มืดค่ำแล้วอย่าออกไปเล่นนอกบ้าน
ถ้าไม่เชื่อฟังพ่อแม่ระวังยักษ์น่ากลัวจะมาจับตัวไปนะ...
..กลัวแล้วล่ะสิ
“เฮอะ.. ข้าไม่ได้มีไว้ให้พวกเจ้าเอามาล้อเล่นนะ”
..ถ้ากลัวก็ต้องเป็นเด็กดี
ไม่งั้นจะถูกยักษ์จับไปจริงๆด้วย...
ทุกครั้งที่เผลอนึกถึงคำที่ผู้คนมักใช้ขู่เด็กๆให้เชื่อฟังซึ่งมักจะหนีไม่พ้นเรื่องของยักษ์ ภูตผีปีศาจ
หรือไม่ก็สิ่งมีชีวิตลึกลับซึ่งมักจะถูกพวกมนุษย์ใส่สีและปั้นแต่งให้ดูชั่วร้ายเกินจริงจนกลายเป็นเรื่องโกหกที่มักจะทำให้พวกเขากลายเป็นตัวประหลาดหรือไม่ก็ตัวแทนของความชั่ว มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้งที่นึกถึง
เขาเกลียดมันเป็นบ้า.. ทว่าดีที่เวลานี้ยังมีเรื่องอื่นที่ดึงดูดความสนใจเขามากกว่าจะมามัวเสียอารมณ์กับเรื่องเหล่านี้
นครเอโดะในยามดึกสงัดที่หิมะโปรยปรายเช่นนี้.. แม้จะปราศจากเงาผู้คนสัญจรไปมา ทว่าสำหรับเผ่าพันธุ์ของเขาแล้ว เวลา
สถานที่ หรือแม้แต่สภาพอากาศเลวร้ายก็มิใช่อุปสรรคแต่อย่างใด คาซามะ
จิคาเงะ
ผู้นำเผ่ายักษ์ซึ่งมีมนุษย์น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ถึงการคงอยู่ ร่อนลงเหยียบหลังคาสูงลิบของบ้านหลังหนึ่งอย่างไร้ซุ่มเสียงพร้อมด้วยสัมภาระห่อใหญ่ที่พาดอยู่บนบ่า นัยน์ตาสีทับทิมซึ่งเปล่งกระกายวาววามด้วยความพอใจกับผลงานของตนเองชำเลืองมองสิ่งที่ได้มาก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างลำพองใจ
..ในที่สุด..
“ความปรารถนาของข้าจะได้เป็นจริงเสียที”
สายลมยามดึกพัดมาวูบหนึ่ง..
ส่งผลให้มุมผ้าสำลีเนื้อนุ่มที่ห่อหุ้มอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างมิดชิดแง้มปลายออกเล็กน้อย เผยให้เห็นแก้มเนียนที่ถูกอากาศเย็นจัดจนกลายเป็นสีชมพูระเรื่อกับปอยผมสีเข้ม ถูกแล้ว.. สิ่งที่พาดอยู่บนบ่าของคาซามะในเวลานี้คือเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเขาใช้ความพยายามไม่ต่ำกว่าสามครั้ง เพื่อที่จะลักตัวออกมาจากสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพวกหมาบ้าที่พูดจาไม่รู้เรื่องและดีแต่เห่าเสียงดังหนวกหู และในที่สุดความพยายามก็ประสบผลสำเร็จจนได้.. เขาได้นางมาแล้ว และจะไม่มีวันปล่อยให้ห่างตัวอีกเลย
ยักษ์หนุ่มกระโดดลงจากหลังคาแล้วหายเข้าไปทางระเบียงห้องชั้นบนที่มืดสนิทพร้อมด้วยสาวน้อยที่จับมาได้ คาซามะวางเด็กสาวที่ยังสลบไสลไม่ได้สติลงกลางห้อง ก่อนจะยืดกายขึ้นแล้วหันไปจุดตะเกียง และทันทีที่มีแสงสว่างเกิดขึ้น
บานประตูห้องก็เลื่อนออกจากกันพร้อมด้วยชายชราผู้หนึ่งซึ่งค้อมศีรษะนิ่งอย่างสำรวมอยู่ที่นั่น
“นายท่าน..
กลับมาแล้วหรือขอรับ”
“ข้ากลับมาแล้ว”
เขาบอกอย่างเสียไม่ได้ขณะที่ลงมือแก้ห่อสัมภาระโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
คาซามะโยนผ้าทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแล้วประคองร่างเล็กแบบบางไว้ในอ้อมแขนก่อนจะพบว่าเด็กสาวตัวเย็นเฉียบ..
คิ้วบางขมวดมุ่นด้วยความกังวล บางทีเขาน่าจะดูแลนางให้ดีกว่านี้
“จัดเตรียมที่นอนด้วย แล้วบอกพวกข้างล่างให้เร่งขนฟืนขึ้นมาที่นี่”
“นายท่าน นางเป็น..”
“นางจะเป็นนายหญิงของพวกเจ้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
.......................................
ฟ้าใกล้สางแล้ว..
คาซามะขมวดคิ้ว
ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อสาวน้อยในอ้อมแขนกระดุกกระดิกตัว
ยักษ์หนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆก่อนจะก้มลงมองเด็กสาวที่ตนถือวิสาสะเข้าไปอุ้มออกมาจากฐานที่มั่นกลุ่มชินเซ็น เขาแตะหลังมือเข้ากับลำคอ เรียวแก้ม
และหน้าผากเนียนแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าอุณหภูมิในร่างนางสูงขึ้นแล้ว นางยังคงสิ้นสติเพราะฤทธิ์ยา
เนื้อตัวที่เย็นจัดเพราะถูกอากาศหนาวเมื่อตอนที่ถูกพาตัวมาที่นี่ทำให้คาซามะต้องหวนคิดถึงการกระทำของตนเอง แม้จะไม่ถึงกับนึกเสียใจ แต่ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาน่าจะเจรจากับนางดีๆอีกสักครั้งแทนที่จะใช้วิธีลักพาตัวมาแบบนี้ เพราะสตรีนางนี้.. ทำให้เขาต้องหัวปั่นและต้องการจนถึงกับลงทุนใช้วิธีการชั้นต่ำ ด้วยการวางยาสมาชิกกลุ่มชินเซ็นทั้งหมดแล้วจึงค่อยอุ้มตัวออกมาอย่างเงียบๆ เพราะนางคงจะไม่ยอมรับเขาแน่.. หากมารู้ภายหลังว่าเจ้าพวกนั้นถูกสังหารเรียบไม่มีเหลือด้วยน้ำมือเขา แม้ว่าใจจริงแล้วจะอยากทำเช่นนั้นมากแค่ไหนก็ตาม
แต่จะโทษว่าเป็นความผิดของเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกในเมื่อนางเป็นฝ่ายบีบให้เขาต้องทำเช่นนี้เอง เพราะทุกครั้งที่พบหน้ากันนางก็มักจะชักสีหน้าบึ้งตึงใส่เขา พร้อมด้วยสารรูปแบบเด็กกะโปโลซึ่งดูไม่ได้เอาเสียเลย ทว่าเวลานี้..
ยูคิมูระ จิสึรุในชุดนอนสีขาวสะอาดซึ่งปล่อยผมยาวสยายอิงแอบอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้
ค่อยดูสมกับเป็นสตรีที่มีค่าคู่ควรกับเขาขึ้นมาบ้าง
อันที่จริงเขาเองก็รู้ดีว่าไม่ควรรอช้า..
หากไม่รีบครอบครองนางเสียตอนนี้อาจมีปัญหาอื่นตามมาภายหลัง เป็นต้นว่า..
ผู้นำยักษ์ตระกูลอื่นๆที่ยังไม่มีคู่อาจจะได้กลิ่นนางเข้าและพยายามจะเปิดศึกแย่งชิง เพราะยักษ์เพศหญิงนั้นมีอยู่น้อยมาก โดยเฉพาะยิ่งถ้ามาจากตระกูลที่เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ด้วยแล้ว.. ดังนั้นจิสึรุจึงเป็นสิ่งล้ำค่าที่ยักษ์ผู้ชายทุกตนพร้อมจะลงมือทำศึกแย่งชิงมาเป็นคู่ ทว่าทั้งที่รู้ดี.. คาซามะก็กลับรีรออยู่ และทำเพียงแค่เฝ้ามองสีหน้ายามหลับใหลของว่าที่เจ้าสาวตัวน้อยท่ามกลางความมืดสลัว
เพราะมันจะไปสนุกอะไร หากจะลงมือทั้งๆที่นางยังไม่มีสติเช่นนี้ และถึงเจ้าพวกนั้นจะได้กลิ่นแล้วจะทำไม.. เมื่อในบรรดาสายตระกูลยักษ์ทั้งหมดนั้นเป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้ครองคู่กับสตรีที่ดีที่สุดและให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปที่แกร่งยิ่งขึ้นมิใช่หรือ
ทว่าบรรยากาศของความสงบตอนย่ำรุ่งกลับเลือนหายไปเมื่อจิสึรุรู้สึกตัวขึ้นในที่สุด คาซามะเฝ้ามองสาวน้อยขยับตัวก่อนจะปรือตาขึ้นช้าๆต้อนรับแสงอรุณแรกของวัน พลางคาดหวังจะได้เห็นการอาละวาดชนิด ‘บ้านแตก’ ที่อาจจะพอทำให้เขาเพลิดเพลินใจได้บ้าง
แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง..
