้จะเป็นภาระให้คนอื่นๆต้องพลอยยุ่งไปด้วย ก็เลย...”
และผลก็เป็นอย่างที่จิสึรุพอจะเดาได้อยู่แล้ว.. เมื่อเจอเข้ากับเรื่องพรรค์นี้หัวหน้าหน่วยแต่ละคนก็ถึงกับสะอึก ต่างคนต่างทำอะไรไม่ถูก ไซโต
ฮาจิเมะทำทีเป็นยกถ้วยชาขึ้นจิบทั้งๆที่มันเย็นชืดหมดแล้วแถมยังเหลือน้ำชาติดก้นถ้วยอยู่แค่นิดเดียว ตรงกันข้ามกับโอคิตะ โซจิที่ลงนอนแล้วหัวเราะเสียจนน้ำหูน้ำตาไหลอย่างไม่เกรงใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของหัวหน้าหน่วยคนอื่นๆ ขณะที่โทโด
เฮย์สุเกะใบหน้าแดงก่ำอย่างเก็บอาการไม่อยู่ และคอนโด
อิซามินั่งกุมขมับนิ่งโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
“แต่.. ถึงจะเป็นเช่นนั้น.. เจ้า..
ก็น่าจะบอกเรา” โทชิโซเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว พลางกระแอมกระไอก่อนจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
“พวกเราก็ยอมรับว่าลืมคิดไป..
ว่าถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นก็ย่อมจำเป็นจะต้องมีเวลาส่วนตัว รวมถึงเรื่อง
..เอ่อ.. เรื่องรอบเดือนด้วย ดังนั้น..” เขาสูดหายใจลึกอีกครั้งหนึ่ง
“ต่อไปนี้ให้ถือเสียว่าเราเป็นครอบครัวของเจ้า ถึงแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องของผู้หญิงดีนัก แต่พวกเราก็พร้อมจะช่วยเหลือเจ้าในทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม”
จิสึรุค้อมศีรษะรับทราบด้วยความซาบซึ้งใจ
มากเท่าๆกับความอับอายที่ต้องเปิดเผยเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าบุรุษจำนวนมาก และแทนที่จะรีบมุดดินหนี สาวน้อยซ่อนใบหน้าที่ร้อนวูบของตนเองด้วยการค้อมตัวลงอีกครั้งเพื่อขอตัวออกมาจากห้อง ก่อนจะเดินขากระเผลกกลับไปที่ห้องของตนเอง
……………………………………
คืนนั้นจิสึรุฝันประหลาด..
นางไม่อาจจำได้แน่ชัดว่ามันคืออะไรแต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจก็คือตนเองอ่อนเพลียอย่างหนักจนกระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตาขึ้น สาวน้อยรู้สึกว่าแขนขาหนักอึ้งไปหมด ขณะเดียวกันก็นอนกระสับกระส่ายไม่สบายตัว เด็กสาวมั่นใจว่านี่มิใช่อาการก่อนที่รอบเดือนจะมา แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
“ไม่ผิดแน่..
นางมีกลิ่นของมันติดตัวหึ่งไปหมด”
เสียงทุ้มห้าวที่ฟังดูราวกับลอยมาจากที่ไกลๆนั้นเล็ดรอดเข้ามาในห้วงนิทรา มันทำให้จิสึรุรู้สึกถึงอันตรายและนางจำเป็นต้องตื่น..
“ถ้างั้นนางก็เป็นผู้หญิงของมันน่ะสิ” เสียงที่เล็กกว่าย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น และใกล้เข้ามาอีกนิด “เอาตัวไป.. ไวๆเข้า ก่อนที่อาคมของเราจะเสื่อม”
..ไม่ นางจะไม่ไปไหนทั้งนั้น.. นางจะต้องตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที
จะต้องตื่น..
ทว่าเด็กสาวรู้สึกตัวตื่นขึ้นในที่ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ในสภาพที่นอนตะแคงคุดคู้แล้วถูกมัดมือมัดเท้าแน่นรวมทั้งปากทำให้จิสึรุได้แต่กลอกตามองไปรอบๆกายอย่างหวาดกลัว นางอยู่ในกระท่อมที่ปลูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือหยาบๆหลังหนึ่ง แสงตะวันที่สาดเป็นลำเข้ามาทางช่องหน้าต่างนั้นพอจะทำให้จิสึรุมองเห็นรายละเอียดภายในกระท่อมได้เพียงคร่าวๆเท่านั้น มันทั้งเล็ก
แคบ และเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง นอกจากเตาไฟที่แทบไม่เคยถูกทำความสะอาดซึ่งอยู่กลางห้องและเสื่อเก่าๆผืนหนึ่งที่ม้วนเก็บอยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่งแล้วก็ไม่มีเครื่องเรือนอื่นใดอีก นี่นางอยู่ที่ไหนกัน.. แต่ขณะที่จิสึรุกำลังกระวนกระวายใจพร้อมด้วยความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นประตูกระท่อมก็แง้มออก
“อ้าว ตื่นแล้วเรอะ”
ผู้ที่เข้ามาในกระท่อมเป็นผู้ชายในลักษณะที่สาวน้อยแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อน แสงยามเช้าที่สาดกระทบร่างเขาทำให้นางสังเกตเห็นความแตกต่างจากคนทั่วไปที่มากเกินกว่าจะมองข้าม เขามีผิวกายสีแทนคล้ำเข้ม
เรือนร่างสูงเพรียวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นมีเพียงอาภรณ์ท่อนล่างปกปิดอยู่เท่านั้น นอกจากนี้เขาไม่สวมเสื้อ และเมื่อมองให้ดีแล้วลักษณะเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกคุ้นตาอย่างแปลกประหลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือนผมดำยาวหยักศกที่รวบหลวมๆไว้ด้านหลัง และเมื่อเขาเคลื่อนกายพ้นช่องประตูเข้ามาเด็กสาวก็ได้เห็นคนอื่นๆที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นสีผิว เส้นผม
รูปร่าง หรือแม้แต่ลักษณะการแต่งกาย
“ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านของเรา” น้ำเสียงนั้นกระแทกแดกดัน เขากระชากผ้าที่ปิดปากนางออกอย่างไม่เบามือ ส่งผลให้สาวน้อยหวีดร้องแล้วกระถดกายหนีด้วยความกลัว ขณะที่คนอื่นๆพากันเข้ามาในกระท่อมแล้วมุงดูนางเหมือนเป็นตัวประหลาด พวกเขาจะทำอะไรกับนาง...
“นี่น่ะหรือผู้หญิงของมัน.. หน้าตาก็ออกจะน่ารัก คิดยังไงถึงได้ไปสมสู่กับไอ้ตัวทุเรศทุรังนั่น”
เสียงของสตรีคนหนึ่งดังมาจากนอกกระท่อม ทว่าจิสึรุกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวเกินกว่าจะสอดส่ายสายตามองหาต้นเสียงหรือแม้แต่จะนึกสงสัยว่าพูดเรื่องอะไรกัน ทว่าสิ่งหนึ่งที่นางรู้ก็คือ.. โชคร้ายของนางไม่เคยสิ้นสุดเสียที
“กลิ่นนี้..”
ชายอีกคนหนึ่งโน้มร่างเข้ามาใกล้นางแล้วก้มลงสูดดมกลิ่นที่ซอกคอ
“นางไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นยักษ์ต่างหากล่ะ”
เขาประกาศก้อง ขณะที่แววชิงชังดูถูกปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าของคนอื่นๆ
และมันทำให้จิสึรุยิ่งวิตกมากขึ้น
เมื่อสภาพการณ์ในเวลานี้ยากที่จะเชื่อได้ว่าพวกเขาจะไม่ทำร้ายนาง
“สมเป็นมันจริงๆ
จนป่านนี้ก็ยังเลือกที่จะเกลือกกลั้วอยู่กับพวกต่างเผ่าเหมือนกับแม่ของมันไม่มีผิด”
จิสึรุไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงใคร
แต่เมื่อจับความรู้สึกจากน้ำเสียงและคำพูดที่เอ่ยถึงแล้วไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม..
