8/03/2555

You're The Only Place







....ซากะ..   เจ้าทำกับข้าได้อย่างไร...    เจ้าทำเช่นนี้กับพี่น้องของตัวเองได้อย่างไร   

ก็ได้..   ข้าจะทนทุกข์ทรมานอยู่ในนี้ให้เจ้าดู   ทว่ามิใช่เพื่อสำนึกบาป    แต่เพื่อลิ้มรสความเกลียดชังที่ข้ามีต่อเจ้า

ข้าขอสาปแช่งเจ้า    นับแต่นี้ไปเราไม่ใช่พี่น้องกันอีกแล้ว..   เราขาดกัน 
ได้ยินรึไม่ซากะ..   เราขาดกัน!!


เคียวโกเจมินี่สะดุ้งตื่น   ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อลำแสงแรกที่จับขอบฟ้าสาดเป็นลำเข้ามาในห้องนอน   ชายหนุ่มถอนหายใจ   เมื่อตระหนักว่าความฝันเก่าๆแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง   เหตุการณ์ในฝันยังคงสดใหม่และแจ่มชัดประหนึ่งว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้   ราวกับเสียงตะโกนสาปส่งให้ไปตกนรกหมกไหม้ยังคงก้องอยู่ในหู   เขายังจดจำทุกรายละเอียดในวันนั้นได้ติดตา   วันที่เขาได้ทรยศน้องชายตนเอง   ใบหน้าโกรธเกรี้ยวกับแววตาอาฆาตแค้น   และข้อนิ้วขาวซีดที่กำแน่นอยู่รอบกรงเหล็กบีบหัวใจเขามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน   ...ครั้งนี้ก็เช่นกัน  ถึงแม้ว่าคาน่อนจะคิดริอ่านทรยศต่อเบื้องสูง   แต่น้องก็ยังคงเป็นน้อง   และเขาเองก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาให้ทุกอย่างดีขึ้น    สักวันหนึ่งคาน่อนคงคิดได้เอง  


ในเมื่อเจ้ากระหายอำนาจทะยานอยากในสิ่งไม่ควรนัก   ก็จงอยู่ในนั้นตลอดไปเถิด

ข้าจะขังเจ้าเอาไว้ที่นี่ชั่วนิรันดร์    จงอยู่ในนั้น   แล้วสำนึกบาปของตนเองเสีย....


คาน่อนอาจสมควรได้รับโทษก็จริง   แต่กระนั้นเขาก็ยังอดสะท้านมิได้ทุกครั้งที่สายลมเย็นเยียบพัดผ่านผิวกาย   กับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แห้งและอบอุ่นเช่นนี้ยังหนาวจับขั้วหัวใจนัก   แล้วคนที่ถูกจองจำทั้งวันทั้งคืนอยู่ในคุกน้ำที่แหลมสุนิออนล่ะ..  จะเป็นเช่นไร   ซากะสอดมือเข้าไปใต้หมอนหนุนแล้วล้วงเอาสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ออกมา    นัยน์ตาสีไพลินจ้องมองเศษผ้ามอมแมมในมือแล้วยกมันขึ้นแนบอกพลางหลับตาลง   มันคือปลอกแขนที่เคยได้เป็นของขวัญจากท่านอาจารย์เมื่อยังเยาว์   ซึ่งเขาฉีกมันออกเป็นสองส่วนเพื่อแบ่งปันให้กับน้องชายฝาแฝด  

ชีวิตในวัยเยาว์เป็นเวลาที่แสนสุข   ทั้งอบอุ่น   น่าจดจำ   และชวนให้ระลึกถึง   ในตอนนั้นเขามีครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตารวมทั้ง..   คาน่อน    ซึ่งมักเป็นเสมือนเงาตามตัวอยู่เคียงข้างไม่เคยห่าง   ทว่าเมื่อเคียวโกคนก่อนเลือกให้เขาสืบทอดตำแหน่งโกลเซนต์เจมินี่ทุกสิ่งก็แปรเปลี่ยน   และน้องชายของเขาก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป    คาน่อนกลายเป็นคนเก็บตัว   เจ้าคิดเจ้าแค้น   ชอบหาเรื่องทุกคนที่เข้าใกล้    และไม่ว่าจะเป็นเพราะความผิดหวังเสียใจที่ไม่ได้เป็นโกลเซนต์หรือสาเหตุอื่นใดก็ตาม   ซากะก็จะขอแค้นเคืองอดีตเคียวโกอย่างสุดหัวใจกับการตัดสินใจครั้งนั้น   เพราะนั่น..  เป็นการพรากน้องชายเพียงคนเดียวไปจากเขา   และเขาก็ได้จัดการให้คนที่พรากคาน่อนไปจากเขาได้ชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว

ผู้นำแห่งดินแดนศักดิสิทธิ์ลุกขึ้นจากเตียงนอนเพื่อแต่งตัว   เครื่องทรงสีดำสนิทพร้อมด้วยหมวกและหน้ากากปิดบังใบหน้าจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนหุ่นไม้ที่กลางห้อง   ทว่าซากะกลับปัดมันล้มจนสายสร้อยลูกปัดขาดกระจายเกลื่อนพื้น   หมวกเคียวโกและหน้ากากโลหะมันวาวกระเด็นไปคนละทิศละทางทว่าเขากลับไม่แยแส   ข่าวคราวว่าคาน่อนหายสาบสูญไปจากแหลมสุนีออนส่งผลให้เขาไม่มีใจจะทำอะไรเมื่อความสำนึกผิด   ความห่วงหาอาทรที่ยังคงมีหลงเหลือให้กับน้องชายฝาแฝดผลักดันให้เขาแทบคลั่ง   เขาอาจพอจะทนแบกรับความเหงามานานหลายปีได้โดยไม่ปริปากบ่น   แต่จะต้องไม่ใช่ความรู้สึกสูญเสียที่ฉุดรั้งให้เขายิ่งจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวของความว่างเปล่ามากกว่าเดิม  

ซากะรวบผมอย่างลวกๆด้วยเชือกหนัง   แล้วเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองสีทึมเก่าคร่ำคร่าที่ทำให้ดูกลมกลืนไปกับชาวบ้านรอบนอกแซงทัวรี่ก่อนจะเร้นกายออกไปจากดินแดนศักดิสิทธิ์   โดยไม่ลืมที่จะสอดเศษผ้าชิ้นสำคัญไว้ในอกเสื้อ   และระหว่างนั้นเขาจะทำให้เหล่าเซนต์เข้าใจว่าประมุขของพวกตนกำลังเข้าฌาณและไม่อนุญาตให้เข้าพบไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น   อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะกลับมา      

...ขอเพียงแค่ได้รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง..   ขอเพียงเท่านั้นจริงๆ

...........................................................

ท่าเรือยามเช้าตรู่เช่นนี้ยังคงปกคลุมด้วยม่านหมอกขาวพร่างที่คงสลายไปในอีกไม่นานเมื่อตะวันขึ้นสูง   ซากะกระชับผ้าคลุมเก่ามอซอให้แนบเข้ากับลำตัวพลางแสร้งทำตัวเป็นคนหลังงอเดินลากขาช้าๆไปตามทางดินที่มุ่งสู่จุดลงเรือ   นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกวาดมองความเป็นไปโดยรอบแล้วพยายามปิดบังตัวตนที่แท้จริงอย่างแนบเนียน   ทว่าเสียงขับลำนำจากกวีพเนจรที่ดังแผ่วๆมาตามสายลมทำให้เขาต้องหยุดชะงักแล้วเงี่ยหูฟัง  

  ...I felt you breathing and our souls were intertwined

But who controls love's destiny? Not me.

We had it all right in our hands,

We had the space to fly and still a place to land....

ชายหนุ่มรีบสาวเท้าไปยังจุดหมายปลายทางด้วยไม่อาจทนฟังได้จนจบ   ทว่าน้ำเสียงกังวานชัดคลอมากับเสียงพิณที่บรรยายถึงความพลาดพลั้งเพราะด้อยประสบการณ์ก็ยังคงดังแว่วราวกับจะตอกย้ำซ้ำเติมให้ซากะต้องหวนคิดถึงอดีต   สมองและความนึกคิดที่เติบโตขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปทำให้เขามองเห็นแง่มุมใหม่ๆของชีวิต  รวมทั้งมุมมอง..   ที่ทำให้เขาต้องนึกเสียใจกับการกระทำของตนเอง

...คนทุกคนย่อมมีอิสระที่จะมีความคิดแตกต่างกัน..  ถูกบ้าง  ผิดบ้าง  แล้วแต่ว่าใครเป็นผู้ตัดสิน

แล้วตัวเขาเป็นใคร..  จึงบังอาจพิพากษาว่าความคิดคนอื่นเป็นสิ่งที่ผิด  
เขาเป็นใคร   จึงหาญกล้าลงทัณฑ์ผู้อื่นเมื่อคิดเห็นแตกต่าง...

หรือว่าการพูดคุยกับคาน่อนให้มากขึ้นแทนที่จะตัดสินใจฉับพลันด้วยการจองจำน้องชายตนเองจะเป็นหนทางที่เขาควรเลือกมากกว่า..


We had the space to fly and still a place to land....

ซากะขบกรามแน่นเมื่อประโยคนั้นพาให้เจ็บปวดรวดร้าว   ครั้งหนึ่งเขาเคยมีน้องชายที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเขา   วันเวลาที่มีคาน่อนอยู่เคียงข้างทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีที่ให้กลับไป   ทว่าบัดนี้ไม่มีอีกแล้ว   และเขาก็ใช้ชีวิตเพียงเพื่อผ่านไปวันหนึ่งๆท่ามกลางความรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนคนไร้บ้าน   เลือดข้นกว่าน้ำฉันท์ใด   ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแทนที่คาน่อนได้ฉันท์นั้น