ไม่มีการอาละวาดใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะไม่เข้าใกล้คำที่ว่าสักเท่าไหร่.. เมื่อเด็กสาวเพียงแต่สะดุ้งตามด้วยหน้าถอดสีเมื่อพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ก่อนจะผละหนีไปซุกอยู่ที่มุมห้องในสภาพสั่นระริกไปทั้งตัว
แทนที่จะเปิดฉากอาละวาดขว้างปาข้าวของอย่างที่เขาคิดว่านางจะทำ ยักษ์หนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ..
ถึงแม้จิสึรุจะมีกิริยาที่ดูค่อนข้างขี้อายและอ่อนแอไม่สมกับที่เป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ที่น่าภาคภูมิใจ ทว่าเขาก็กลับเลือกที่จะมองข้ามไป
…ถึงอย่างไรก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น
ที่จะ..
“คาซามะซัง!”
มือเล็กยกขึ้นปิดปากตนเองแน่นเมื่อแสงสว่างจากโคมกระดาษเผยให้เห็นโฉมหน้าของผู้จับตัวนางมา สาวน้อยไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรออกไปได้อีก ด้วยสภาพที่ชายหญิงอยู่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ในชุดนอนไม่อาจทำให้คิดเป็นอื่นไปได้ และนั่นส่งผลให้จิสึรุต้องคิดหนัก หรือว่าทุกอย่างจะสายเกินไปเสียแล้ว..
เมื่อนางฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนี้ในสถานที่ซึ่งไม่รู้จัก ความหวาดกลัวทำให้ร่างน้อยในชุดนอนขาวเบาบางถึงกับเข่าทรุด และนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มก็ยิ่งเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่นเมื่อบุรุษ ..ผู้ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกตนก้าวเข้ามาใกล้
จิสึรุคลำหาดาบสั้นคู่กายก่อนจะค้นพบด้วยความสิ้นหวังว่าตนเหลือเพียงชุดตัวใน ไร้สิ้นเขี้ยวเล็บจะต่อกรใดๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่วายรวบรวมความกล้าถามออกไป
“จะ.. จับข้ามาทำไม”
มือที่ยื่นเข้ามาหาชะงักค้างไปชั่วครู่ก่อนจะปล่อยให้ตกลงข้างลำตัว คาซามะ
จิคาเงะส่งเสียงหัวเราะแผ่วราวกับเห็นเป็นเรื่องขันพร้อมด้วยประกายสีทับทิมที่ระริกไหวอยู่ในแววตา
“นอนร่วมเตียงกับข้ามาตลอดทั้งคืนแล้วยังจะถามอีกหรือ ยังไม่รู้คำตอบอีกหรือไง”
นาทีนั้นยักษ์หนุ่มถึงกับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่เมื่อได้เห็นสีหน้าตกใจสุดขีดของสาวน้อย แต่แล้วก็ต้องใจหายวูบเมื่อแลเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามร่องแก้ม ใบหน้างามที่ฉาบด้วยรอยน้ำตาของนางทำให้คาซามะนิ่งงันคิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ นี่เขาเป็นอะไรไป..
แต่ไหนแต่ไรผู้ซึ่งได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์เช่นเขาไม่เคยลังเลหรือรู้สึกไม่มั่นคงมาก่อนเลย หากเวลานี้กลับรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบรัด เจ็บปวด
และความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนนั้นก็ทำให้คาซามะบังเกิดทิฐิ ยักษ์หนุ่มยืดกายขึ้นยืนตรงแล้วเลือกที่จะไม่สนใจกับอารมณ์อันละเอียดอ่อนซึ่งตนไม่รู้จักอีกต่อไป
“ร้องไห้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก..
เจ้าเป็นของข้าแล้ว
จากนี้ไปจงเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในฐานะนายหญิงของที่นี่เสียเถอะ”
สาวน้อยสะดุ้งเฮือก
เมื่อคำประกาศกร้าวนั้นตอกย้ำให้ตระหนักชัดว่าอะไรเป็นอะไร
และราวกับจะเป็นการอ้างสิทธิ์ในคำพูดของตนและทำให้จิสึรุได้เข้าใจสถานภาพของตัวเองดียิ่งขึ้น คาซามะคว้าข้อมือเรียวเล็กก่อนจะดึงร่างงามให้ลุกขึ้นยืนพลางรวบตัวเข้าสู่วงแขนโดยไม่ยอมให้นางมีโอกาสตั้งตัว
“ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับน้ำตาไร้สาระนั่น
ต่อไปนี้น้ำตาทุกหยดของเจ้าจะหลั่งเพื่อข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ..จำไว้ให้ดี”
เด็กสาวถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายแตะปลายคางให้เงยหน้าขึ้นรับจุมพิตร้อนผ่าวที่ประทับลงมาบนริมฝีปาก
“ไม่นะ..”
นางจะไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนี้แน่..
ทว่าจิสึรุก็ไม่อาจหลบเลี่ยงไปไหนได้
จึงทำได้เพียงแค่หลับตาปี๋แล้วกัดฟันแน่นเมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งยึดโคนผมที่ท้ายทอยนางไว้จนตึงเพื่อมิให้สะบัดหนีขณะที่อีกข้างโอบรัดอยู่รอบเอว ส่วนคาซามะเองก็ไม่ยอมผ่อนปรนให้เช่นกัน กรงนิ้วแกร่งบีบขากรรไกรสาวน้อยเพื่อให้เผยอริมฝีปากขึ้นแล้วแทรกปลายลิ้นเข้าสู่ภายในอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ รุกล้ำให้ยอมจำนน บังคับให้นางจดจำรสสัมผัสของบุรุษผู้ที่จะเป็นสามี ..บุรุษเพียงผู้เดียวที่จะถือสิทธิ์ในตัวนางนับจากนี้เป็นต้นไป ต่อเมื่อยักษ์หนุ่มได้ลิ้มรสหอมหวานจนเป็นที่พอใจแล้วนั่นแหละจิสึรุจึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง คาซามะตวัดปลายลิ้นไล้ไปบนกลีบปากนุ่มที่ถูกจูบจนแดงช้ำ ก่อนจะก้มลงสูดกลิ่นกายจากซอกคอนางแล้วจึงปล่อยมือ
พร้อมด้วยความพึงพอใจที่ฉาบชัดอยู่ในดวงตาสีเลือด
จิสึรุขบริมฝีปากแน่นขณะที่ความกลัวพลุ่งพล่านจนแทบครองสติไม่อยู่ ยิ่งเมื่อใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้ทำให้แลเห็นเส้นสีดำยาวรีในลูกตาแดงฉานได้อย่างชัดเจน ก็ยิ่งส่งผลให้ร่างเล็กบางสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัวมากขึ้น พร้อมๆกับที่ได้ตระหนักในความจริงที่เกือบหลงลืมไป
..จริงสินะ..
ก็คนๆนี้ไม่ใช่มนุษย์..
“ปะ.. ปีศาจ!”
สาวน้อยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านั่นคือคำต้องห้ามสำหรับคาซามะ จิคาเงะ
ซึ่งใครก็ตามที่บังอาจลบหลู่เขาด้วยคำๆนี้ล้วนแต่มีชะตากรรมที่ต้องดับดิ้นอยู่แทบเท้าเขามาแล้วทั้งนั้น ..และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีใครหน้าไหนรอดพ้นไปได้ หากเวลานี้ผู้นำเผ่ายักษ์กลับเหยียดยิ้มหยันพร้อมด้วยสีหน้าเย็นชา
ดั่งจะไม่แยแสถ้อยคำสบประมาทที่เคยเป็นหนามทิ่มแทงใจมาตลอด ถ้าหากคำๆนี้ถูกเปล่งออกมาจากปากของผู้อื่นแล้วล่ะก็ เขาคงไม่รอช้าที่จะเรียกเลือดหัวจากเจ้าคนไม่รู้จักที่ตายออกมาสังเวยโทสะแล้ว น่าแปลกที่ยามเมื่อมันถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากแดงน่ารักของนางกลับไม่ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด นัยน์ตาคมกล้าที่เจือแววขบขันชำเลืองมองร่างงามในอาภรณ์น้อยชิ้นที่กำลังยืนตัวสั่นงันงกก่อนจะยอมรามือแต่โดยดี
“แต่เจ้าเองก็เป็นเหมือนกับข้านี่นะ.. ยอมรับความจริงเสียเถอะ
วันนี้พอเท่านี้ก่อนก็ได้ หวังว่าเมื่อเราพบกันอีกครั้งตอนค่ำคงจะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าเสียทีนะ”
“มะ.. ไม่มีทาง” สาวน้อยสวนขึ้นทันควัน “ข้าจะไม่ยอมอยู่ที่นี่อย่างแน่นอนค่ะ และจะไม่มีทางดีกับคาซามะซังด้วย”
“อันที่จริงข้าก็ชอบผู้หญิงพยศอยู่หรอกนะ เพราะมีรสชาติกว่ากันเยอะเลย” คาซามะหยุดยืนอยู่ที่ประตูห้องพร้อมด้วยรอยยิ้มยียวนและคำพูดทิ้งท้ายที่ทำให้จิสึรุใบหน้าแดงก่ำ
“การที่เจ้าเป็นอย่างนี้ดูมีแนวโน้มที่จะให้กำเนิดลูกๆที่แข็งแรงกับข้าได้หลายๆคนมากกว่าทำท่าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากอย่างเมื่อครู่เยอะเลย และข้าก็คงอดใจรอที่จะปราบพยศเจ้าแทบไม่ไหวเลยล่ะ”
ยักษ์หนุ่มออกจากห้องไป
ทิ้งให้จิสึรุต้องอ้าปากค้างด้วยคิดอยากจะตอบโต้ให้เจ็บแสบสักคำทว่าก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ผู้ชายคนนี้ช่างหยาบคายนัก.. ไม่มีวันที่นางจะหนีพ้นได้เลยหรือนี่ แต่ขณะที่เด็กสาวกำลังคิดจะหาทางออกอยู่นั้น จู่ๆบานประตูห้องก็เลื่อนออกพร้อมด้วยร่างงองุ้มของชายชราคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่นั่น
“นายหญิง..”