เขาจะต้องไม่ใช่พวกพ้องของคนเหล่านี้เป็นแน่ แต่ก่อนที่เด็กสาวจะทันได้รู้อะไรมากไปกว่านี้หนึ่งในนั้นออกความเห็นว่าควรกำจัดนางทิ้งเสีย นั่นทำให้นางตกใจแทบสิ้นสติ..
“ข้าขอเสนอว่าเราควรสังหารนางเสีย
เพื่อไม่ให้นางมีโอกาสได้ให้กำเนิดตัวน่ารังเกียจออกมาอีก”
“อะไรนะ!”
เด็กสาวถึงกับหมดเรี่ยวแรงทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนอื่นๆต่างก็เห็นพ้องต้องกัน จิสึรุไม่มีโอกาสโต้แย้งใดๆทั้งสิ้นเมื่อพวกเขาเอาเศษผ้ายัดปากนางอีกครั้งเพื่อให้เงียบเสียงแล้วหิ้วตัวออกไปนอกกระท่อมขณะที่เหยื่อสาวดิ้นรนเตะถีบเป็นพัลวัน ก่อนจะจับนางโยนโครมลงไปบนลานดินกลางหมู่บ้านอย่างไร้ความปรานี จากนั้นนางก็ถูกกดศีรษะให้แนบติดดินขณะที่รู้สึกได้ถึงคนจำนวนมากที่กรูกันเข้ามาห้อมล้อมอยู่รอบกาย ถึงแม้จะไม่ได้เข้ามาใกล้ๆทว่าจิสึรุก็รู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดของพวกเขา รู้สึกได้ถึงสายตาหลายสิบคู่ที่ทิ่มแทงราวกับนางเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ต่ำต้อยด้อยค่าและน่ารังเกียจเสียจนพวกเขาต้องฆ่าให้ตาย แต่แล้วสุดท้ายนางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตนทำอะไรผิด
ทว่าขณะที่กำลังกลัวจนตัวสั่นอยู่นั้นสาวน้อยก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ระเบิดขึ้นรอบตัว มันช่างน่าขนลุกเหลือประมาณ เมื่อเสียงที่ฟังดูเหมือนกรงเล็บตะกุยดินและเสียงคำรามที่ดังกึกก้องราวกับกองทัพอสูรกายกำลังต่อสู้ห้ำหั่นกันนั้นไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ไม่น่าจะเกิดจากน้ำมือมนุษย์ จิสึรุต้องหลับตาแน่นเมื่อขี้ฝุ่น
เศษดินและเศษใบไม้แห้งที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวปลิวเข้าตา จมูกและปากจนทำให้นางสำลักและหายใจไม่ออก จากนั้นนางก็ไม่รับรู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง.. จนกระทั่งจู่ๆใครบางคนคว้าตัวนางขึ้นมาจากพื้น
“จับมันให้ได้!
อย่าปล่อยให้ไอ้ลูกครึ่งโสโครกนั่นหนีไปได้นะ”
“แหมท่านลุง.. ยังคงรักข้าเหมือนเคยเลยนะ”
เสียงของผู้ชายที่ดังขึ้นข้างหูส่งผลให้จิสึรุต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะต้องอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ
“ชิรานุอิซัง!”
เขาก้มลงมองนางแล้วแสยะยิ้ม
“ยังจะเรียกแบบนั้นอยู่อีกหรือ..” ยักษ์หนุ่มหรี่ตาลงแล้วกระเซ้านางหนักกว่าเดิม
“ข้าว่าเจ้ารีบๆเปลี่ยนคำเรียกหาจะดีกว่านะ เจ้าพวกนี้มันเข้าใจว่าเจ้าเป็นเมียข้า แบบนี้ถึงจะแก้ตัวยังไงก็คงไม่ฟังหรอก.. จริงมั้ย”
“หรือว่าไม่จริงล่ะ!”
จิสึรุถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อนั่นฟังเหมือนเสียงคำรามมากกว่าเสียงพูดของมนุษย์
“หากนางไม่ใช่ผู้หญิงของเจ้า
นี่ไหนจะมีกลิ่นเจ้าติดตัวได้
พวกข้าจะไม่ยอมปล่อยให้มีลูกครึ่งน่ารังเกียจอย่างเจ้ามาสร้างความเสื่อมเสียให้กับเผ่าพันธุ์ของเรามากไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เฮอะ.. น่ากลัวจังเลยนะ
นี่ข้าต้องลงนั่งร้องไห้แล้วอ้อนวอนขอให้ปล่อยพวกเราไปด้วยหรือเปล่า
หรือว่าข้าควรจะทำท่ากลัวจนฉี่ราดดีล่ะ”
ชิรานุอิมิได้สนใจถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม ยักษ์หนุ่มยังคงเหยียดยิ้มพลายปรายหางตามองใบหน้าที่คุ้นเคยคนแล้วคนเล่าพลางหวนคิดถึงความทรงจำในวัยเยาว์.. ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่คนพวกนี้ก็ยังทำตัวน่ารังเกียจไม่ต่างจากวันวาน
ขณะที่สาวน้อยในอ้อมแขนเขากำลังตะลึงงัน จิสึรุไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่ทั้งมนุษย์และก็ไม่ใช่ยักษ์ ถ้าเช่นนั้นเป็นอะไรกัน..
แต่เมื่อต่างคนต่างคืนสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริงเด็กสาวก็ถึงกับผงะ ผิวกายสีทองแดงเป็นมันวาวและฟันแหลมคมซึ่งเรียงเป็นแถวยาวในปากที่แสยะกว้างนั้นดูไม่เหมือนกับอะไรที่นางเคยเห็นมาก่อนเลย
และความหวาดหวั่นนั้นก็ทำให้นางเผลอโอบกอดชิรานุอิแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาชำเลืองมองนางแวบหนึ่งก่อนจะสอดแขนโอบรอบเอวนางและดึงเข้ามาแนบชิดพลางก้มลงกระซิบที่ริมหู
“หลับตาเสีย
แล้วอย่าลืมปิดหูไว้ด้วย หากเจ้ายังไม่อยากนอนฝันร้ายติดต่อกันไปอีกหลายคืน”
จิสึรุทำตามคำแนะนำของเขาด้วยความยินดี ขณะที่รู้สึกว่าถูกยักษ์หนุ่มโอบกอดไว้ในอ้อมแขนแล้วรวบร่างนางขึ้นพาดบ่าได้โดยง่าย เขาส่งเสียงคำรามแผดก้องที่ฟังดูน่าสยดสยองคล้ายคลึงกับคนอื่นๆออกมาราวกับจะเป็นการข่มขวัญ จากนั้นนางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นอกจากเสียงปืนที่ระเบิดขึ้นนัดแล้วนัดเล่าพร้อมด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกจับเหวี่ยงไปรอบๆเสียจนหน้ามืดตาลาย นางไม่เห็นว่าชิรานุอิ เคียวต่อสู้อย่างไร ทว่าทันทีที่เสียงปืนเงียบหายไปเขาก็กระโจนขึ้นไปบนต้นไม้แล้วพุ่งตัวจากกิ่งหนึ่งไปสู่อีกกิ่งหนึ่งด้วยความว่องไวจนน่าใจหาย ทั้งแรงลมและกิ่งไม้เล็กๆที่ปะทะใบหน้านางบอกให้รู้ว่าพวกตนกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ยากจะถูกตามทันได้โดยง่าย
...................................................
สาวน้อยเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกลัวจนหมดสติไปก็เมื่อตอนที่ถูกช้อนศีรษะขึ้น
ตามด้วยความอบอุ่นเปียกชื้นที่ประทับลงบนริมฝีปาก
จิสึรุขมวดคิ้วอย่างขัดใจ..