ประมุขแห่งแซงทัวรี่ในสภาพชายหลังค่อมส่งเหรียญให้กับคนพายเรือเมื่อมาถึงเรือใหญ่ที่จะพาตนออกไปจากอารยธรรมโบราณสู่โลกสมัยใหม่ที่ซึ่งคนไม่เคยรับรู้ถึงการมีตัวตนของเหล่าเซนต์ในตำนาน   ดินแดนซึ่งเทพเจ้าตายแล้ว   ที่ซึ่งผู้คนใช้แผ่นกระดาษและบัตรพลาสติกในการจับจ่ายซื้อของแทนเหรียญทองหรือเหรียญสัมฤทธิ์   ซากะเดินลากขาขึ้นไปตามบันไดเรือก่อนจะพบมุมสงบที่กราบขวาของดาดฟ้าเรือ   ชายหนุ่มลงนั่งพลางเอนหลังพิงระเบียงลูกกรงแล้วล้วงขนมปังออกมากินขณะที่เรือเบนหัวออกจากท่า   ระหว่างนั้นชายคนหนึ่งโผล่หน้าขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนจะสังเกตเห็นเขาเข้า    ทว่าซากะไม่สนใจ..   เขายังคงเล็มขนมปังที่หยิบติดมือมาอย่างใจเย็นขณะที่คนแปลกหน้าเดินตรงเข้ามา  

“ไง..  ไอ้น้องชาย  เพิ่งออกมาจากแซงทัวรี่ล่ะสิ   แต่งตัวมอซอแบบนี้จะไปไหนหรือ”  โกลเซนต์เจมินี่นิ่วหน้าให้กับน้ำเสียงอวดดีที่กล้าวิจารณ์การแต่งกายของผู้อื่นได้หน้าตาเฉย   กระนั้นเขากลับมิได้เงยหน้าขึ้นสบตา  เพียงแค่มองจากหางตาก็พอจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามแตกต่างออกไป   รองเท้าหนังสีดำที่สวมใส่ดูเป็นของสมัยใหม่   กางเกงสแลคสีน้ำตาลไหม้ก็เช่นกัน   นับว่าเป็นโชคดีของเจ้าหมอนี่ที่เวลานี้เขาอยู่ในช่วง แสร้งเจียมเนื้อเจียมตัว แบบบ้านนอกเข้ากรุงซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันได้ผล   และเขาจะเล่นละครกับเจ้านี่สักฉากหนึ่ง

“เอ้อ..  คือ..   ที่บ้านผมยากจน   ก็เลยตั้งใจจะเข้าไปหางานทำในเมืองน่ะครับ”  เขาแสร้งทำตัวสั่นน้อยๆขณะตอบเสียงแผ่วซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากคู่สนทนา  

“คนพิการอย่างนาย   ใครที่ไหนจะรับให้ทำงานล่ะ” เจ้าหนุ่มผู้โชคร้ายยังไม่หยุดขุดหลุมฝังตัวเองด้วยการพูดจาโอ้อวดต่อไป “รู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร”

...ก็จะรู้ได้ทันทีที่ข้าเรียกเลือดหัวเจ้าออกมาไงล่ะ    ไอ้เศษสวะ...

“ไม่..  ไม่ทราบครับ” ซากะข่มกลั้นความปรารถนาไว้ในใจแล้วแสดงไปตามบทบาท   พลางหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อเพ่งกระแสจิตตามหาร่องรอยพลังคอสโมของน้องชายฝาแฝด   ก่อนจะแน่ใจว่าคาน่อนไม่ได้อยู่ในกรีซแล้ว   และเขาคงต้องไปไกลกว่านั้น  

..เจ้าบ้านั่น ..  จนป่านนี้ก็ยังชอบสร้างปัญหาเหมือนเดิม

“ฉันเป็นหัวหน้าทหารยามที่คอยอารักขาท่านเคียวโก   แต่อย่างนายคงไม่รู้จักล่ะสิ” เขาหยุดพูดพลางก้มลงช้อนปลายคางซากะให้เงยหน้าขึ้นมอง  “ถ้าไม่นับหลังงอๆนั่นดูๆไปนายเองก็ท่าทางหน่วยก้านไม่เลวนี่หว่า   หน้าตาก็ดี   ทำไมไม่ลองไปสมัครงานเป็นทหารยามล่ะเจ้าหนุ่ม”

“เอ้อ..”ซากะพูดได้เพียงเท่านั้นก็ปิดปากเงียบ   จะว่าไปเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนี่มีส่วนสูงพอๆกับเขาถึงแม้จะท้วมกว่ากันนิดหน่อยแต่ก็พอใช้การได้  

“แล้วคุณจะไปไหนหรือครับ” หลังจากทนนั่งฟังมันพูดน้ำลายแตกฟองมาพักหนึ่งแล้วซากะก็ไม่คิดว่าตนเองจะอดทนอีกต่อไป   ชายหนุ่มกำมือแน่นพลางบอกตนเองว่านี่เป็นโอกาสดีแล้วที่จะได้ฝึกจิตใจ  

“นัดสาวเอาไว้น่ะสิ   ปกติฉันน่ะงานยุ่งมากนะ  ท่านเคียวโกไม่ชอบให้ไปไหนไกลๆหรอก  แต่วันนี้ฉันได้หยุด  รู้ไหมล่ะว่า...”