..นั่นหมายถึงนางหรือ..
ความไม่แน่ใจนั้นส่งผลให้จิสึรุก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“เอ้อ..
เข้าใจผิดแล้วค่ะ ข้าไม่ใช่..”
“ไม่ผิดหรอกขอรับ
ท่านคือผู้ที่จะมาอยู่เคียงข้างนายท่านของพวกข้า”
เด็กสาวขมวดคิ้วยุ่ง
ขณะที่มองดูอีกฝ่ายเข้ามาให้ห้องพร้อมด้วยเสื้อผ้าของสตรี ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รู้ว่าเป็นของที่เตรียมไว้เพื่อนาง กิโมโนเนื้อดีสีส้มอมชมพูพร้อมด้วยผ้าโอบิสีน้ำตาลเข้มนั้นดูงดงามหรูหราเกินกว่าที่เด็กสาวชาวบ้านเช่นนางเคยเห็นมา แต่กระนั้นก็มิใช่สิ่งที่นางจะยอมรับไว้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. ถ้าเป็นของที่มาจากคนๆนั้นด้วยแล้ว
“เสื้อผ้าชุดเดิมของข้าล่ะคะ
ข้าอยากจะสวมชุดนั้นมากกว่า”
“นายท่านสั่งให้นำไปทิ้งแล้วขอรับ”
คำตอบที่ได้รับไม่ได้เกินเลยไปกว่าที่จิสึรุพอจะคาดเดาได้ ด้วยนิสัยหยิ่งทระนงในเผ่าพันธุ์ของคนๆนั้น.. คาซามะ
จิคาเงะภาคภูมิใจในสายเลือดของตนเองยิ่งกว่าใครๆ จึงย่อมมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งของเล็กๆน้อยๆที่ติดตัวนางมาเป็นแน่ เช่นเดียวกับที่ไม่เคยเห็นถึงคุณค่าในตัวของมนุษย์ ด้วยทะนงตนว่าตัวเองนั้นสูงเยี่ยมเทียมฟ้า และกับคนเช่นนี้.. ไม่มีทางที่นางจะยอมลงให้อย่างแน่นอน
ทว่าถึงอย่างไรนางก็พ่ายแพ้ในศึกแรกไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่เพียงแต่จะตกเป็นของเขา..
แต่ยังต้องยอมสวมเสื้อผ้าและทำทุกอย่างตามความต้องการของเขาอีกด้วย
“ข้าชื่อยามาชิตะ
ยูสึเกะ
เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ อยู่รับใช้ตระกูลคาซามะมาตั้งแต่ครั้งนายท่านคนก่อน ดังนั้นหากท่านหากมีเรื่องสงสัย.. ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักเพียงใด โปรดอย่าเกรงใจขอรับ” หัวหน้าคนรับใช้ชราค้อมกายลงอีกครั้งก่อนจะหันหลังออกไปจากห้องเพื่อให้เด็กสาวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตามลำพัง
“แต่ข้าจะไม่อยู่ที่นี่หรอกค่ะ
ยังไงก็จะกลับฐานชินเซ็น”
เสียงใสที่ตะโกนไล่หลังมาส่งผลให้คนรับใช้ชราหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
แต่แล้วก็ออกไปจากห้องแล้วเลื่อนบานประตูปิดในที่สุด
..นางจะหนีไปให้ได้..
ตั้งแต่วันที่ถูกจับตัวมา ความคิดนั้นก็เฝ้าวนเวียนอยู่ในสมองของยูคิมูระ จิสึรุเกือบตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นมาคาซามะจะไม่ได้ล่วงเกินนางอีกเลย ซ้ำยังดูแลนางเป็นอย่างดีจนกระทั่งความรู้สึกหวาดกลัวไม่ไว้วางใจค่อยบรรเทาเบาบางลงบ้าง
ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าสหายกลุ่มชินเซ็นทุกคนยังคงปลอดภัยดี
และผู้นำเผ่ายักษ์มิได้ลงมือสังหารพวกเขาเหล่านั้นเพื่อจะนำตัวนางออกมา
ก็เป็นเรื่องที่จิสึรุจะนึกขอบคุณเขาไปตลอด เพราะนอกจากจะแสดงให้เห็นว่าคนๆนั้นมิได้เป็นปีศาจกระหายเลือดอย่างที่คิดแล้ว ยังทำให้นางรู้สึกว่าคาซามะ จิคาเงะเป็นคนมีเหตุมีผลมากกว่าที่นางเคยรู้
ทว่าถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับไป
..เวลานี้ทุกคนจะเป็นห่วงนางสักเพียงไรนะ
ทั้งที่ยังอดกังวลไม่ได้แต่เด็กสาวพร่ำก็บอกให้ตนเองสงบจิตใจไว้แล้วรอคอยโอกาสที่จะหนีแม้ว่าหนทางนั้นจะริบหรี่เหลือเกิน เมื่อในเวลากลางคืนจิสึรุต้องอยู่ร่วมห้องกับคาซามะอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่กลางวันซึ่งเป็นเวลาที่เขาออกไปทำธุระการงาน คนรับใช้ชรา..
ยามาชิตะซังจะมาอยู่ข้างกายนางเสมือนเป็นเงา
คอยชวนพูดชวนคุยให้คลายเหงาขณะเดียวกันก็จับตามองนางทุกย่างก้าว แม้จะมิได้รังเกียจแต่จิสึรุก็ไม่สบายใจนักที่ถูกตามแจราวกับเป็นนักโทษ แต่ผลพลอยได้จากการที่มีเขาอยู่ใกล้ๆก็ทำให้นางได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของตนเองมากขึ้น รวมทั้งความจริงซึ่งน่าประหลาดใจด้วย
...นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในบ้านนี้...
นั่นเป็นสิ่งซึ่งจิสึรุสังเกตเห็นพร้อมด้วยความตกใจ และพอจะทำให้เชื่อได้ว่าคำพูดของคาซามะซังมีมูลความจริง หลังจากที่ได้รับอนุญาตให้เดินดูรอบๆได้นางก็ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงสักคนในบ้านตระกูลคาซามะเลย คนรับใช้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นชายทั้งสิ้น พวกเขาทำงานตั้งแต่งานในโรงครัว งานในสวน
จนกระทั่งถึงงานปัดกวาดเช็ดถู รวมทั้งงานซักทำความสะอาดและซ่อมแซมเสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่มซึ่งควรจะเป็นหน้าที่ของผู้หญิงก็ยังกระทำโดยแรงงานของผู้ชายทั้งสิ้น ซึ่งมีคนงานหลายสิบคนตั้งแต่วัยหนุ่มไปจนถึงวัยกลางคนซึ่งมีจำนวนมากที่สุดและคนงานวัยชราอีกไม่กี่คน ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือไม่มีเด็กเล็กๆเลยแม้แต่คนเดียว
“หากนายท่านบอกว่าต้องการจะมีทายาทกับท่านจำนวนมากๆ ข้าก็เชื่อว่าย่อมต้องเป็นเช่นนั้นจริงขอรับ
พวกท่านทั้งสองจะต้องมีลูกๆที่งดงามและแข็งแกร่งด้วยกันหลายคนแน่ๆ
บ้านของเราไม่มีเสียงหัวเราะของเด็กๆมานานหลายสิบปีแล้ว”
“แต่ข้าไม่มีวันยอมหรอกค่ะ
ยังไงก็ไม่ยอม
ยามาชิตะซังกลับไปบอกผู้ชายลามกคนนั้นเสียเถอะ ว่าถึงตายข้าก็ไม่มีวันเห็นดีเห็นงามด้วยแน่”
สาวน้อยค้านหัวชนฝาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
น่าโมโหจริง.. คนๆนั้นเห็นนางเป็นแม่วัวหรือไรจึงคิดแต่จะให้ผลิตทายาทอยู่ท่าเดียว แถมยังจำนวนมากมายขนาดนั้น
ทว่าขณะที่จิสึรุกำลังนึกต่อว่าต่อขานในใจ ผู้ชายลามกคนที่ว่าก็พลันปรากฏตัวขึ้นข้างกายอย่างที่นางไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวขณะที่คนอื่นๆกลับเร้นกายหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ส่งผลให้เด็กสาวถึงกับสะดุ้งพร้อมๆกับที่อดคิดไม่ได้ว่าคนๆนี้..