เมื่อพบว่าตนเองถูกบังคับให้เผยอริมฝีปากขึ้น
ก่อนที่จะมีน้ำไหลช้าๆผ่านเข้ามาทางริมฝีปากของนางหยดแล้วหยดเล่า จากนั้นก็ถูกตบเบาๆที่ข้างแก้ม
“ลืมตาได้แล้ว ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
สัมผัสเปียกชื้นบนใบหน้าส่งผลให้จิสึรุลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าชิรานุอิกำลังชะโงกอยู่เหนือร่างนางพร้อมด้วยผ้าเปียกน้ำผืนหนึ่ง
พวกตนอยู่ที่ริมลำธารเล็กๆสายหนึ่งซึ่งสะท้อนแสงตะวันเป็นประกายระยิบระยับ ขณะที่รอบด้านถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวของผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ยักษ์หนุ่มพยุงร่างนางขึ้นจากพื้นดินก่อนจะส่งผ้าในมือให้แล้วยืดกายขึ้นยืนตรง
ทิ้งให้เด็กสาวหน้าแดงก่ำเมื่อพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองเมื่อครู่นี้
และต้องรู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ตระหนักว่าตนอยู่ในชุดนอนชุดเดียวกับเมื่อคืนนี้พร้อมด้วยสภาพมอมแมมดูไม่ได้เอาเสียเลย
“เจ้าคงกลัวสินะ”
เขาไม่ได้มองนางขณะที่ถาม
ทว่ากลับเงยหน้าขึ้นแล้วทำท่าเหมือนกับสูดดมอากาศก่อนจะถอนหายใจออกมา จากนั้นนัยน์ตาคมวาวสีม่วงก็พุ่งความสนใจกลับมาที่นางอีกครั้ง
“ค่ะ
แล้วข้าก็งงไปหมดแล้ว”
จิสึรุพยายามจะลืมความอับอายทั้งหมดแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเท้าข้างที่ไม่เจ็บ
แต่ก็ดูเหมือนเวลานี้ทั้งเท้าซ้ายและขวาของนางจะมีสภาพไม่ต่างกันนัก
เห็นได้ชัดว่าพวกที่พาตัวนางมาเมื่อคืนนี้มิได้อ่อนโยนกับนางเลยแม้แต่น้อย ยักษ์หนุ่มถอนหายใจอีกครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้
“สภาพเจ้าเป็นอย่างนี้อย่าว่าแต่เข้าป่าเลย แค่เดินบนถนนเรียบๆก็คงไม่ไหวแล้ว” เขาตัดสินใจแบกนางขึ้นหลังอีกครั้งพร้อมกับสำทับหนักแน่น
“ตอนนี้ยังไม่น่าไว้ใจ
พวกนั้นยังคงตามล่าเราอยู่
จับให้ดีนะ ข้าจะเหินล่ะ”
ทั้งที่มีคำถามมากมายอัดแน่นอยู่ในอกทว่าในเวลานี้จิสึรุก็ทำได้เพียงเชื่อใจ นางกอดคอเขาไว้แน่นขณะที่ชิรานุอิพาทั้งคู่พุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้าราวกับลูกธนูที่หลุดจากแล่ง รวดเร็วเสียจนนางไม่อาจมองเห็นสองข้างทาง
ทว่าเด็กสาวกลับพบว่าเวลานี้ตนสามารถสงบจิตใจลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ น่าแปลกนักที่เวลานี้นางไม่นึกรังเกียจการอยู่ใกล้เขาอีกแล้ว
อาจเป็นเพราะเขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือนางออกมาจากที่นั่นก็เป็นได้
และนั่นทำให้สาวน้อยรู้สึกว่าถึงแม้คนๆนี้ต่อหน้าจะชอบทำตัวหยาบกระด้างเพียงใดก็ตาม แต่ลึกๆแล้วคงจะเป็นคนมีน้ำใจมิใช่น้อย
“ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นคนมีน้ำใจ”
จู่ๆเขาก็ถามขึ้นมากลางครันขณะที่นางกำลังคิดอะไรเพลินๆ ชิรานุอิตะครุบร่างน้อยไว้ได้ทันท่วงทีขณะที่จิสึรุตกใจจนเผลอปล่อยมือและเกือบจะทำให้ตนเองร่วงลงไปคอหักตาย ยักษ์หนุ่มสบถ.. ก่อนจะร่อนลงบนคาคบไม้แล้วทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับจับให้อีกฝ่ายนั่งลงบนตัก
“ระ.. รู้ได้ยังไงคะว่าข้าคิดอะไรอยู่”
อารามตกใจ
จิสึรุจึงไม่ทันได้รู้สึกว่าขณะนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันจนเกินควร
ไม่ทันรู้สึกถึงแววตาประหลาดยามที่ชิรานุอิจ้องมองนาง
“นั่นสินะ..” เขาเอนกายพิงลำต้นอวบใหญ่ขนาดสิบสองคนโอบพร้อมทั้งโอบแขนรอบเอวบาง
“คงเรียกได้ว่าเป็นสัญชาติญาณที่ข้าได้รับมาอย่างครึ่งๆกลางๆกระมัง
ถึงจะไม่ค่อยได้เรื่องนักแต่บางครั้งก็ทำให้ข้าได้รู้อะไรหลายๆอย่างที่ไม่ควรต้องรู้ ..หรือบางอย่างที่ไม่อยากรู้”
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ายักษ์สามารถทำอย่างนั้นได้ แถมยังเรื่องของความร้อน..”
“ไม่..
นี่ไม่ใช่พลังของยักษ์ แต่เป็นความสามารถพิเศษของเผ่าพันธุ์ทางแม่ข้า ความร้อนจากร่างกายนี้ก็เช่นกัน” ชิรานุอิก้มลงมองเด็กสาว
พลางรับรู้ได้ถึงความสับสนไม่เข้าใจของนางพร้อมๆกับที่ชั่งใจว่าตนเองควรจะทำอย่างไรต่อไป
“ก็เป็นอย่างที่เจ้าเข้าใจ ..ข้าเป็นลูกครึ่ง ระหว่างยักษ์กับปีศาจ” เขาตัดสินใจเริ่มเรื่องในที่สุด
“สำหรับเจ้าที่เติบโตขึ้นมาในสังคมของพวกมนุษย์อาจจะไม่เคยรู้ แต่ว่าในหมู่ของพวกเราที่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว
การมีคู่ต่างเผ่าและให้กำเนิดลูกนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจที่สุด เป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่สามารถให้อภัยได้”
“ทำไมคะ..
โอเซ็นเคยบอกข้าว่าที่ผ่านมาก็เคยมียักษ์หลายตนที่ครองคู่กับมนุษย์ได้”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน”
เขาขัด
พลางยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ปรกหน้าไปด้านข้าง
“เพราะเผ่ายักษ์นั้นอยู่ร่วมกับมนุษย์มาช้านานแล้วจึงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ แต่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไม่ใช่”
“พวกนั้นมีจุดกำเนิดขึ้นมาจากภพภูมิที่ดำมืดกว่า และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังรักที่จะใช้ชีวิตสันโดษโดยไม่ปะปนกับพวกอื่น
อันที่จริงแล้วพวกนั้นมีความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เหนียวแน่นมาก ..ยกเว้นกับข้า”
ชิรานุอิ
เคียวหยุดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อละอองน้ำเล็กๆปะทะถูกใบหน้า
ยักษ์หนุ่มรวบร่างงามเข้ามากอดกระชับแล้วกระโดดขึ้นไปยังกิ่งที่สูงยิ่งขึ้นเพื่อไปยังที่พักพิง
“ฝนตกลงมาก็ดีแล้ว
จะได้ชะล้างกลิ่นของเราให้จางลง” เขาบอกกับนางเมื่อทั้งคู่ปีนเข้ามาอยู่ในโพรงไม้ที่แห้งสบายตรงกึ่งกลางลำต้น
จิสึรุไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่านอกเหนือจากโลกที่นางรู้จักยังมียักษ์หรืออสูรกายพวกอื่นอยู่อีก แต่จะว่าไปก็อาจจะจริง
เมื่อนางลองคิดเปรียบเทียบระหว่างคาซามะซังกับชิรานุอิซังแล้วก็พอจะมองเห็นว่าพวกเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ชิรานุอิซังมีผิวสีแทนซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่เข้มเท่าผู้คนของแม่เขาแต่ก็ไม่เหมือนกับยักษ์ตนอื่นอยู่ดี
อีกทั้งลักษณะของเส้นผมรวมทั้งรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูจะคล้ายคลึงกับเผ่าปีศาจมากกว่า และสายตาที่ราวกับกำลังประเมินสินค้าของสาวน้อยก็ส่งผลให้คนถูกประเมินหันมามองอย่างไม่ค่อยจะชอบใจนัก
“รู้ตัวบ้างรึเปล่า ว่าสายตาที่เจ้ามองข้าดูราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะเริ่มกินข้าจากส่วนไหนก่อนดี
ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็รีบบอกด้วยล่ะ..