“ดีจังเลยนะครับ.. ” ประกายตาเย็นเยียบกวาดมอง หัวหน้าทหารยาม ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไวๆรอบหนึ่งก่อนจะลงความเห็นว่าตนไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อน   หากว่าเป็นทหารจริง..  ชะรอยคงจะเป็นพวกปลายแถวที่ชอบคุยโวโอ้อวด   อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าหนีเที่ยวซึ่งหากมีโอกาสเขาจะกลับมาคิดบัญชีภายหลัง

ซากะนั่งนิ่งปล่อยให้คู่สนทนาพูดพล่ามพลางรอเวลา   จนกระทั่งใกล้เวลาที่เรือจะเทียบท่าที่เอเธนส์ในอีกไม่ถึงชั่วโมงและเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอำพรางบุคลิคที่แท้จริงอีกต่อไป   ชายหนุ่มยืดหลังตรงพลางตระหนักกว่ามีเพียงตนและคู่สนทนาเท่านั้นที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ   ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีผู้ใดรู้เห็นทั้งสิ้น    ทว่าบุรุษผู้ชะตาขาดกลับไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวเลยแม้เเต่น้อย   ตรงกันข้ามยังหลับหูหลับตาคุยฟุ้งถึงวีรกรรมไร้สาระของตนเองจนกระทั่งซากะสะบัดผ้าคลุมออกจากร่างแล้วลุกขึ้นยืนอย่างหมดความอดทน 

“หมัดมายา...”  ปลายนิ้วเรียวยาวดีดเข้าที่หน้าผากเบาๆ   ไวจนเจ้าตัวไม่ทันรู้สึก

“เสื้อสวยดีนะ  แลกกับข้าเถอะ” ซากะไม่สนใจจะรอฟังคำตอบ   เพราะเหยื่อที่น่าสมเพชลนลานกระชากเสื้อผ้าออกจากร่างตนเองทันทีที่สิ้นคำ

“จะบอกให้   ว่าเคียวโกไม่เคยชอบให้มีทหารสวะมาป้วนเปี้ยนใกล้ตัวหรอก  
แต่ก็ช่างเถอะ..  เจ้าอยากจะกลับแซงทัวรี่ไปพร้อมกับเรือลำนี้ใจจะขาดแล้ว   แล้วเจ้าก็จำอะไรไม่ได้เลยด้วยจริงมั้ย..  น้องชาย” มือใหญ่แข็งแรงยัดขนมปังที่กัดค้างใส่ปากเหยื่อที่กำลังเบิกตาค้างอย่างคนไร้สติก่อนจะหันหลังลงไปจากดาดฟ้าเรือพร้อมด้วยคำพูดทิ้งท้าย  

“ขอให้อร่อยนะ   เพราะนั่นเป็นค่าเสื้อและค่ากระเป๋าเงินของเจ้า”  


.................................................................

จากนครเอเธนส์..  ซากะต้องคิดหนักว่าควรจะทางไหนต่อ   ถึงแม้จะมิได้ออกมาสู่โลกภายนอกบ่อยครั้งนักทว่าเขาก็เบาใจที่ตนเองจำแผนที่โลกได้ขึ้นใจ   แต่ครั้งนี้ความแม่นยำทางภูมิศาสตร์ก็มิได้เป็นหลักประกันความสำเร็จ   ในเมื่อเขาไม่พบแม้แต่เศษเสี้ยวกระแสจิตของน้องชายในแผ่นดินที่เชื่อมต่อกับกรีซ   เลยขึ้นไปถึงไซบีเรีย   หรือแม้กระทั่งชายฝั่งทางตะวันออกของอิตาลี   ทว่าความจริงที่ค้นพบก็ยังไม่อาจสั่นคลอนกำลังใจได้   เขารู้ดีว่าหากคาน่อนสูญสลายไปจากโลกนี้....  เขาคือคนแรกที่จะรับรู้    นอกจากนี้ซากะยิ่งกว่าเชื่อมั่นว่าคาน่อนจะต้องมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในและเขามีหน้าที่ค้นหาคำตอบนั้น

....หากข้าเป็นคาน่อนจะไปที่ไหนนะ...

แน่นอนว่าต้องไม่ใช่แถบเส้นศูนย์สูตรเพราะเราทั้งคู่ต่างก็ไม่ชอบอากาศร้อนชื้น   และก็ย่อมไม่ใช่ทะเลทรายด้วย   ที่ซึ่งข้าอยากไปจะต้องมีอากาศเย็นสบายจนถึงหนาวเล็กน้อยจึงจะดี    

ในเมื่อเจ้านั่นก็เป็นเช่นเดียวกับข้า   ขอให้ความคิดนี้ถูกด้วยเถอะ..


ซากะทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเบาะนั่งซึ่งอยู่ติดช่องหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปเบื้องนอก   ถึงแม้ยังไม่ทันข้ามวันทว่าก็มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย    เมื่อเทียบกับการที่ต้องออกตามหาน้องชายซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ซอกมุมใดในโลก   ความผิดที่ตนข่มขวัญเจ้าพนักงานให้ออกวีซ่าร์ให้อย่างเร่งด่วน    รวมทั้งเตะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกราวๆสามโหลออกไปให้พ้นทางดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน    แต่กระนั้นเขาก็ตั้งใจว่าจะกลับมาสำนึกผิดในภายหลัง   ประมุขแห่งแซงทัวรี่หลุดจากภวังค์เมื่อเครื่องยนตร์ไอพ่นเริ่มทำงาน    มันส่งเสียงดังกระหึ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูกเร่งกำลังให้แรงขึ้น     เครื่องบินเคลื่อนตัวออกจากรันเวย์ช้าๆก่อนจะจอดนิ่งที่จุดเตรียมพร้อมเพื่อรอเวลา   และทันทีที่ได้รับสัญญาณให้ขึ้นบิน.. เจ้านกยักษ์ก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้นๆพร้อมด้วยเสียงเครื่องยนตร์ที่แผดคำรามแสบแก้วหูแล้วโผบินสู่ท้องฟ้า   ชายหนุ่มถอนใจ..  แม้การโดยสารเครื่องบินจะเป็นวิธีเดินทางที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้ทว่าก็ยังคงไม่ทันใจอยู่ดี   ดังนั้นเขาจึงเบี่ยงเบนความสนใจตนเองด้วยการหันไปสนใจกับจอภาพที่รายงานระดับความสูงแทน 


“คุณจะรับชา  กาแฟ  หรือน้ำผลไม้ดีคะ” แอร์โฮสเตสสาวเข็นรถเข็นมาหยุดข้างๆแล้วถามเสียงหวาน   ทว่าซากะเพียงแต่ชายหางตามองแวบเดียว

“ไม่ล่ะครับ   ขอบคุณ” เขาปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนจะกลับไปสนใจกับทิวทัศน์นอกหน้าต่าง   ทิ้งให้สาวเจ้าถอนหายใจอย่างแสนเสียดายแล้วเข็นรถผ่านไป

...บอกมาสิ  คาน่อน    ว่าข้าจะหาเจ้าพบได้อย่างไร...

หากแม้นข้าจับสัญญาณจากเจ้าได้   แม้จะเล็กน้อยสักเพียงใด..  
หรือไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนข้าก็จะดั้นด้นไป


...I felt you breathing and our souls were intertwined

But who controls love's destiny? Not me...


ซากะอยากจะยิ้มเยาะบทเพลงที่ได้ยินเข้าโดยบังเอิญเมื่อเช้านี้   ทว่าเขารู้ดีว่าแท้จริงแล้วเขาปรารถนาจะให้ตนเองสามารถทำได้อย่างที่เพลงกล่าวถึงมากกว่า...   จะดีสักเพียงใดหากเขากับน้องจะมีสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงถึงกันได้     และถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยมี..  ทว่ามันกลายเป็นอดีตเสียแล้วเมื่อคาน่อนเป็นคนตัดสายใยที่ชื่อว่า  ความรัก เสียจนสะบั้น    เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยในฐานะที่เป็นพี่ชาย   เป็นโกลเซนต์   และเป็นเคียวโก

But who controls love's destiny? Not me...


ทั้งที่ปราศจากตำแหน่งใดๆ   ทั้งที่ถูกคุมขังให้ได้รับความทรมาน   และทั้งที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ    ทว่าคาน่อนต่างหากที่เป็นผู้กุมชะตาทุกสิ่งเอาไว้ตั้งแต่ต้น    และซากะก็เป็นเพียงตุ๊กตาชักใยที่พยายามดิ้นรนเพื่อเต้นตามจังหวะที่น้องชายกำหนดให้โดยไม่รู้ตัว   จนในที่สุดเขาก็สังหารเคียวโกเหมือนอย่างที่คาน่อนชี้นำ    ทว่าพอกันที..   นับแต่นี้ไปตุ๊กตาตัวนี้จะตัดสายระโยงระยางที่บงการชีวิตออกและจะได้เป็นอิสระเสียที   เขาจะเลิกคิดถึงอดีตและเริ่มต้นใหม่กับเที่ยวบินแรกที่นำเขาออกจากกรีซสู่ใจกลางทวีปยุโรป  