ปรากฏกายแต่ละครั้งทั้งรวดเร็วและไร้ซุ่มเสียงจนดูเหมือนมากับสายลมไม่มีผิดจริงๆ กระนั้นนัยน์ตากลมโตกลับสบประสานเข้ากับประกายทับทิมแวววาวอย่างไม่กลัวเกรง ขณะที่ความขบขันฉาบชัดอยู่บนใบหน้าคมคายของยักษ์หนุ่ม เห็นได้ชัดว่าคาซามะกำลังอารมณ์ดี และไม่ได้คิดถือสากับถ้อยคำสบประมาทที่นางกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ยักรู้ว่าข้าเป็นเพียงผู้ชายลามกในสายตาเจ้า”
เขายักไหล่น้อยๆแล้วกางแขนโอบเอวนาง “แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าเป็นเกียรติที่ได้อยู่ในความคิดคำนึงของภรรยาสุดที่รักเช่นนี้”
มือใหญ่เชยใบหน้างามให้เอียงขึ้นรับจุมพิตทว่าสาวน้อยกลับสะบัดหน้าหนี
และผลที่ตามมาก็คือจิสึรุถูกรวบตัวเข้าไปกอดแนบแน่นแล้วระดมจูบเสียจนมึนงงสับสนไปหมด สุดท้ายศึกนี้นางก็พ่ายแพ้ราบคาบอีกตามเคย..
“ยังคิดจะขัดขืนอยู่อีกหรือไง..
ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงเสียจริง
ทั้งๆที่เรากำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วและต่อไปเจ้าก็จะต้องเป็นแม่ของลูกข้า น่าจะหัดเรียนรู้งานไว้เสียแต่เนิ่นๆนะ”
“คะ.. ใครบอกว่าข้าจะเป็น..” จิสึรุยังพูดไม่จบ คำว่า ‘ภรรยา’ ติดอยู่ที่ปลายลิ้นขณะที่ถูกขัดคอขึ้นกลางครัน
“เจ้าไม่รู้หรือ
ว่าพวกเรานั้นมีอายุขัยยืนยาวกว่ามนุษย์ถึงสองเท่า ดังนั้นข้าจะยังไม่บังคับใจเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้หรอก แต่เมื่ออยู่กันไปอีกสักสามหรือสี่สิบปีเจ้าอาจจะใจอ่อนให้ข้าก็เป็นได้ อย่างน้อย..”
เขาปล่อยตัวนางพลางไล้ปลายนิ้วเคลียแก้มนวลที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อพร้อมด้วยประกายยั่วเย้าในแววตา
“เราก็น่าจะมีลูกๆด้วยกันสักสิบคนเป็นอย่างต่ำ”
………………………………….
แต่ยูคิมูระ
จิสึรุไม่มีทางยอมรับสถานภาพที่ถูกยัดเยียดให้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าตนเองจะไร้พิษสงโดยสิ้นเชิงยามเมื่ออยู่ต่อหน้าคนๆนั้น แม้จะถูกจับตัวมาด้วยวิธีการสกปรกทว่านางก็ยังไม่ยอมแพ้ ที่แล้วมาเด็กสาวพยายามบ่ายเบี่ยง
พยายามขัดขืนสารพัดยามที่ยักษ์หนุ่มเข้ามาโอ้โลมปฏิสัมพันธ์ด้วย
คาซามะซังเองก็มิได้บังคับขืนใจนางดังที่เคยรับปากไว้ เมื่อพบว่านางดิ้นรนไม่ยินยอมพร้อมใจเขาก็ยอมรามือไปโดยง่ายแล้วปล่อยให้นางมีเวลาเตรียมใจมากขึ้นอีกนิด
ทว่าตัวนางเองนั่นแหละที่เป็นอะไรไปแล้ว..
ช่วงหลังๆนี้เหตุใดเวลาที่อยู่ใกล้ชิดเขาหัวใจจึงเต้นระรัวราวกับคนบ้า อีกทั้งกำลังใจที่เคยเข้มแข็งนับวันก็เริ่มจะอ่อนแรงลงทุกที ทั้งรอยยิ้มยั่ว ประกายระยิบระยับในแววตา น้ำเสียงทุ้มลึกที่เหมือนพูดงึมงำอยู่ในลำคอ รวมทั้งกลิ่นกายและรสสัมผัสของเขากลับกลายเป็นสิ่งคุ้นเคยที่ส่งผลต่อนางมากเสียจนไม่อาจสงบจิตใจได้เลย
และก่อนที่นางจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้จะต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้จงได้
แต่ครั้งแล้วครั้งเล่ากับความพยายามหาทางหนีออกไปจากที่ทางของยักษ์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องพบกับความล้มเหลว จิสึรุถูกผู้นำเผ่ายักษ์ตามหาจนเจอและพาตัวกลับมาได้ทุกครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน
“อีกแล้วเหรอ”
เด็กสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงทุ้มลึกที่ไม่อยากได้ยินดังขึ้นจากเบื้องหลัง อีกครั้งกับการวิ่งหนีที่มักจะช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ
และก่อนที่จิสึรุจะทันได้รู้ชะตากรรมของตนเองก็พลันถูกอีกฝ่ายตะครุบตัวไว้ได้เสียแล้ว
“เจ้านี่นะ..
ไม่คิดจะหลาบจำบ้างเลยหรือไง”
เป็นอีกครั้งที่คาซามะสะกดกลั้นโทสะแล้วถลึงตาจ้องว่าที่เจ้าสาวตัวน้อยที่กำลังตกใจจนหน้าซีดแต่ก็ยังพยายามจะสู้ยิบตาด้วยการเตะ ถีบ
และข่วนเป็นพัลวัน
ดูๆไปก็เหมือนการต่อสู้ดิ้นรนของลูกแมวน้อยซึ่งหากจะให้สะกิดผิวเขาได้สักนิดก็คงจะต้องใช้มากกว่าเสือโคร่งที่โตเต็มที่ และนางคงไม่อาจกลายร่างเป็นสมิงสาวได้เป็นแน่ ..ความคิดนั้นพอจะทำให้เขาคลายความโกรธลงได้
“ปล่อยนะ ปล่อย!”
ยักษ์หนุ่มถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะรวบร่างน้อยขึ้นพาดบ่าแล้วเดินกลับเข้าไปข้างใน ท่ามกลางสายตา รอยยิ้มขัน
และเสียงหัวเราะเบาๆของบรรดาข้ารับใช้ในบ้านซึ่งเห็นจนชินตาแล้ว
“เรากำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกันในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว
ดังนั้นต่อให้เจ้าหนีอีกร้อยครั้งก็ไปไหนไม่รอดหรอก ยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
“ต่อให้ต้องหนีอีกร้อยครั้งข้าก็จะกลับเกียวโตให้ได้ ..ข้า..
ข้าจะไม่ยอมอยู่ที่นี่อย่างเด็ดขาด”
“งั้นหรือ..”
นัยน์ตาสีทับทิมเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นมาวูบหนึ่ง คาซามะ
จิคาเงะหยุดยืนนิ่งพลางปลดปล่อยโทสะให้เดือดพล่านไปทั่วร่าง และก่อนที่จิสึรุจะทันได้เตรียมใจก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อนาทีหนึ่งนางอยู่ที่ลานดินด้านนอกของตัวบ้าน ขณะที่กลับมาปรากฏอีกครั้งบนที่นอนในห้องชั้นบนในนาทีต่อมาโดยที่มีอีกฝ่ายคร่อมทับอยู่ด้านบน
“งั้นข้าคงต้องตอกย้ำให้เจ้าเข้าใจถึงสถานภาพของตนเองอีกสักครั้งกระมัง
ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะรอคอยคืนร่วมหอแท้ๆ แต่ดูท่าทางคงจำเป็นต้องลงมือกับเจ้าเสียแล้ว”
ขาดคำเขาก็จู่โจมริมฝีปากนางด้วยจุมพิตดุเดือด
เสียงหอบหายใจแรงเงียบหายไปทันทีที่ริมฝีปากทั้งสองบดขยี้กัน คาซามะตรึงร่างสาวน้อยไว้ภายใต้ร่างหนาหนักของตนแล้วปิดกั้นทางหนีทั้งหมด
ยักษ์หนุ่มตั้งใจว่าคราวนี้จะไม่ยอมตามใจนางอีกแล้ว ถ้าหากความใจดีที่ผ่านมายังไม่อาจส่งผ่านความรู้สึกของเขาไปสู่นางได้.. ครั้งนี้ก็จะขอทำอย่างที่หัวใจปรารถนาด้วยการรับนางมาแนบกายและทำให้นางเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ ไม่ว่ายังไงยูคิมูระ จิสึรุก็จะต้องเป็นของเขา ..ของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
มือใหญ่เพียงข้างเดียวรวบข้อมือที่เล็กกว่าทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ
ขณะที่อีกข้างหนึ่งทำหน้าที่จัดการกับกิโมโนสีม่วงอ่อนบนร่างแบบบาง จิสึรุทั้งดิ้นรนและต่อสู้ขัดขืนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีทว่าก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง นางไม่อาจสู้แรงเขาได้
คาซามะยังคงรุกลิ้มชิมรสนางตามอำเภอใจโดยไม่แยแส.. แม้ว่าหยดน้ำตาจะไหลริน แม้ทั้งเรือนร่างจะสั่นสะท้านราวกับลูกนกเปียกฝน
สาวน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งสิ้นหวังเมื่อพบว่าคราวนี้เขาไม่ผ่อนปรนให้เหมือนเช่นทุกครั้ง
สายตาเชือดเฉือนยามที่เขามองนางอาจเจือด้วยความผิดหวังเสียใจโดยที่นางไม่รู้สาเหตุ ทว่าสัมผัสจากวงแขนและริมฝีปากนั้นกลับมิได้อ่อนโยนไปด้วยเลย คาซามะประทับร่องรอยไว้บนร่างนางตรงนั้นตรงนี้อย่างหยาบคาย ยักษ์หนุ่มไม่สนใจอาการดิ้นรนของเด็กสาว เขาประกบริมฝีปากนางเพื่อปิดกั้นเสียงหวีดร้องขณะที่กระชากกิโมโนตัวในออกแล้วเผยผิวกายเกลี้ยงเกลาให้ปรากฏแก่สายตา นัยน์ตาคมวาวกวาดมองความงดงามที่กำลังจะตกเป็นสมบัติของเขาอย่างหิวกระหาย โดยไม่สนใจกับดวงใจที่รวดร้าวของตนเองเมื่อได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของนาง
“เจ้าเป็นของข้า.. ดูเอาไว้ให้ดี”
เขาสำทับอีกครั้งพลางแยกเรียวขานางออกจากกัน
“ไม่.. อย่าทำอย่างนี้ ได้โปรด..”