เพื่อที่ข้าจะได้ลงนอนแผ่แล้วปล่อยให้เจ้าจัดการทำตามใจชอบ”
“ทะ.. ทำอะไร!” เด็กสาวถึงกับควันออกหู บ้าที่สุด..
นางเป็นผู้หญิงนะ
จะไปมีความคิดไม่เข้าท่าพรรค์นั้นได้ยังไงกัน
ชิรานุอิเฝ้ามองใบหน้างามที่แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มขึ้นในเสี้ยวอึดใจก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
และก่อนที่จิสึรุจะทันได้ตั้งตัวเขาก็โน้มร่างเข้าไปใกล้แล้วจูบแก้มนาง
“ข้าล้อเล่นน่ะ”
เขาบอกเสียงแผ่วพร้อมด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง “แต่ว่านี่น่ะ.. ของจริง”
ขาดคำชิรานุอิก็แนบริมฝีปากเข้ากับแก้มเนียนอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงขยับลงมาที่แนวขากรรไกรก่อนจะประทับนิ่งอยู่ที่กลีบปากนุ่มของเด็กสาว ขณะที่ค่อยๆดึงร่างน้อยเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกแล้วดื่มด่ำไปกับความรู้สึกยามที่มีนางอยู่ในวงแขน เขาสัมผัสซึ้งถึงเสียงหัวใจเต้น กลิ่นอาย
และความรู้สึกนึกคิดของนาง
ยักษ์หนุ่มขยับริมฝีปากอย่างแผ่วเบาไปบนริมฝีปากสาวน้อยพลางรับรู้ได้ถึงความตระหนกของอีกฝ่าย จึงยอมถอนริมฝีปากออกช้าๆอย่างไม่เต็มใจนัก
“กลัวหรือ” ชิรานุอิยังไม่ยอมปล่อยมือแต่กระนั้นก็มิได้กอดนางแน่นนัก
เขาก้มลงมองเด็กสาวซึ่งขยับตัวอย่างไม่สบายใจอยู่ในวงแขนตนเอง ก่อนจะซบใบหน้าเข้ากับเรือนผมนุ่มของนางแล้วสูดกลิ่นหอมที่ทำให้หลงใหลเข้าไปเต็มปอด
“ปล่อยเถอะค่ะ..
ข้าอยากจะกลับฐานแล้ว”
“ทำไม่ได้”
เขาหมายความว่ายังไง..
นาทีนั้นจิสึรุตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว
แม้ว่าสัมผัสอ่อนโยนจากมือใหญ่ที่ยกขึ้นลูบศีรษะนั้นจะทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่คำตอบของเขาก็ยังคงทำให้นางวิตกกังวลอยู่ดี ในขณะที่สมองสั่งการว่าควรจะรีบหนีให้ห่าง
ทว่านางกลับพบว่าอะไรบางอย่างบอกว่านางจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของคนๆนี้ จิสึรุไม่รู้ว่าเสียงฝนที่เทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นจะกลบเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงของตนเองได้รึไม่ ทว่าคำปลอบโยนจากเขากลับทำให้นางรู้สึกสงบใจลงได้อย่างน่าประหลาด
“ไม่ต้องกลัว..
ที่บอกว่าทำไม่ได้นั้นก็เพราะว่าหากข้าพาเจ้ากลับไปส่ง พวกนั้นก็จะตามไปราวีเจ้าอีก
ตราบใดที่เจ้ายังมีกลิ่นของข้าติดตัวอยู่มันจะไม่มีวันรามือจากเจ้า”
“ยังไงหรือคะ ข้ายังไม่เข้าใจเลย ตั้งแต่ตอนที่ถูกจับมาพวกนั้นก็เอาแต่พูดกันเรื่องนี้”
“เพราะข้าให้เจ้าขึ้นหลังในวันนั้น
เราอยู่ใกล้ชิดกัน..
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีกลิ่นติดตัวเจ้าไป
ขอโทษนะ
ที่นั้นกลายเป็นการโยนเรื่องยุ่งๆเข้าใส่เจ้า”
จิสึรุไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้ยินคำขอโทษออกจากปากของคนๆนี้ ที่ผ่านมาชิรานุอิ
เคียวในความคิดคำนึงของนางคือยักษ์หนุ่มที่ป่าเถื่อนดุดัน ดีแต่ใช้กำลังและเพลิดเพลินใจกับการได้ไล่ล่าสังหารผู้คนอย่างเลือดเย็น
ทว่าความจริงที่นางค้นพบกลับกลายเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
“แล้ว.. เราต้องทำยังไงต่อไปคะ
หลบซ่อนตัวอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้วจะรอดหรือ”
“ไม่มีทางรอด”
เขาตอบทันทีทันใด “เผ่าพันธุ์ของแม่ข้ามีประสาทสัมผัสในการรับรู้ที่ไวมาก
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องกลิ่น รวมทั้งความสามารถในการใช้วิชาอาคมที่ไม่เป็นรองใคร ขณะที่พวกยักษ์จะได้เปรียบเรื่องพละกำลังและความเร็วที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไงก็ตาม..
เมื่อถึงเวลาต้องต่อสู้กันแล้วก็ยังยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้มีชัย”
“ตัวข้านั้นโชคดี..
หรือจะเรียกว่าโชคร้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน
ที่ได้รับการถ่ายทอดความสามารถเหล่านี้มาจากทั้งพ่อและแม่อย่างละนิดละหน่อย นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกนั้นทำอะไรข้าไม่ได้”
“ถ้างั้นก็ต้องถือเป็นโชคดีใช่มั้ยคะ” จิสึรุถามอย่างไม่แน่ใจ และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเศร้าๆของเขาหัวใจนางก็กระตุกวูบด้วยความสงสาร
ที่ผ่านมาเขาคงถูกกีดกันจากสังคมของทั้งทางพ่อและแม่ คนๆนี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานเพียงใดนะ
“เจ้าคงไม่เข้าใจสินะ..
คำว่าลูกครึ่งที่ใครต่อใครพากันรังเกียจน่ะ” ชิรานุอิ
เคียวไม่ได้ถือสาคำพูดไร้เดียงสาของสาวน้อย และเมื่อสังเกตเห็นหยดน้ำฝนที่เริ่มซึมเข้ามาทางปากโพรงเขาก็ดึงนางขึ้นมานั่งซ้อนบนตักแล้วกอดไว้เพื่อให้อบอุ่น
“ข้าอาจจะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมเช่นแม่ข้า
แต่ก็ปราศจากความสามารถในการใช้อาคมเยี่ยงเผ่าพันธุ์ของนาง ขณะเดียวกันข้าก็ได้รับพละกำลังและความว่องไวมาจากพ่อของข้าด้วย
แต่ก็ไม่ได้รับการสืบทอดพลังที่แท้จริงในการคืนร่างมาจากเขา”
..ไปให้พ้นหน้าข้า..
ไอ้ตัวพิกลพิการ...
“ข้าเป็นยักษ์ที่ไม่มีร่างที่แท้จริงของยักษ์
และเป็นปีศาจที่มีพลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
กับการที่ต้องติดอยู่ตรงกลางและเป็นที่รังเกียจของทั้งพ่อและแม่แบบนี้เจ้ายังคิดว่าข้าโชคดีอยู่อีกหรือ”
สายฝนซาลงแล้ว..