ทว่าหลังจากที่เครื่องร่อนลงจอดที่โปแลนด์ซากะก็พบว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะค้นหาคนเพียงคนเดียวในดินแดนที่ตนไม่รู้จักเช่นนี้   ชายหนุ่มออกมาจากสนามบินอย่างไม่รู้ทิศทางพร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าซึ่งบันดาลขึ้นจากเงินเป็นฟ่อนในกระเป๋ากางเกงของเหยื่อที่เขาพบบนเรือข้ามฟากมาเอเธนส์   ตะวันเริ่มคล้อยเมื่อซากะเดินสะเปะสะปะมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง   เขานั่งลงบนม้านั่งริมทางเดินพร้อมกับวางกระเป๋าลงก่อนจะตั้งสติถึงเรื่องที่ควรทำต่อไป   ซากะหลับตาลงช้าๆพลางนึกถึงสิ่งที่เคยร่ำเรียนมา   ประเทศนี้แบ่งเขตการปกครองออกเป็นสิบหกเขต   และมันง่ายขึ้น..  เมื่อเขามีขอบเขตที่แน่ชัดในการค้นหา   หากก็ไม่มีวี่แววของคาน่อนเลย   ทั้งสิบหกเขตไม่ปรากฏร่องรอยของน้องแม้แต่นิดเดียว   เป็นไปได้ว่าคาน่อนอาจไม่ได้ผ่านมาทางนี้และมันทำให้ซากะต้องวางแผนการเดินทางใหม่   ทว่าตอนนี้เขาจะพักผ่อนเสียก่อน..   ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำมากแล้วและอีกไม่นานก็จะมืดสนิท   ชายหนุ่มคว้าเสื้อคลุมออกมาสวมแล้วเอนกายลงลงนอนบนม้านั่งตัวเดิมพลางปิดตาลง

ลิทัวเนียคือเป้าหมายต่อไป    เนื่องจากซากะคิดว่าตนสามารถเดินเท้าเข้าไปได้โดยสะดวกเมื่อประเทศดังกล่าวมีอาณาเขตติดกันกับโปแลนด์    ด้วยกำลังกายที่แข็งแกร่ง..  ใช้เวลาเพียงค่อนวันเขาก็ไปถึงเขตพรมแดนและลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมายโดยที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่ทันรู้ตัว   และเช่นเดียวกับประเทศแรก   เขายังไม่เข้าใกล้ความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย   แต่ไม่เป็นไร..   ยังมีที่อื่นๆอีกมากให้ค้นหา

ซากะคงไม่คิดจะหยุดพักล้างเนื้อล้างตัวหากเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่สกปรก   ทว่าทั้งเสื้อและกางเกงเต็มไปด้วยฝุ่นจากการเดินเท้าพร้อมด้วยกลิ่นกายที่ไม่พึงปรารถนา    และการเข้าไปยังเมืองหลวงเพื่อบินต่อไปนอร์เวย์คงเป็นไปได้ยากหากเขาปล่อยให้ตนเองอยู่ในสภาพนี้    ชายหนุ่มคำนวณค่าใช้จ่ายเท่าที่จะนึกออกทั้งหมดก่อนจะลงความเห็นว่าตนไม่มีโอกาสจองที่พักไม่ว่าจะราคาถูกแสนถูกเพียงใด    แต่ควรเก็บเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนี้ไว้เป็นค่าเดินทางจะดีกว่า    ซึ่งมันจะทำให้เขาไปได้ไกลขึ้นแม้อีกแค่เล็กน้อยก็ยังดี    ถึงแม้ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กลับแซงทัวรี่จนกว่าจะพบคาน่อนทว่าหากเงินหมดทุกอย่างก็จบเป็นความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้    และการเดินทางที่บ้าระห่ำตามลำพังเช่นนี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้ตระหนักชัดว่าแท้จริงแล้วเขาเหงาเพียงใด   ท้อแท้เพียงใด

...แล้วข้าควรทำอย่างไรดี...


...So I'm calling out, I'm calling out to the only one

Who can save us from what we've done

Don't leave me hanging on...


อึดใจนั้นเสียงของกวีพเนจรพลันดังขึ้นอีกครา    ซากะยกมือขึ้นปิดหูตนเองแน่นด้วยไม่ต้องการจะได้ยินอีกต่อไป    กระนั้นในหัวใจเขากลับร่ำร้องหาใครสักคนมาช่วยดับความทุกข์ทรมานที่เกิดจากน้ำมือตนเอง

...ไม่...

หากข้าอ่อนแอข้าจะหาคาน่อนไม่พบ    และจะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง...


ความคิดนั้นทำให้ซากะมีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นแล้วออกเดินต่อ     ชายหนุ่มก้มลงมองสำรวจตนเองก่อนจะเข้าเขตชุมชนว่าแต่งกายเรียบร้อยและสะอาดพอ    เพราะรู้ว่าจะต้องดูดีไม่มีที่ติเมื่อไปถึงสนามบินพร้อมหวังว่าคงไม่มีปัญหาติดขัด    นอกจากปัญหาท้องร้อง.. เมื่อเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่นิดเดียวนับจากวันที่ออกจากแซงทัวรี่ซึ่งถือเป็นเรื่องเล็กมาก   ซากะเลิกสนใจเสียงท้องที่ร้องประท้วงเมื่อหยิบตั๋วเครื่องบินแล้วเดินออกมาจากเคาท์เตอร์    เขามีเวลาเพียงสิบห้านาทีที่จะต้องไปให้ถึงทางขึ้นเครื่องซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอีกเช่นกัน   แต่ปัญหาที่เขาขบคิดมาตลอดทางคือเมื่อถึงที่หมายแล้วควรไปทางไหนต่อ   นอร์เวย์เป็นประเทศที่กว้างใหญ่กว่าลิทัวเนียและมีชายฝั่งติดทะเลนอร์วิเจียนที่ยาวมาก   ถึงแม้ประกอบกับอากาศที่หนาวเย็นแล้วจะเป็นไปได้ว่าคาน่อนอาจแวะไปที่นั่น   แต่หากโชคร้ายไม่พบร่องรอยที่ตามหาเขาควรไปเริ่มต้นอีกครั้งที่สวีเดน    ฟินแลนด์   หรือรัสเซียดี    ยิ่งกว่านั้นเขาอาจต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มีค่าเดินทางรอบต่อไป