นางหมดแรงจะขัดขืนแล้ว
แต่กระนั้นก็ยังวิงวอนเขาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าน่าสงสาร และภาพใบหน้านองน้ำตานั้นก็ทำให้คาซามะเจ็บปวดใจมากกว่าครั้งไหนๆทว่าความโกรธกลับยังมีอำนาจกว่า และก่อนที่เขาจะลงมือครอบครองนางอย่างสมบูรณ์จิสึรุก็รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย
เด็กสาวสะบัดตัวอย่างแรงแล้วผลักเขาจนกระเด็น ก่อนจะเอื้อมมือคว้าปิ่นปักผมที่ตกอยู่ข้างที่นอนแล้วจ้วงแทงคอตนเอง
…………………………………….
..แม่จ๋า ยักษ์มีจริงเหรอ...
ยักษ์หน้าตาเป็นยังไงเหรอจ๊ะแม่...
จิสึรุเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆพร้อมด้วยความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว และทันทีที่ได้สติร่างเล็กบางก็กระเด้งพรวดขึ้นมาจากที่นอน
ก่อนจะต้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อพบว่าตนเองอยู่ในสภาพเปลือยหมดจดจนต้องรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่าง
“ฟื้นแล้วหรือ เจ้าหมดสติไปนานทีเดียว”
เสียงทุ้มลึกเจือความห่วงใยดังขึ้น
พร้อมๆกับที่แสงโคมสว่างเรืองรองขึ้นท่ามกลางความมืด คาซามะ
จิคาเงะนั่งขัดสมาธิพิงฝาผนังห้องอยู่ไม่ห่างนัก ยักษ์หนุ่มยังคงอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม ที่แขนเสื้อสีขาวปรากฏรอยเลอะสีคล้ำเข้มเป็นด่างดวง กลิ่นคาวที่ลอยมาแตะจมูกบอกให้รู้ว่านั่นคือคราบโลหิตซึ่งในปริมาณขนาดนั้นบาดแผลคงลึกมิใช่น้อย นัยน์ตาแดงฉานทอประกายวาบขึ้นเมื่อสังเกตเห็นดวงหน้างามที่เปลี่ยนเป็นซีดขาวพร้อมด้วยนัยน์ตาที่จ้องมองรอยเลอะนั้นด้วยความหวาดหวั่น
“ตกใจอะไรของเจ้าน่ะ”
ไม่มีคำตอบ..
มือเล็กยกขึ้นลูบคลำลำคอของตนเองอย่างลนลานเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุด ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายคว้าตัวเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง
“ไม่ต้องกลัว..
ข้าเพียงแค่อยากกอดเจ้าเท่านั้น” คาซามะกระซิบปลอบโยนพลางเกยปลายคางเข้ากับศีรษะเด็กสาวขณะที่จิสึรุทำตัวแข็งทื่อ กระนั้นถึงแม้จะหวาดกลัวนางก็ยังอดเป็นกังวลเรื่องรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเขามิได้ เขาบาดเจ็บตรงไหนกัน..
“คาซามะซัง.. มีบาดแผลหรือคะ”
ในที่สุดจิสึรุก็ตัดสินใจถามออกไป
ยักษ์หนุ่มคลายวงแขนออกนิดหนึ่งพลางล้วงเอาปิ่นปักผมที่เลอะคราบเลือดออกมาจากอกเสื้อ เขาชูมันขึ้นตรงหน้านางแล้วส่งคืนให้
“เจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยหรือ” น่าแปลกที่ไม่มีความเกรี้ยวกราดอยู่ในน้ำเสียงอีกแล้ว
คาซามะโอบกอดสาวน้อยไว้แนบอกพลางถอนหายใจออกมา
อุ้งมือใหญ่แข็งแรงเกาะกุมมือน้อยที่กำปิ่นไว้แน่นก่อนจะยกมือข้างนั้นขึ้นจุมพิตแผ่วเบาแล้วเอ่ยเสียงพร่า
“ในตอนนั้นเจ้าคิดจะตายจริงๆน่ะหรือ
ถึงแม้ว่ายักษ์อย่างเราจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็วเพียงใด แต่กับบาดแผลฉกรรจ์ในจุดสำคัญเช่นนั้น..” เขาไล้ลำคอขาวเนียนด้วยปลายนิ้วที่สั่นสะท้าน
“หากเมื่อกลางวันข้าห้ามไว้ไม่ทันล่ะก็ ป่านนี้เจ้าไปปรโลกแล้ว”
“แล้วรอยเลือดนั่น..
เป็นของข้าหรือคะ”
“มันเป็นเลือดของข้าต่างหาก”
คาซามะลูบไล้เรือนผมนุ่มก่อนจะถลกแขนเสื้อข้างที่เปื้อนเลือดขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งที่เหลือเพียงรอยแผลสีชมพูจางๆ
“ข้าเข้าไปห้ามเจ้าได้ทันเวลา
ปิ่นด้ามนั้นแทงทะลุแขนของข้าก่อนที่จะทันได้ปักเข้าที่คอของเจ้า
อย่าได้ทำเช่นนี้กับข้าอีก..อย่าง..เด็ด..ขาด”
เขาจบคำพร้อมกับเน้นเสียงเข้มขณะที่คิ้วเรียวยาวขมวดเป็นปมแน่น แล้วคาซามะ
จิคาเงะก็เผยสีหน้าที่ดูราวกับทุกข์ทรมานออกมาให้จิสึรุได้เห็นเป็นครั้งแรก
มันมิใช่ความหยิ่งผยองดุจนักล่าอหังการอย่างทุกครั้ง มิใช่ความน่าขนลุกขนพองของยักษ์ร้ายอย่างที่พวกมนุษย์พากันหวาดกลัว หากมันคือสีหน้าของคนๆหนึ่งซึ่งมีชีวิต มีเลือดเนื้อ
มีความรู้สึก ที่ถึงแม้จะมิใช่มนุษย์.. ทว่าก็รู้จักเจ็บปวด เสียใจ
และสิ้นหวังเป็นเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกัน.. วงแขนกว้างโอบรัดนางแน่นเสียจนจิสึรุต้องร้องประท้วง
“เจ้าทำให้ข้าเปลี่ยนความคิด..
จากที่เคยเข้าใจว่าเจ้าเป็นสตรีอ่อนแอไม่สมกับที่เป็นถึงเผ่าพันธุ์ยักษ์ ทว่าวันนี้เจ้ากลับแสดงให้ข้าเห็นถึงกำลังใจอันเข้มแข็งและความพยายามที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองโดยยอมแม้เอาชีวิตเข้าแลก แต่ยังไงก็ตาม..”
ยักษ์หนุ่มเชยปลายคางจิสึรุขึ้น
พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่เบิกกว้างและได้รับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างซึ่งไหวระริกอยู่ภายใน ราวกับอัญมณีน้ำงามที่ทอประกายล้อแสงไฟ
“ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไป ..ไม่มีวันปล่อยของรักให้ไกลจากอกข้าอย่างเด็ดขาด
ถึงแม้จะมียักษ์ผู้หญิงอยู่มากมายดาษดื่น
..แต่สตรีที่จะให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของข้ามีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น”
“คาซามะซัง... ข้า..”
ยูคิมูระ
จิสึรุยังไม่ทันพูดจบสองหนุ่มสาวก็พลันแว่วเสียงวิ่งโครมครามมาตามระเบียงทางเดิน
คาซามะปล่อยมือจากเด็กสาวก่อนจะผลักนางให้ห่างตัวแล้วก้าวไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว จังหวะเดียวกับที่ยักษ์วัยหนุ่มฉกรรจ์จำนวนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้ามา
“นายท่าน! ศัตรู..
เราถูกล้อมด้วยตระกูลรองกับตระกูลสาขา”
“แล้วยามาชิตะอยู่ไหน
ทำไมไม่รีบมารายงานข้า”
ผู้นำเผ่ายักษ์ถามถึงคนสนิทพลางกวาดสายตามองหา ทว่าไม่มีแม้แต่เงาคนรับใช้ชรา
“ยามาชิตะซังเค้า..”