ความชุ่มชื้นพาให้กลิ่นดินและใบไม้ใบหญ้าหอมกรุ่นกำจายไปทั่ว
จิสึรุหวังว่าความสงบเงียบหลังฝนจางจะช่วยเยียวยาความรู้สึกในใจของผู้ชายคนนี้ให้เบาบางคงบ้าง เพราะนางรู้ดีว่าตนเองไม่อาจทำได้ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของชิรานุอิแล้วเด็กสาวก็จำต้องนิ่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เขารู้สึกดีขึ้น อันที่จริงนางรู้สึกเจ็บปวดแทนเขา.. เมื่อลองนึกย้อนกลับมาที่ตนเองแล้วถึงแม้นางจะไม่มีแม่แต่ก็ยังมีพ่อที่รักและเอ็นดูนาง
จิสึรุนึกไม่ออกจริงๆ
ว่าการที่ไม่มีใครสักคนอยู่เคียงข้างนั้นมีรสชาติเป็นเช่นไร และเขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน ..ด้วยตัวคนเดียว
“ชิรานุอิซังทำได้ยังไงคะ”
ยักษ์หนุ่มหลุดจากภวังค์เมื่อสาวน้อยในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นถาม นัยน์ตากลมโตของนางฉายแววอ่อนโยนมากขึ้น และเขารับรู้ได้.. นางกำลังสงสารเห็นใจเขา
“ไม่ต้องมาสงสารข้าหรอก”
เขาบอกเสียงเรียบราวกับว่าความทรงจำที่ผ่านมาในวัยเยาว์ไม่มีคุณค่าอะไร
พวกมันไม่ส่งผลอะไรต่อเขาอีกต่อไปแล้ว
“เราต้องเข้มแข็ง”
เขาตอบ “ในเมื่อไม่มีใครที่พร้อมจะคอยพยุงเจ้ายามที่หกล้มก็ต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยขาของตนเอง เรียนรู้ที่จะเคารพนับถือตนเอง จากนั้นเจ้าจะได้เห็นเองว่ายังมีหนทางเดินรออยู่ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร.. จะมีชาติกำเนิดเช่นไรก็อย่าให้ใครมาบงการได้
ข้าไม่เคยคิดเลยสักครั้งเดียวว่าตนเองต่ำต้อยสมควรตายอย่างที่พวกนั้นพร่ำบอกอยู่ทุกๆวันเมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก เพราะข้ารู้มากกว่านั้น.. ว่าข้าคือหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน ดังนั้นจึงไม่เคยหวังจะให้ใครมาเข้าใจ แต่ว่าตอนนี้...”
ยักษ์หนุ่มประคองใบหน้างามไว้ในฝ่ามือขณะที่ก้มหน้าลงไปหา แล้วปัดริมฝีปากผ่านหน้าผาก เรียวแก้ม
และริมฝีปากนางอย่างไวๆก่อนจะยืดกายขึ้น
และแล้วความอ่อนโยนก็เลือนหายไปแทนที่ด้วยสีหน้ากระด้างดุดันอย่างที่จิสึรุเคยเห็นจนชินตา ชิรานุอิ
เคียวบังร่างน้อยไว้ข้างหลังขณะที่ชะโงกหน้าออกไปเบื้องนอกแล้วสูดดมกลิ่น ขณะที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดตื่นตัวอย่างรุนแรง
“รอข้าที่นี่
แล้วอย่าออกมาเป็นอันขาด”
เขาออกคำสั่งเสียงแข็งโดยไม่สนใจจะอธิบายรายละเอียดใดๆแล้วกระโจนลงสู่พื้น
ด้วยรู้ดีว่าเวลานี้การอยู่ห่างจากนางคงจะดีที่สุด
“หลบมาอยู่นี่เอง..
ไอ้เด็กตัวแสบ” เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ห่างออกไปนัก พร้อมด้วยร่างซึ่งแลเห็นเป็นเงาจางๆปรากฏกายขึ้นทีละคนๆราวกับภูติผี จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง สาม
และสี่ จนในที่สุดก็มีมากถึงสิบ
เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้ว..
พวกนี้คือมือสังหารประจำหมู่บ้านของเขา
ชิรานุอิ
เคียวได้แต่ยิ้มเศร้าๆ
เมื่อตระหนักได้ว่าครั้งนี้ตนคงไม่อาจละเว้นคนเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่นางยังอยู่กับเขาเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นคู่ของเขารึไม่ก็ไม่แตกต่างกัน พวกมันจะไม่มีวันละเว้นนาง หากถูกพบตัวนางจะถูกฆ่าทันทีด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่สมองกลวงๆของพวกมันจะนึกออก ..ไม่ต้องสงสัยเลย
“คู่ของเจ้าอยู่ที่ไหน!”
“อยู่ที่นี่”
เขาตบลงบนอกด้านซ้ายของตนเองแล้วแสยะยิ้ม
“ถ้าอยากได้ก็มาควักเอาไปสิ
แต่อย่าคิดนะว่าจะง่าย”
“อย่ามาทำเล่นลิ้นนะ
ไอ้ตัวโสโครก!
เราจะจัดการกับเจ้าก่อนจากนั้นก็ตามด้วยนาง..”
“จะจัดการกับข้าน่ะไม่เป็นไรหรอกท่านน้า.. แต่นางไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้และข้าจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับนางอย่างเด็ดขาด” ชิรานุอิเน้นเสียงเข้มขึ้นตรงท้ายประโยค ขณะที่โทสะพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง..
ดีไม่ดีป่านนี้นางอาจกำลังอุ้มท้องลูกของเจ้าอยู่แล้วก็เป็นได้”
ทว่าคนถูกเรียกหาเป็นน้ากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ญาติสนิทควรทำ
เมื่อทันใดนั้นทัศนวิสัยรอบด้านก็พลันมืดครึ้มพร้อมด้วยประกายแปลบปลาบบนท้องฟ้า ขณะที่คนอื่นๆเริ่มขยับตีวงเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
มันคือการตั้งข่ายมนตร์โบราณที่มีแต่เผ่าพันธุ์ของแม่เขาเท่านั้นที่สามารถทำได้
ทว่าเขาก็เห็นมุขปาหี่พรรค์นี้มาตั้งแต่เริ่มหัดคลานแล้วนี่นะ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกญาติๆพยายามจะแสดงความเอ็นดูเขาด้วยการปลิดลมหายใจเขา
ถ้าไม่นับเรื่องที่ถูกมารดาแท้ๆบีบคอจนเกือบขาดใจตายตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้เพียงสี่ขวบ
รวมทั้งถูกทุบตีอย่างทารุณและจับโยนลงมาจากที่สูงเพื่อจะทิ้งเอาไว้ให้ตายแล้วล่ะก็..
ชิรานุอิก็คงจะเป็นเด็กที่มีความสุขและเติบโตมาท่ามกลางความรักใคร่เอ็นดูของวงศาคณาญาติอย่างแท้จริงเลยเชียว ช่างน่าซาบซึ้งใจเสียนี่กระไร
“แต่พอกันที”
พริบตานั้นยักษ์หนุ่มก็ดีดกายขึ้นจากพื้นดิน
เพียงเสี้ยววินาทีที่เกิดการระเบิดรุนแรงขึ้นในจุดที่ตนเคยอยู่ซึ่งบัดนี้แปรสภาพเป็นหลุมลึกไปแล้ว
..มันเริ่มแล้ว.. คำๆนี้ดังก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจเขา ขณะที่แววกระหายเลือดปรากฏขึ้นในดวงตา ชิรานุอิ
เคียวม้วนร่างกลางอากาศแล้วชักปืนสั้นคู่ใจออกมาก่อนจะร่อนลงยืนบนกิ่งไม้แล้วเหนี่ยวไก เขาย่อมรู้ดีที่สุด.. ว่าการสังหารแบบใดที่จะทำให้พวกญาติๆอารมณ์เสียได้ แน่นอนว่าการใช้อาวุธของมนุษย์ก็จัดอยู่ในอันดับต้นๆนั้น
..ปัง!...
เสียงปืนแผดคำรามขึ้นสี่นัดซ้อนพร้อมด้วยร่างสีดำที่ล้มลงขาดใจตายเท่ากับจำนวนกระสุน
ยักษ์หนุ่มขยับลูกโม่แล้วบรรจุกระสุนชุดใหม่ด้วยท่าทางใจเย็น ก่อนจะพลิกกายหลบการโจมตีจากสมาชิกที่เหลืออยู่ พวกเขาคืนสู่รูปร่างดั้งเดิมของตนเองพร้อมด้วยความเกรี้ยวกราดก่อนจะแผดเสียงลั่นเพราะความสูญเสีย แน่ละ..