เพียงไม่กี่ชั่วโมงจากลิทัวเนียถึงจุดหมายปลายทาง    ซากะลงจากเครื่องบินเเล้วหาทางเปลี่ยนเสื้อคลุมสีเข้มที่สวมใส่ติดตัวมาจากโปแลนด์ให้กลายเป็นทุนก้อนเล็กๆสำหรับยังชีพ    ชายหนุ่มสวมเสื้อเนื้อหนาทับเสื้อตัวเดิมแล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางเดินข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง    ถึงแม้ว่านอร์เวย์เพิ่งจะเป็นเวลาบ่าย    ทว่าท้องฟ้ากลับมืดสลัวเหมือนใกล้ค่ำ    เมื่อดินแดนที่ตั้งอยู่ใกล้กับเขตขั้วโลกเหนือเช่นนี้มีอากาศหนาวเย็นถึงปีละหกเดือน    อากาศอันอบอุ่นของกรีซจึงไม่อาจเทียบได้เลย    แม้แต่ในกรุงออสโลซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศก็ยังหนาวเย็นเกินจะทนในเดือนมีนาคมเช่นนี้     และในเมื่อเขาไม่มีทั้งเงินค่าที่พักและไม่มีทั้งเสื้อคลุมที่ให้ความอบอุ่นคืนนี้จึงเป็นคืนทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย    ดังนั้นเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบหาที่หลับนอนเร็วเกินไปนักหากไม่อยากแข็งตายตอนรุ่งเช้า   ชายหนุ่มหยุดยืนนิ่งแล้วลองค้นหาร่องรอยพลังคอสโมของน้องชายอีกครั้งเพียงเพื่อจะพบว่ามันไร้ประโยชน์     ออสโลยังคงไร้วี่แววคาน่อน    แต่ถึงแม้จะยังไม่มีร่องรอยใดๆทว่าซากะก็ได้ชื่อว่าดันทุรังมาจนเกือบจะถึงจุดเหนือสุดของโลกอยู่แล้ว   จึงไม่มีเหตุผลที่จะหันหลังกลับ   

แทนที่จะหาที่พักแรม    เขากลับเลือกที่จะออกเดินทางอีกครั้งโดยมุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือ    จากการเดินแบบปกติในทีแรกเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆแล้วค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้น    ก่อนจะกลายเป็นการวิ่งเต็มฝีเท้าเมื่อออกมาพ้นเขตกรุงออสโลซึ่งเป็นเมืองหลวง     หิมะเริ่มตกพร้อมด้วยอุณหภูมิต่ำจนติดลบ..  ทว่าซากะไม่ปล่อยให้ความหนาวเหน็บและเปียกแฉะเหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง   เขายังคงออกวิ่งสูงขึ้นไป    ผ่านถนนสายหลักที่มีสิ่งปลูกสร้างและยวดยานพาหนะสัญจรไปมาก่อนจะเลี่ยงไปใช้เส้นทางที่เล็กและกันดารกว่าด้วยไม่ต้องการที่จะเสี่ยงกับปัญหา    ทิวทัศน์สองข้างทางเต็มไปด้วยพืชล้มลุกเตี้ยๆและทุ่งหิมะสลับกับหุบเหวลึกตลอดระยะทาง    ระหว่างนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกทีๆขณะที่หิมะก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก    ซากะวิ่งผ่านทุ่งราบที่หนาวยะเยือกและธารน้ำแข็งมากมายเกินจะนับแล้วลัดเลาะไปตามทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยด้วยการเคลื่อนที่ซึ่งเร็วกว่าคนปกติทั่วไป   ไมล์แล้วไมล์เล่า..  จนในที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิทจนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ไกลเกินกว่าปลายจมูกตนเอง    เขาจึงจำต้องหยุดพักทั้งๆที่ใจนึกอยากจะไปต่อ  