เมื่อได้เห็นท่าทีอ้ำๆอึ้งๆของบริวารคาซามะก็ขบกรามแน่น ก่อนจะออกคำสั่งเสียงกร้าว
“แล้วพวกเจ้ามัวชักช้าอะไรอยู่
..ทำไมไม่รีบไปเตรียมตัวรบ
ไปบอกพวกข้างล่างว่าเดี๋ยวข้าจะตามลงไป ระหว่างนี้ใครหนีหรือพ่ายแพ้ให้กับศัตรูจะต้องได้รับโทษตายเสมอกันทุกตน”
“ค.. คาซามะซัง เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
จิสึรุเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยขณะที่อีกฝ่ายกลับเข้ามาในห้อง สีหน้ากระด้างเย็นชาที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้ายักษ์หนุ่มบอกให้รู้ว่าคงมีเหตุร้ายเกิดขึ้นแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”
เขาตอบเสียงเรียบขณะที่เอื้อมมือเปิดตู้ไม้แล้วหยิบชุดเกราะออกมาสวม
“ข้าคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
ว่าพวกมันจะต้องได้กลิ่นเจ้า” คาซามะชำเลืองมองสีหน้าประหลาดใจของสาวน้อยพลางหยิบดาบคู่กายขึ้นมา
“กลิ่นอายของยักษ์สาวจากตระกูลยูคิมูระ ..ตระกูลยักษ์ซึ่งเคยเกรียงไกรที่สุดในแถบตะวันออก สายเลือดแท้ที่บริสุทธิ์เข้มข้นเช่นนี้จะน่าสนใจน้อยไปกว่านี้ได้ยังไงกันล่ะ จริงมั้ย”
เมื่อได้เห็นใบหน้าซีดเผือดของจิสึรุเขาก็หัวเราะออกมา
“ถึงขนาดทำให้เจ้าพวกนั้น..
ซึ่งเป็นเพียงผู้นำตระกูลรองและสาขาของตระกูลคาซามะซึ่งยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในแถบตะวันตกนี้พากันนั่งก้นไม่ติดเบาะ ต้องยกทัพมาทำศึกเพื่อแย่งชิงเจ้าถึงที่นี่เลยเชียว เห็นหรือยังว่าเจ้าเสน่ห์แรงเพียงใด”
“นี่..
ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ!”
จิสึรุอดรนทนไม่ได้
ยิ่งเมื่อได้ยินสรรพสำเนียงเสียงอาวุธกระทบกันดังมาจากชั้นล่าง เสียงตะโกนโห่ศึก เสียงจากการสู้รบ และเพียงเท่านั้นฉากนองเลือดก็แทบจะปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างถนัดชัดเจนเสียจนทำให้นางกลัวตัวสั่น
และต้องยิ่งใจหายมากขึ้นเมื่อคาซามะดึงตัวนางเข้าไปกอดแนบชิดแล้วส่งนางให้กับยักษ์หนุ่มอีกตนหนึ่งซึ่งคุกเข่านิ่ง พร้อมรับคำสั่งอยู่ที่นอกห้อง
“พานายหญิงของเจ้าหนีไป
..ให้ใช้ทางลับที่สอง
จากจุดนั้นจะทะลุไปถึงทางออกริมฝั่งแม่น้ำ จากนั้นจงส่งนางกลับไปให้ถึงเกียวโตยังที่ๆนางจากมา”
เขาออกคำสั่งอย่างไร้ซึ่งความลังเลก่อนจะหันหน้ากลับมา
“ข้าจะยอมให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายไปด้วยไม่ได้ ขอโทษด้วยที่ผิดสัญญา
แต่เราคงต้องจากกันแล้ว”
มือใหญ่คว้าข้อมือเด็กสาวแล้วส่งให้กับผู้รับใช้ ทว่านางกลับสะบัดจนหลุดจากการเกาะกุม
“ข้าไม่ไป!” จิสึรุรู้สึกว่าตนเองคงทนไม่ได้ที่จะหนีไปตามลำพังโดยไม่รู้ว่าคนๆนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ดังนั้นมือน้อยจึงยึดแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น ขณะที่คาซามะถอนหายใจยาว
“นับจากวันที่พาตัวเจ้ามาข้ายังไม่ได้ล่วงเกินเจ้าหรอกนะ ดังนั้นถ้าหากว่าเจ้าคิดจะอยู่เพราะกังวลเรื่องนั้นล่ะก็..
สบายใจได้”
“ไม่ค่ะ! ..ข้าจะอยู่ที่นี่กับคาซามะซัง จะไม่ไปไหนเด็ดขาด
อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้เห็นกับตาว่าทุกคนปลอดภัยดี”
เสียงอึกทึกครึกโครมใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ในฐานะประมุขแห่งเผ่าพันธุ์.. คาซามะ
จิคาเงะตระหนักดีว่าตนไม่อาจยอมเสียเวลาเกลี้ยกล่อมหรือหว่านล้อมใดๆอีกแล้ว ในเมื่อนางตัดสินใจที่จะอยู่เคียงข้างเขา ก็เหลือหนทางรอดอยู่อีกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น..
“งั้นมากับข้า”
ทั้งคู่ปรากฏร่างขึ้นที่บ่อน้ำซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงหิน สายลมจางๆที่พัดผ่านพอจะทำให้จิสึรุเดาได้ว่าห้องเล็กๆที่มืดสลัวนี้คงมีทางออกไปสู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ ทว่าสาวน้อยยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ
ยักษ์หนุ่มก็อุ้มร่างนางลงแช่ในที่เย็นจัดเสียแล้ว
“คาซามะซัง!”
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”
เสียงทุ้มลึกที่ดังแผ่วๆอยู่ข้างหูทำให้นางพอจะคลายความกังวลไปได้บ้าง จิสึรุรู้สึกประหลาดใจที่เขาตามลงมาในบ่อด้วย วงแขนอันอบอุ่นโอบกอดร่างน้อยจากด้านหลังก่อนจะหมุนให้นางหันกลับมาเผชิญหน้า
“หากเจ้าตัดสินใจที่จะอยู่เคียงข้างข้า
เราก็จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน”
เขาบอกเสียงเรียบก่อนจะจุมพิตหน้าผากนาง
“มันไม่สำคัญเลยสักนิดว่าเจ้าจะจับอาวุธเป็นหรือไม่
ตราบใดที่เรายังอยู่ด้วยกันเช่นนี้ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้า และในทางกลับกัน..”
“ข้าก็จะคอยระวังหลังให้คาซามะซังด้วย” นางตอบอย่างฉะฉาน แม้ว่าจะหนาวสั่นจนฟันกระทบกันแล้วก็ตาม
“ดีมาก..
เช่นนั้นข้าจะปลดปล่อยพลังที่แท้จริงให้กับเจ้า
เผ่าพันธุ์ของเราจะเปลี่ยนไปสู่รูปกายที่แท้จริงก็ต่อเมื่อเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ยิ่งมีสายเลือดที่เข้มข้นไหลเวียนอยู่ภายในร่างมากเท่าไร พลังของยักษ์ตนนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และข้ากำลังจะปลดผนึกให้เจ้าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”
หลังจากนั้นทุกอย่างก็แลดูพร่าเลือนไปหมด ราวกับอยู่ในความฝัน.. ยูคิมูระ
จิสึรุไม่รู้ว่าคาซามะทำอย่างไร
และเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้าง
ภายในบ่อน้ำที่เย็นจัด.. เด็กสาวรู้สึกว่าร่างกายที่เคยหนักอึ้งและเครียดเกร็งผ่อนคลายลงพร้อมกับสติที่หลุดลอยไปชั่วครู่
แทนที่ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพร้อมด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่าเดิม จากนั้นนางก็ลืมตาขึ้นพร้อมด้วยขุมพลังเดือดพล่านที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด พวกมันส่งเสียงตุบตุบอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ตามชีพจร หัวใจ
และปลายนิ้วมือนิ้วเท้าจนทำให้นางรู้สึกแสบร้อนจนแทบระเบิดและปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่บริเวณขมับทั้งสองข้าง
และทันทีที่ยกมือขึ้นสัมผัสจิสึรุก็ต้องสะดุ้งเฮือก
“เจ้างามเหลือเกิน”
ทว่าจิสึรุมิได้สนใจคำชมนั้น
เมื่อขณะนี้ปลายนิ้วของนางกำลังสัมผัสเข้ากับเขาเล็กๆคู่หนึ่งซึ่งงอกยาวออกมาจากด้านข้างหน้าผาก
นางคืนร่างสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริงแล้วอย่างนั้นหรือ เด็กสาวขึ้นจากน้ำพลางก้มลงสำรวจตนเองก่อนจะพบว่าเส้นผมยาวดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินใสพิสุทธิ์
“นี่.. นี่ข้า..”
“เจ้าละทิ้งโอกาสที่จะได้กลับไปอยู่กับพวกชินเซ็นเองนะ
ดังนั้นจากนี้ไปข้าจะไม่ปล่อยมือจากเจ้าอีกแล้ว”
คาซามะ
จิคาเงะคว้าข้อมือคนรักแล้วทั้งคู่ก็ปรากฏกายขึ้นกลางลานหน้าบ้าน.. ที่ซึ่งการรบยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด
และทันทีที่เห็นผู้นำปรากฏกายขึ้น เหล่าบริวารก็พากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจพร้อมด้วยความฮึกเหิมและกำลังใจที่ล้นปรี่
หลายตนคืนร่างสู่สภาพดั้งเดิมของตนเองแล้วโถมกายเข้าต่อสู้อย่างไม่เสียดายชีวิต
ผู้นำเผ่ายักษ์ถอดเกราะของตนเองออกสวมลงบนร่างจิสึรุพร้อมส่งดาบสั้นให้แล้วขยิบตา
ก่อนจะคืนสู่ร่างที่แท้จริงและพร้อมสำหรับการโรมรัน
“ไปเลย
..สาวน้อยของข้า..”