ก็ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดตอบโต้จริงจังมาก่อนเลยนี่นะ
ถึงแม้จะสังหารมนุษย์มามากมายจนนับไม่ถ้วนแต่ชิรานุอิก็พึงระลึกอยู่เสมอว่าพวกตนมีสายเลือดเดียวกันจึงไม่เคยทำอะไรรุนแรง แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดกับตนเช่นนั้นก็ตาม ทว่าเวลานี้ไม่อีกต่อไปแล้ว.. นี่เป็นเวลาที่เขาพร้อมจะฆ่าทุกชีวิตที่ขวางหน้า
..ทุกชีวิตที่มีแนวโน้มจะเป็นภัยคุกคามต่อยูคิมุระ จิสึรุ
....................................................
ใกล้ค่ำแล้ว..
ขณะที่ชิรานุอิ
เคียวขึ้นจากน้ำหลังจากที่ชำระล้างคราบโลหิตบนร่างกายจนสะอาด ยักษ์หนุ่มใช้เสื้อของตนเองแทนผ้าเช็ดตัว
ขณะที่เงยหน้ามองขึ้นไปยังที่ซึ่งตนซ่อนเด็กสาวเอาไว้
เขาไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่จะขุดหลุมฝังซากศพที่เกิดจากน้ำมือตนเอง มิใช่เพราะพวกมันสมควรจะอุทิศร่างเป็นอาหารสัตว์ป่ามากกว่าที่ควรจะได้รับเกียรติจากเขา หากเป็นเพราะจิสึรุกำลังรอเขาอยู่ ป่านนี้นางคงกำลังหวาดกลัวที่เขาไม่กลับไปหา
ชิรานุอิประโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะก่อนจะกระโจนต่อไปยังกิ่งที่สูงขึ้นๆจนกระทั่งถึงที่ซ่อนในที่สุด
“ข้ากลับมาแล้ว”
เขาคิดว่าจิสึรุจะโล่งใจที่ได้เห็นเขากลับมา ทว่านางกลับต้อนรับเขาด้วยเสียหวีดร้องแหลมเสียจนทำให้เขาหูชา
เด็กสาวรีบยกมือขึ้นปิดตาตนเองพร้อมด้วยใบหน้าแดงก่ำ และยังต้องใช้เวลาอีกเป็นครู่ชิรานุอิจึงได้เข้าใจ
“อะไรกัน..
เจ้าไม่เคยเห็นผู้ชายเปลือยหรอกหรือ”
ดูเหมือนคำถามนั้นจะยิ่งเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟเมื่อนางกระถดกายหนีเขามากกว่าเดิม
ยักษ์หนุ่มได้แต่ถอนหายใจด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาเองก็ไม่มีปัญญาจะไปหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยนในตอนนี้เสียด้วยสิ ชิรานุอิไม่อาจเสี่ยงพานางกลับไปยังที่พำนัก.. เพราะคาซามะ
จิคาเงะอาจไม่ยอมปล่อยนางไป
และในขณะที่นางมีกลิ่นของเขาติดกายอยู่เช่นนี้
ต่อให้เป็นผู้นำเผ่ายักษ์ตนนั้นก็ยังไม่อาจปกป้องนางไว้ได้หรอก
“เอาล่ะ..
หันกลับมาได้แล้วถ้าเจ้าอยากจะออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ข้าจะถอดเสื้อผ้าออกให้หมดทุกชิ้นเลยนะ”
“ไม่! ..อย่าถอดนะ!!”
ในที่สุดจิสึรุก็ยอมลืมตาขึ้นแล้ว
สาวน้อยหันหน้ากลับไปหาเขาก็จริงแต่ก็เอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้ามองพลางคิดด้วยความน้อยใจ ..ที่ผ่านมานางทำอะไรผิดมากนักหรือ.. จึงต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ จู่ๆก็ได้เห็นผู้ชายเปลือยกายเสียเช่นนี้แล้วต่อไปนางจะออกเรือนได้ยังไงกัน
“เงยหน้าขึ้นสิ”
“พะ.. พอทีเถอะ
ข้าอยากกลับฐานจะแย่แล้ว”
“งั้นจูบข้าก่อน..”
“อะไรนะ!”
อารามตกใจ จิสึรุเงยหน้าขึ้นมองเขาในที่สุด แล้วนางก็ได้เห็นรอยยิ้มยียวนตามแบบฉบับของเขา
ไม่.. ไม่มีทาง..
ถึงแม้ชิรานุอิซังจะทำให้นางใจเต้นได้
แต่นางจะไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด
“ไม่จูบรึ.. ดี ถ้างั้นเราก็ค้างคืนกันที่นี่แหละ” ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายทำท่าไม่สนใจนางก่อนจะเอนกายลงนอน และนั่นทำให้เด็กสาวต้องสะดุ้งเฮือกแล้วโถมเข้ากระชากแขนเขาสุดกำลัง เพียงเพื่อจะได้พบว่ามันไม่ต่างอะไรกับการพยายามขยับหินก้อนใหญ่ๆสักก้อน
“ไม่นะ!
ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”
และก่อนที่สาวน้อยจะทันได้คะยั้นคะยอหรือหมดเปลืองเวลาไปกับการหว่านล้อมอีกหลายคำ
ชิรานุอิก็พลิกร่างกลับมาแล้วกระชากร่างงามเข้ามาในวงแขนโดยที่นางไม่ทันรู้ตัว
เขาก้มลงจูบนางฟอดใหญ่ขณะที่จิสึรุตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
“ตกลง..
ข้าจะพาเจ้ากลับไป
ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นน่า ข้าเพียงแต่ล้อเล่นนิดเดียวเท่านั้นเอง”
ยักษ์หนุ่มยันกายขึ้นนั่งพร้อมกับดึงเด็กสาวให้ลุกตามก่อนจะโอบร่างนางเข้ามาแนบชิด
แต่แล้วจู่ๆเขาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ชิรานุอิ
เคียวแตะปลายคางสาวน้อยให้เงยหน้าขึ้นมองและนั่นเป็นอีกครั้งที่เขาทำให้นางตกตะลึง.. จิสึรุพบว่าตนเองกำลังจ้องมองนัยน์ตาคมวาวที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวจริงจัง
มิใช่แววล้อเล่นอย่างเมื่อครู่หรือแววกระหายเลือดอย่างที่นางเคยเห็นยามที่เขาต่อสู้กับคนอื่นๆ
“ที่ผ่านมาข้าได้แต่นึกรังเกียจความครึ่งๆกลางๆของตนเอง แต่ถ้าหากว่ามันปกป้องเจ้าได้เพียงเท่านั้นข้าก็ดีใจที่สุดแล้ว แต่ว่ามีเรื่องอยากให้เจ้าจำไว้อย่างหนึ่ง..”
เขาหยุดคำเพื่อสังเกตดูสีหน้านาง “แม้ว่าวันนี้ข้าจะสังหารไปแล้วนับสิบชีวิตแต่พวกนั้นจะไม่มีวันเลิกรา เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดรึเปล่า” ยักษ์หนุ่มถอนหายใจเมื่อได้เห็นสีหน้างุนงงของเด็กสาว
“นั่นหมายความว่าต่อไปนี้ชีวิตของเจ้าจะตกอยู่ในอันตรายไม่มีที่สิ้นสุด” ชิรานุอิกุมมือเล็กข้างหนึ่งไว้แนบอก
พลางสัมผัสได้ถึงความกลัวของเด็กสาวพร้อมด้วยเสียงหัวใจที่เต้นระรัว เขาสูดหายใจลึกแล้วหลับตาลงอย่างชั่งใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองนางอีกครั้ง
“เจ้าพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างข้าหรือเปล่า”
“..ข้า...” จิสึรุเบือนหน้าหลบสายตา ทั้งๆที่นางไม่ควรจะเสียเวลาคิดและตอบปฏิเสธเขาไปให้ชัดเจนตั้งนานแล้ว ทว่าหัวใจที่สั่นสะท้านของนางยังรีรออยู่ นี่นางกำลังลังเลใจอยู่งั้นหรือ จะทำอย่างไรดี..