เขากระซิบที่ริมหูนางก่อนจะตวัดดาบฟันศัตรูที่เข้ามาใกล้จนขาดสองท่อน
“ไปทำให้พวกมันได้รู้ถึงพิษสงและความน่าสะพรึงกลัวของนางยักษ์แห่งตระกูลยูคิมูระ ให้พวกมันได้เห็น.. ว่าต่อให้ยกพวกมากันมากกว่านี้ก็ยังไม่พอมือพวกเรา”
“ให้พวกมันได้รู้ ..ว่าเป็นแค่ธุลีดินไม่ควรอาจเอื้อมคว้าดวงดาว และราคาค่างวดที่ต้องจ่ายนั้นลำพังด้วยชีวิตก็อาจยังไม่พอ..”
----------------------------------------
next: 5th memory with....
ตัวละครลับที่ขอเก็บเป็นความลับเอาไว้ก่อนนะคะ ถ้ายังไม่หมดไฟไปเสียก่อนจะเขียนมาให้อ่านกันค่ะ
ขอบคุณค่ะ...
ตอบลบเราเองก็ชอบคาซามะมาก จขบ. แต่งได้ดีมากค่ะ
อยากรู้ว่าตอนที่ 5 จะเป็นใคร 555 แต่จะรออ่านของโอคิตะอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
#1 By Kazama Chikage on 2011-11-01 23:24
------------------------------------------
ดีใจที่มีคนชอบค่ะ^ ^
คาซามะเป็นพระเอกที่เเตกต่างจากสามคนก่อนหน้านี้ เพราะเป็นหนุ่มยักษ์ ดังนั้นเลยตั้งใจว่าจะให้โทนของเรื่องที่4นี้เปลี่ยนไปนิดหน่อย เเต่ยังไงก็จะไม่ให้โดดจาก3เรื่องก่อนมากเกินไป
ส่วนเรื่องที่5นั้น ยังไม่้ขอรับปากนะคะว่าจะเข็นออกมาได้รึเปล่า ขึ้นอยู่กับความขยันของเราด้วย
เอาเป็นว่าถ้าไม่ขี้เกียจเเล้วมีพลอตที่น่าสนใจจะเขียนมาให้อ่านเเน่ๆค่ะ
#2 By ~Moondrop~ on 2011-11-02 01:11
------------------------------------------
สุดยอด อันนี้ ชอบมากกกกกกกกกอ้าย
ปกติแล้ว จะเฉยๆกะคาซามะพอสมควรแต่อันนี้อ่านไปใจเต้นไปกันเลยทีเดียว เจ๋งอ่า
ก็ว่ามันน่าจะพอๆกะซาโนะนะเฮอะๆๆ อ่านแบบซอฟท์มาสองเรื่อง เล่นหนักๆอีกสักเรื่องก็เยี่ยมค่ะ (หื่นนะเนี่ยฉัน)
ไม่มีอะไรให้ติติงเลยง่า อ่านแล้วลื่นไหลจนกองบนพื้น จบได้เด็ดดีค่ะชอบๆ ลงตัวดีนะค่ะ
ไม่หลุดนิสัยคาซามะเลยอ่ะ หยิบประเด็นที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยนะค่ะ อ่านตอนต้นเรื่องก็อึ้งไปเลย ว้าว มุมแบบนี้ของคาซามะเหรอ ไม่เคยคิดมาก่อนแฮะ เพราะปกติในเรื่องจะหยิ่งจนน่าหมั่นใส้ล่ะม้างเลยไม่คิดว่าจะมีมุมนี้ด้วย
ให้คะแนนร้อยเต็มสิบเลยค่ะเอ้า (ถ้ายังอยากให้วิจารณ์อยู่นะ)
รีเควสอะไรแปลกๆได้มั้ยค่ะ อยากเห็นซาโนะกะไซโตตอนมีลูกอ่ะ ท่าทางจะฮาใช้ได้
#3 By Yushi_Res on 2011-11-02 07:40
-------------------------------------------
ขอบคุณค่ะ^ ^ คำวิจารณ์ของคนอ่านมีค่าเสมอนะคะ
มูนเขียนเรื่องนี้โดยเน้นที่ความเป็นยักษ์ของคาซามะที่ต่างจากพระเอก3คน ก่อนหน้าที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นก็เลยคิดถึงมุมมองของความเป็นยักษ์ในความคิดของคาซามะมากหน่อย เพื่อที่จะให้มีมิติเเตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา
ฉากเกือบเรทในเรื่องนี้ ถ้าเทียบกันกับเรื่องเเรกของซาโนะ ถึงเเม้ว่าหนุ่มยักษ์จะกดนางเอกไม่สำเร็จ เเต่มูนว่าเรื่องนี้รุนเเรงกว่าในเเง่ที่มันไม่มีความละมุนละไมของภาษาเข้า มาช่วยเลย เพราะจงใจจะสื่อถึงอารมณ์ดิบๆที่ยังขัดเเย้งกันเองในตัวของคาซามะ ที่เข้าใจเพียงเเค่ความต้องการของตนเองเเต่ยังไม่ได้เรียนรู้ถึงความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในใจดีพอ
ขณะที่ซาโนสุเกะเองค่อนข้างจะมีชั้นเชิงในการกล่อมสาวให้ยินยอมพร้อมใจ มากกว่า เเละเปิดใจพูดความในใจอย่างตรงไปตรงมา ใช้คำหวานเข้าหลอกล่อจนนางเอกยอมจนได้ จะว่าๆไปก็เสือผู้หญิงดีๆนี่เอง = =
ปล1..ในส่วนรีเควสที่เสนอมานี้ ถ้าหากมีเวลาจะเขียนมาให้อ่านนะคะ ว่าเเต่ควรจะออกมาในเเนวไหนดีระหว่างโทนสีเเบบเดิมๆคือเน้นซีเรีย สเเบบซีรีย์นี้ หรือเอาสว่าง+ฮากระจายไปเลยดี ขอความคิดเห็นด้วยนะคะ
ปล2..เเอบกลัวว่าตอนจบของเรื่องที่4นี้จะค่างๆคาๆในความคิดคนอ่านรึ เปล่า เพราะมูนเองเขียนเองก็ย่อมเจ้าใจดีว่าเป็นยังไง เเต่กลัวว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจอย่างที่เราเข้าใจ พอได้ยินว่าจบได้ดีเลยดีใจมากๆเลยค่ะ
#4 By ~Moondrop~ on 2011-11-02 11:07
---------------------------------------------
กรี๊ซซซซซซซซซซ
ก่อนจะพูดอะไรออกมาได้ ต้องขอระบายความอัดอั้นในใจด้วยการ สกรีมดังๆซักทีก่อนค่ะ
ตอนนี้เป็นตอนที่มูนดรอปซัง เขียนได้สุดยอดมากค่ะ!!
ติงไม่ได้เลยจริงๆ รู้สึกว่ามันลื่นไหลไปทางเดียวกันซะทั้งหมดเลยทั้งอารมณ์ ความรู้สึก การดำเนินเรื่อง
ต่อที่ประโยคที่ชอบ
มันมิใช่ความหยิ่งผยองดุจนักล่าอหังการอย่างทุกครั้ง มิใช่ความน่าขนลุกขนพองของยักษ์ร้ายอย่างที่พวกมนุษย์พากันหวาดกลัว หากมันคือสีหน้าของคนๆหนึ่งซึ่งมีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก ที่ถึงแม้จะมิใช่มนุษย์.. ทว่าก็รู้จักเจ็บปวด เสียใจ และสิ้นหวังเป็นเช่นเดียวกัน
อ่านมาเงียบๆคนเดียวตั้งเเต่ต้นเรื่องจนถึงประโยคนี้
รู้สึกได้เลยว่า น้ำตาเอ่อ =A='' คืออ่านเเล้วรู้สึกถึงความเจ็บปวดลึกของ คาซามะซัง ตั้งเเต่เเรกเรื่องจนถึงตอนนี้ มันบาดลึก!!