“เจ้ากำลังเขินอาย
..ถ้าเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับข้า”
ชิรานุอิ
เคียวหมดความอดทนในที่สุดและไม่คิดจะรอคอยอีกต่อไป
เขารวบร่างนางขึ้นพาดบ่าแล้วขยับเข้าไปใกล้ปากโพรงก่อนจะกระโดดลงไป
“แต่เวลานี้ข้ายังไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเจ้า เราจำเป็นต้องมีที่ทางที่ห่างไกลจากสายตาของพวกมนุษย์ ยักษ์
และปีศาจ ดังนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังที่ที่จากมาก่อน.. ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น”
“เมื่อข้าพร้อมจะกลับไปขโมยตัวเจ้ามา
ไม่ว่าเจ้าจะยอมรึไม่ก็ตาม”
“ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้นล่ะ..
นี่ข้ากำลังขอให้เจ้ามาเป็นคู่นะ
ยังมีอะไรไม่น่าพอใจอีกหรือ”
~End~
------------------------------------------------
จบลงเเล้วสำหรับซีรีย์นี้ จากนี้ไปจะเป็นรีเควสจากคนอ่านในหัวข้อที่ว่า..
หากหนุ่มๆพวกนี้มีลูกจะเป็นยังไง ถ้าสนใจก็ติดตามกันได้นะคะ^ ^
ปกติตอนดูเรื่องนี้ แทบไม่เคยสนใจผู้ชายคนนี้เลย
ตอบลบแต่พอได้มาอ่านฟิกแล้ว.....
จะเท่ไปไหนค๊าาาา ชิรานุอิซัง~ XD
#1 By Seii on 2011-11-07 00:29
-----------------------------------------
นั่น สิน้าา ปกติไม่ค่อยมีใครสนใจชิรานุอิจริงๆด้วย ตอนที่ตัดสินใจจะให้เค้ามาเป็นพระเอกของเรื่องที่5นี้ ความลำบากคือเเม้เเต่รูปที่พอจะดูได้ก็ยังหาไม่ค่อยมี(เพราะมันมีเเต่รูปทำ หน้าขี้โกงทั้งนั้นเลย - -*)
เเต่ถ้าคนอ่านชอบใจเเละเห็นว่าเค้าที่มูนก็ดีใจเเล้วค่ะ
#2 By ~Moondrop~ on 2011-11-07 11:59
------------------------------------------
อึก เห็นครั้งแรก อีตานี่เรอะ อร้ายยยถูกสเปกค่ะ ชอบค่ะชอบ
ก็ว่าอยู่ จะเขียนใครหว่า พอเห็นเป็นชิรานุอิ ก็คิดว่าโอเค อีตานี่ล่ะเหมาะล่ะ น่าอ่านแน่ๆ
อ่านไป อืม คาแรกเตอร์กวนอ่ะ ชอบ แบบนี้ก็เท่นะเท่มากก
ดูแล้วพี่เขาเท่ บวกหื่นนิดๆแฮะ ยิ่งอ่านยิ่งปลื้ม ไม่เหมือนซาโนะตรงที่เค้าจะกวนบาทาเท่านั้นเอง แอบหื่นคล้ายๆกันเรยย คิดว่าตรงนะค่ะนิสัยเจ้าตัวนี่ เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ แต่เอาจริงเอาจัง แต่ก็กวนโอ๊ย เอาจริงๆคือพอมาอ่าน ตกหลุมรักซะแล้วแฮะ55555
อ่านตรงถึงรอบเดือน ขำค่ะ ขำก๊าก ขำกลิ้งลงไปกองกับพื้น นึกหน้าแต่ละคนออกเลยง่ะ มันต้องเอ๋อๆกันประมาณนี้แน่ๆเรยยย ก็ผู้ชายนี่นา อยากดูเเหมือนกันนะว่าถ้าพวกหนุ่มๆไปซื้อของแบบนี้ด้วยจะทำหน้ายังไงกัน หว่า555 ฮาแน่ๆๆ
พอมาหลังๆ อุว้าย น่าร้ากไปไหนล่ะนั้น นายนี่ก็มือไวเหลือเกิน5555 ทะลึ่งหน่อยๆแฮะ ชิรานุอิ ง่า ถ้ามีหนุ่มๆมาปกป้องแบบนี้เราก็ชอบนะ
พอมาถึงตอนจบ เฮือก เลือดหมดตัว มัดมือชกด้วยอิจฉาจิซึรุมาก รับคำสิจ้ะ รับคำเค้าไปเซ่ (ใส่อารมมาก5555)
ชอบคำพูดตอนจบมากๆค่ะ คิดได้ไงอ่า โดนใจมาก
ส่วนเรื่องติชมนะค่ะ
อานนี้อ่านแล้วลื่นค่ะ ไม่ติดเลยค่ะ บทบรรยายกับบทพูดลงตัวดีค่ะ
แต่จะขอลองแนะนำอยางนึงนะค่ะ ถ้าเป็นประโยชน์เราก็ดีใจนะค่ะ
ช่วงระหว่างบทบรรยาย คุณมูนจะรวมสิ่งที่ตัวะครคิดลงไปด้วยในย่อหน้านั้นใช่มั้ยค่ะ บางทีถ้าลองตัดมาเป็นบรรทัดใหม่แล้วลองเน้นประโยคตรงนั้นดู ก็ทำให้มันเด่นขึ้นมาได้นะค่ะ อืม บางทีทำให้ตื่นเต้นขึ้นด้วย5555
แต่โดยส่วนตัว แอบปลื้มชิรานุอิมานานแล้วค่ะ ตั้งกะสู้ร่วมกะซาโนะในฮาคุโอกิภาคสอง
สรุปคือ พอยิ่งมาอ่าน ยิ่งชอบค่า
เค้าจารอรีเควสอย่างใจจดใจจ่อนะค่ะ5555
#3 By Yushi_Res on 2011-11-07 21:37
--------------------------------------------
ต้องเป็นประโยชน์เเน่นอนค่ะ ^ ^
ความคิดเรื่องการเเบ่งสัดส่วนระหว่างบทบรรยายกับความคิดตัวละครนี้ มูนเคยทำมาก่อนเเ้ล้วในฟิคเรื่องเก่าๆค่ะ ส่วนในเรื่องนี้สาเหตุที่พยายามจะจัดให้อยู่ในย่อหน้าเดียวกันก็เพราะห่วง เรื่องความต่อเนื่อง+ลื่นไหล เเต่ก็จะลองปรับปรุงเเก้ไขอีกครั้งสำหรับรีเควสต่อไปนะคะ คราวนี้จะพยายามให้เเยกจากกันให้มากกว่านี้ค่ะ
ชิรานุอิเป็นตัวละครที่มีรายละเอียดน้อยมากๆ ทั้งในเรื่องนิสัย บุคลิคที่อยู่นอกเหนือจากเวลาที่ตีกับชาวบ้าน ในตอนเเรกมูนก็คิดไม่ออกจริงๆว่าเวลาตานี่พูดคุยกับผู้หญิงจะเป็นยังไง มันควรจะใช้คำว่าคำรามเเทนพูดรึเปล่า+สาวๆจะกลัวมันจนหนีเตลิดมั้ย เเถมบทถึงเนื้อถึงตัวมันจะทำเขาตกใจตายก่อนรึเปล่า เพราะดูๆไปเเล้วชิรานุอิไม่มีความละมุนละไมเลย ยังไม่ต้องพูดถึงความอ่อนโยนด้วยซ้ำ
ไปๆมาๆเลยออกมาในเเนวกวน+ทะลึ่งทะเล้น ที่มักจะมือไวใจเร็วไปหน่อย+มีเหตุให้ต้องกอดจิสึรุเเล้วโดดไปโน่นมานี่เเทบ ตลอดเรื่อง เเต่ขณะเดียวกันยามที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูชิรานุอิก็ยังโหด100%เหมือนเดิม (ส่วนตัวคิดว่างั้นนะ)
สารภาพว่าตอนที่เลือก+หาภาพของตานี่เป็นอะไรนี่หายากมาก ไม่ใช่ว่ามีภาพน้อย เเต่เป็นเพราะภาพที่ดูใช้ได้พอที่จะเป็นพระเอกน่ะเเทบไม่มีเลย 555
เเต่สุดท้ายก็เจอจนได้จากภาค ova ไม่งั้นคนอ่านคงได้เห็นพระเอกขี้โกงเเน่ๆ เเละคงป็นคนเเรกเเละคนเดียวของซีรีย์นี้เลยที่ขี้โกง+ร้ายกาจเเบบนี้
#4 By ~Moondrop~ on 2011-11-08 00:43
------------------------------------------
มาคิดดูอีกทีก็จริงแฮะ บางที ใส่ไว้ในย่อหน้าเดียวกันก็ลื่นเหมือนกันเนาะ
เพราะส่วนใหญ่เราเองจะใช้เยอะก็เลยลืมดู
คิดว่าคงต้องเอาไปเน้นส่วนที่อยากเน้นมากกว่า
ลองเอากลับไปใช้มั่งดีก่า55555
จริงๆภาพในOVA ดูเป็นพระเอกมากๆเลยนะค่ะ เท่มาก เพราะรู้สึกว่าเจ้าตัวเท่ขึ้นจมเลย มีตอนที่หกของภาคสองนั่นก็เม่นะค่ะ สำหรับเราแล้วฮุฮุ
#5 By Yushi_Res on 2011-11-08 12:37
โดย ส่วนตัวเเล้วมูนคิดว่าเราต้องการให้น้ำหนักของเเต่ละประโยคไม่เท่ากันค่ะ เเล้วบางทีไม่ใช่ทุกความคิดของตัวละครที่จำเป็นต้องเน้น ดังนั้นเราน่าจะเน้นเฉพาะจุดจริงๆ เพื่อให้มันน่าสนใจน่ะค่ะ
ตอบลบสำหรับตานี่น่ะนะ ถ้าดูจากอนิเมอย่างเดียวเเล้วเอามาเขียนฟิคเเทบจะนึกไม่ออกเลยว่าจะมาลงเอย กับนางเอกได้ยังไง ยอมรับว่าตอนที่5นี้ใส่สี+เเต่งเรื่องใหม่เข้าไปเยอะกว่าตอนที่ผ่านๆมามาก เเทบจะเรียกได้ว่าเอามาใช้เเค่ชื่อตัวละครเท่านั้นเลย ดังนั้นถ้าคนอ่านชอบก็ดีใจเเล้วค่ะ^ ^
ปล.. เเอบขัดใจตอนจบค่ะ เพราะเขียนเเล้วเเก้อยู่2-3ครั้ง จนถึงป่านนี้เเล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้ดั่งใจอยู่ดี
#6 By ~Moondrop~ on 2011-11-08 22:38
-------------------------------------------
ต้องยอมรับว่าดูฮาคุโอกิมาไม่ได้สนใจชิรานุอิเลย =A=''
เเต่ก็ไม่ใช่คาเเร็คเตอร์ที่ลืมไปนะ!! จริงๆก็เป็นพวกคลั่งกลุ่มชินเซ็นกุมิมานานเเล้ว(ตั้งเเต่ม.2เห็นจะได้ตอนนี้จะจบม.ปลาย=A=)
จำได้ว่าเห็นชิรานุอิในรูปเเบบของ peace maker เเล้วรู้สึกว่าเป็นคนกวนๆ เเต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร พอมาเห็นในเรื่อง Hakuouki ก็รู้สึกว่ารูปลักษณ์จะดูดีขึ้นเยอะมว๊ากกกก!!
แต่ก็ยังไม่อยู่ในสายตา
เเต่พอ่านฟิคจบปุ๊บ!! จากนี้ชิรานุอิคงจะอยู่ในความทรงจำในสายตาไปอีกนาน =.,=
-------
นับวันภาษก็ยิ่งสวยขึ้นนะ ทั้งสวย ทั้งเรียบง่าย ไม่ยากที่จะเข้าใจ ยังบรรยายได้สุดยอดเหมือนเดิม
ในตอนนี้รู้สึกว่าภาษาจะดูมีพลังมาก ถึงในบทอ่อนโยนข้าพเจ้าจะคิดว่ามันมีพลังอยู่ก็ตาม _ _|||
พล็อตเรื่องนี้ขอบอกตามตรงนะคะว่าสุดยอดมาก!!! ประโยคที่ว่า
"เมื่อข้าพร้อมจะกลับไปขโมยตัวเจ้ามา ไม่ว่าเจ้าจะยอมรึไม่ก็ตาม"
มันเป็นประโยคจับใจของเรื่องสินะคะ อ่านเเล้วรู้สึกมีพลังจริงๆ ดูเเล้วสมเป็นยักษ์ เเตก็ยังให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและเเน่วเเน่เด็ดเดียว
เป็นตัวละครที่คาดไม่ถึง... เเละยังเป็นพล็อตเรื่อง
ที่คาดไม่ถึงจริงๆ อยากจะทำโล่เเจกซักที >W<
#7 By ~[H]saina chan~ on 2011-11-28 01:35
-------------------------------------------
ดีใจที่ทำให้ชิรานุอิดูหล่อขึ้นได้ค่ะ ^///^
ส่วนตัวเเล้วคิดว่าสิ่งที่ทำให้ชิรานุอิมีเสน่ห์ก็คือความเข้มเเข็งเเละไม่ย่อท้อนี่เเหละ
>>“เราต้องเข้มแข็ง” เขาตอบ “ในเมื่อไม่มีใครที่พร้อมจะคอยพยุงเจ้ายามที่หกล้มก็ต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยขาของตนเอง<<
ทั้งๆที่ถูกเหยียดหยามจากรอบข้างเเต่ก็ยังยืนหยัดต่อสู้มาตลอด เเละตรงนี้เองที่ทำให้หัวใจของจิสึรุไหวหวั่น ถึงเเม้จะยังไม่ได้ตกหลุมรักถึงขนาดยินยอมพร้อมใจไปทุกเรื่อง เเต่ก็เกิดความประทับใจขึ้นเเล้วในส่วนลึกๆ เป็นความรู้สึกซึ่งรอวันที่จะพัฒนาไปเป็นความรักเเละเห็นดีเห็นงามในตัวของ คนๆหนึ่งได้
อีกเหตุผลหนึ่งที่น่าจะทำให้จิสึรุต้องหันกลับมามองชิรานุอิก็คือนิสัย อีกด้านหนึ่งของเขา ซึ่งหากไม่เข้ามาใกล้ชิดก็คงไม่รู้เลยว่านอกจากความบ้าระห่ำเเบบที่เห็นจน ชินตาเเล้ว ลึกๆยังเป็นคนมีน้ำใจเเละมีความอ่อนโยน+มนุษยธรรมต่อคนที่มีสายเลือดเดียว กัน (ถึงเเม้ว่าตอนหลังจะถูกสถานการบังคับให้จัดการญาติๆตัวเองหมดเกลี้ยงก็ เถอะ*0*)
มูนเองก็เชื่อเหมือนกันว่า ตอนลงท้ายของเรื่องนี้คงไม่พ้นการพาหนีเเน่ๆ
#8 By ~Moondrop~ on 2011-11-28 18:42
--------------------------------------------
อึ้ง =[]=!!!
ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีไอ้หมอนี่ด้วย
แต่แอบฮาที่สุดก็ตรงฉากที่โซจิล้มกลิ้นนอนหัวเราะนั่นแหละ
#9 By ♪ ๐PoupeE๐ ♪ on 2012-03-11 20:03
--------------------------------------------
หนุ่มคนนี้เป็นตัวละครลับค่ะ มูนคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ใครๆนึกไม่ถึงนะ ^ ^
ส่วนฉากประจำเดือนนั้น มูนว่าเป็นจุดที่ฮาที่สุดของเรื่อง ตอนที่เเต่งก็นั่งนึกภาพบรรดาหนุ่้มๆที่ยังไม่มีครอบครัว เเละไม่ค่อยได้คลุกคลีกับผู้หญิงว่าจะทำหน้ายังไง เเละก็ออกมาเป็นเเบบนี้เเหละ
#10 By ~Moondrop~ on 2012-03-12 22:17
Read more: http://moon-drop.exteen.com/#axzz21PmdgQb0 http://moon-drop.exteen.com/20111107/hakuouki-fic-one-side-of-memories-5th-memory-with-shiranui-k#ixzz22DroImyK
Under Creative Commons License: Attribution