เเล้วก็ยังลงจบเรื่องไ้้้ด้อย่างสวยงาม อยากจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้อีกซักที
--------
ชอบจริงๆค่ะสำหรับตอนนี้ อยากจะส่งปุ่มไลค์ให้เเรงๆ
จะรอติดตามสำหรับตอนที่ 5 นะคะ เป็นกำลังใจค่ะ
ปล.ขอบคุณที่เเวะไปเยี่ยมบล็อกนะคะ >w<
ปล2. สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนั้น.. ต้องยอมรับว่าเข้าใจยาก = ='' จริงๆเเล้วเรื่องสั้นนั้นจะเป็นการเขียนบันทึกของหญิงสาวคนที่หนึ่ง[เจ้า หญิง] ที่ต้องตายไปก่อน เเล้วก็มีหญิงสาวอีกคนที่มีชะตากรรมเเบบเดียวกัน มาเจอบันทึกนี้น่ะค่ะ =='' มันเลยจบเเบบเศร้าๆ งงๆ
#5 By ~[H]saina chan~ on 2011-11-03 22:24
ขอบคุณค่ะ ถ้าคนอ่านชอบมูนก็ดีใจนะ >///<
ตอบลบในเรื่องHakuoukiนั้น ค่อนข้างจะเน้นที่กลุ่มชินเซ็นมากกว่า ดังนั้นเมื่อเราให้คาซามะมาเป็นพระเอกในตอนที่4นี้จึงจำเป็นต้องสร้างมิติ ให้มีความซับซ้อน เเละมีความลึกมากขึ้น เพื่อให้มีเสน่ห์เเละสมจริงยิ่งขึ้น
มูนก็เลยเลือกที่จะใส่ความเป็นปุถุชนเข้าไปซึ่งเเม้ว่าเค้าจะไม่ใช่ มนุษย์เเต่ก็รู้จักที่จะรัก โลภ โกรธ หลงเป็นเหมือนกัน เเถมยังดื้อนิดๆ+ไม่ค่อยชอบเเสดงออกด้วย(หรืออาจจะเเสดงออกไม่เป็นเพราะ ชีวิตวัยเด็กที่ขาดอะไรบางอย่างไป) แต่ด้วยความกลัวว่าจะสูญเสียนางเอกไปสุดท้ายคาซามะจึงยอมเผยสีหน้าที่ไม่เคย ยอมให้ใครเห็นมาก่อนออกมา ซึ่งถ้าซีนนี้คนอ่านชอบเราก็ปลื้มใจเเล้วจ้า
ส่วนตอนที่5นั้น.. เเอบกลัวนิดๆว่าพระเอกคนที่มูนเลือกไว้จะไม่เข้าตาคนอ่าน T T เเต่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจนะคะ ยังไงถ้าได้เขียนเเล้วจะเอามาให้อ่านกัน ยอมฝห้ติชมกันได้ตามสบายเช่นเคยค่ะ
ปล1.. เเล้วจะตามไปอ่านเรื่องอื่นๆในบลอคด้วยนะคะ
ปล2.. ในที่สุดมูนก็เข้าใจเเล้วว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง >M< เเต่ก็อย่างที่บอกค่ะ ว่าให้ความรู้สึกเหมือนหิมะรอวันละลายจริงๆ ยังดีที่ก่อนจะถึงเวลานั้นได้พบกับคนที่รอคอยเสียก่อน
#6 By ~Moondrop~ on 2011-11-04 10:06
---------------------------------------------
ฮ่าๆๆๆ นั่นสินะค่ะ คาซามะเป็นยักษ์นี่นะ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น มุมมองหลายๆอย่างก็จะต่างจากมนุษย์ แต่สำหรับเราเค้าก็ไอ้หนุ่มจองหองน่าหมั่นใส้ที่หล่อมาก แต่กลับยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างน่าชื่นชมเป็นที่สุด แต่เค้าหยิ่ง ไม่ใช่ยโส จุดนี้ล่ะที่ทำให้เค้าเท่มาก
จำได้ว่าตอนอ่านนี่ความรู้สึกจะเป็นแบบ ใชเลยนี่ล่ะคาซามะ คาซามะต้องตอบแบบนี้ชัวๆ ต้องหยิ่งแบบนี้ เท่ประมาณนี้ ถึงขนาดนึกหน้าตอนพูดออกด้วยซ้ำนะเนี่ย
ปล1 อันนั้น ขอทั้งคู่ได้มั้ย ซีเรียสเนี่ยคุณมูนเขียนดี น่าอ่าน จับประเด็นที่อ่านแล้วต้องอึ้ง (ชอบมากกกก) แต่ถ้าเอาฮาก็คงจะฮาน่าดู แต่ถ้าให้ตอบ ซีเรียสหน่อยๆก็โอเคนะค่ะ ฮามานิดๆก็ดี
ปล2 อานนี้ อย่างที่บอก จบได้สมกับเป็นคาซามะมักๆ อย่างที่บอกล่ะค่ะ อีตานี่จบได้แบบนี้ล่ะลงตัวที่สุดเลย เพราะเค้าหยิ่ง แม้จะน่าหมั่นใส้แต่ก็น่าชื่นชมมากเช่นกัน เพราะงั้นถ้าจิซึรุยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจ คาซามะต้องดีใจมากแน่ๆ แล้วเค้าก็ต้องภูมิใจในตัวจิซึรุหน่อยๆ (อาจไม่หน่อย55) แน่ๆค่ะ เพราะฉะนั้น จบแบบนี้ ชอบมากค่ะ
เอาซะยาว ฮ่าๆๆๆ
#7 By Yushi_Res on 2011-11-04 19:58
-----------------------------------------
ตอน ที่เขียนเรื่องที่4นี้ก็หวังเหมือนกันล่ะค่ะว่าคาซามะจะไม่หลุดคาเเรคเตอร์ ค่อนข้างกังวลนิดๆเพราะที่ผ่านมายอมรับว่าไม่ได้สนใจอะไรเค้ามากนัก มัวเเต่มองหนุ่มๆชินเซ็นมากกว่า พอถึงเวลาจริงๆเลยต้องมานั่งเก็บรายละเอียดหนุ่มยักษ์กันใหม่หมด 555
ซึ่งหนุ่มคนที่5นี้ก็เหมือนกัน ที่จะมองว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็คงง่าย เพราะในอนิเมหรือที่ไหนก็ตามไม่ค่อยจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเค้ามากนัก เเม้เเต่รูปสักรูปที่พอจะดูได้ก็ยังไม่ค่อยมี ซึ่งขณะนี้เปิดฉากไปได้หน่อยนึงเเล้ว จะรีบเขียนให้จบเเล้วต่อด้วยรีเควสนะคะ
เราใจตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ มูนเองก็คิดเอาไว้ในใจเหมือนกันว่าอยากจะเขียนทั้ง2คน(หรือดีไม่ดีอาจมาครบ 5ถ้ามีความบ้าพอ - -) ในเเบบผสมผสานคือเอาเเนวเดิมนี่เเหละ เเต่อาจเเทรกอารมณ์ขันบ้าง ยังไงก็ติดตามกันได้นะคะ
#8 By ~Moondrop~ on 2011-11-05 11:43
---------------------------------------------
อร้ายยยย จะรอค่ะ รอแน่ๆ
ถ้าท่านใจดีที่จะเขียน เราก็น้ำลายสอที่จะตามมาอ่าน
นั่งครางหงิงๆรอเวลาเลยทีเดียว5555
คนสุดท้ายน่ชักจะงง ใครหว่าถึงหาข้อมูลยากปานนั้น
น่าคิดนะเนี่ย หารูปยิ่งไม่มี เอ ยิ่งสงสัย555
#9 By Yushi_Res on 2011-11-05 18:50
----------------------------------------------
อ่านตอนท้ายๆล่ะชักได้อารมณ์ อยากรู้ว่าจิซึรุจะบู้แบบไหน
ปกติจิซึรุมักจะถูกหนุ่มๆไล่ให้หนีไปก่อนเสมอ แต่คาซามะให้บู้ด้วยซะเลย แถมให้ไปก่อนอีก
#10 By ♪ ๐PoupeE๐ ♪ on 2012-03-11 20:03
------------------------------------------------
เป็นเพราะค้างคาใจมาตลอดค่ะ ทั้งๆที่เป็นยักษ์เเท้ๆเเต่จิสึรุกลับไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไหร่เลยนอกจากหนีอย่างเดียว
พอมาเเต่งฟิคก็เลยไม่ให้หนีอีก
Read more: http://moon-drop.exteen.com/#axzz21PmdgQb0 http://moon-drop.exteen.com/20111101/hakuouki-fic-one-side-of-memories-4th-memory-with-kazama-chi-1#ixzz22DolDN8g
Under Creative Commons License: Attribution
กรี๊ดดดดดด!! เห็นแบบนี้แล้วอยากรีเควส precious memory ของคาซะมะจังเลยค่ะT^T ช่วงนี้มารอทุกวันว่าไรต์จะมีแต่งของใครเพิ่มอีกรึเปล่า บอกเลยว่าชอบฟิคเรื่องนี้มากก!!(เน้นๆๆ มากกกก55555X) คาแรกเตอร์นี่ก็ช่างสอดคล้องกับในอนิเมะจริงๆ ภาษาการบรรยายได้อรรถรสมากอ่ะขอบอก-,.- เค้าพูดจริงนะ อยากอ่านตอนพิเศษของพ่อหนุ่มยักษ์รูปหล่อนี่มั้กๆๆๆๆๆๆๆ แต่ไม่รู้ว่าไรต์จะเขียนอีกรึเปล่านี่สิคือปัญหา555T_T
ตอบลบกรี๊ดดดดดด!! เห็นแบบนี้แล้วอยากรีเควส precious memory ของคาซะมะจังเลยค่ะT^T ช่วงนี้มารอทุกวันว่าไรต์จะมีแต่งของใครเพิ่มอีกรึเปล่า บอกเลยว่าชอบฟิคเรื่องนี้มากก!!(เน้นๆๆ มากกกก55555X) คาแรกเตอร์นี่ก็ช่างสอดคล้องกับในอนิเมะจริงๆ ภาษาการบรรยายได้อรรถรสมากอ่ะขอบอก-,.- เค้าพูดจริงนะ อยากอ่านตอนพิเศษของพ่อหนุ่มยักษ์รูปหล่อนี่มั้กๆๆๆๆๆๆๆ แต่ไม่รู้ว่าไรต์จะเขียนอีกรึเปล่านี่สิคือปัญหา555T_T
ตอบลบชอบมากค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอินมากเลย การใช้ภาษาและการบรรยายดีมากเลยค่ะ สู้ๆนะค่ะ จะรออ่านผลงานค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ ^^
ลบ