ชายหนุ่มรวบรวมกิ่งไม้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้มากองรวมกันแล้วจุดไฟ    ก่อนเงยหน้าขึ้นมองชะง่อนหินเหนือศีรษะที่พอจะช่วยกำบังหิมะและลมหนาวได้บ้าง    ประกายสีส้มทองจากเปลวไฟอาบไล้ใบหน้าอิดโรยให้แลดูมีชีวิตชีวามากขึ้น    ซากะถอนหายใจพลางลงนั่งเหยียดขาอย่างเมื่อยล้าก่อนจะถอดรองเท้าออกอย่างระมัดระวัง    หลังจากที่มันถูกใช้งานอย่างทารุณด้วยการเดินเท้าข้ามประเทศ    รองเท้าหนังสีดำใหม่เอี่ยมเมื่อห้าวันก่อนจึงยับเยินจนแทบจำสภาพไม่ได้และอีกไม่นานคงต้องสละมันทิ้งไปแล้วหาคู่ใหม่..  ถ้าเขาโชคดีพอก็อาจไม่ต้องวิ่งเท้าเปล่าขึ้นไปจนถึงขั้วโลกเหนือ     ซากะเผยอรอยยิ้มขบขันขณะที่จ้องมองกองไฟที่ส่งเสียงปะทุเป็นระยะๆ..  ถึงจะไม่มีรองเท้าแต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเสื้อผ้าใส่และทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก    แม้ว่าการเดินทางที่ไร้ทิศทางของเขาจะยากลำบากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเงินหมด    และความคิดที่จะขอคืนดีกับคาน่อนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความต้องการที่จะเค้นคอน้องชายตนเองให้สาสมกับความโรคจิตและอาจมีของแถมให้ในส่วนความคิดสร้างสรรค์ด้วยก็ตาม


...อะไรที่ทำให้เขาไม่เปลี่ยนใจ   แล้วเปลี่ยนเส้นทางไปทิศอื่นแทนที่จะขึ้นเหนือมาเรื่อยๆอย่างนี้...

คำถามที่จู่ๆก็ผุดขึ้นในใจส่งผลให้ดวงตาที่จวนจะปิดเต็มทีเบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง    ซากะผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมด้วยความหวังลมๆแล้งๆที่ฟังดูเหมือนเข้าข้างตนเอง    บางทีสิ่งที่นำพาเขามาที่นี่อาจเป็นสายสัมพันธ์ของพี่น้องก็เป็นได้    ถึงแม้คาน่อนจะประกาศตัดขาดความสัมพันธ์ที่ว่ากับเขาแล้วก็ตาม    มือใหญ่กำแน่นอย่างมีความหวัง..  ซากะไม่เคยแน่ใจในเรื่องใดมากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต     ความรู้สึกว่าหัวใจกำลังพองโตคับอกเป็นสิ่งที่เขาลืมเลือนมาหลายปีเต็มทีแล้ว    และบัดนี้มันก่อให้เกิดความกล้าบ้าบิ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     เขาพร้อมแล้วที่จะเดินเข้าไปและปรับความเข้าใจกับคาน่อนโดยไม่สนใจกับภาพพจน์สูงส่งของตนเอง    ไม่สนใจว่าน้องชายจะมีปฎิกิริยาเช่นไร    เขาจะขอโทษในสิ่งที่ทำลงไปและบอกคาน่อนว่าเขาเสียใจเพียงไร     ถึงตอนนั้นหากคาน่อนไม่ยอมรับเขาก็พร้อมที่จะอดทน     และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ซากะรู้สึกว่าตนเป็นหนี้บุญคุณกวีพเนจรที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตา

...Wherever you are right now

Come back and show me how you feel

Because I'm lost without you here...

บทกวีนั้นทำให้เขาได้คิด    ใช่...   ถูกต้องที่สุด    มันไม่สำคัญสักนิดว่าคาน่อนจะตอบรับเขารึไม่    หากเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาสองคนได้อยู่เคียงข้างกันทุกสิ่งก็จะถูกเติมเต็มโดยสมบูรณ์    เขาจะไม่ต้องรู้สึกว่าหลงทางอีกต่อไป    และเหนือสิ่งอื่นใด..  ซากะจะไม่ปล่อยให้คาน่อนพูดประโยคเดิมซ้ำสอง    เพราะบัดนี้เขารู้แน่ชัดแล้วว่าสายโลหิตนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตัดไม่ขาด    และน้องชายของเขาก็ควรจะได้รับรู้ความจริงข้อนี้ด้วย



.....................................................................

ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกสว่างขึ้นเล็กน้อยขณะที่ซากะจบเรื่องกับอาหารเช้า    ชายหนุ่มลุกขึ้นปัดเศษหิมะออกจากเสื้อผ้าด้วยมือที่เย็นจัดจนหมดความรู้สึกแล้วพันเส้นผมไว้รอบๆลำคอตนเองเพื่อบรรเทาความหนาวก่อนจะออกวิ่งอีกครั้ง    ยิ่งสูงขึ้นไปทางเหนือมากเท่าใดเขาก็ยิ่งสังเกตเห็นว่าภูมิประเทศมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่านั้น   จากทุ่งน้ำแข็งและทะเลสาบน้ำแข็งกว้างสุดสายตาค่อยๆเปลี่ยนเป็นภูมิประเทศแบบชายหาดที่เว้าแหว่งเพราะถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนไม่เป็นรูปเป็นร่างและทะเลที่แลเห็นอยู่ไกลลิบ   พร้อมด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำกว่าคืนวาน    ซากะกัดฟันสู้กับความหนาวเหน็บพลางนึกถึงเสื้อคลุมที่นำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินอย่างเสียดายแล้วออกเดินทางต่อไปทั้งๆสภาพนั้น  

การวิ่งบนพื้นหิมะชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านเกาะแก่งและเมืองน้อยใหญ่โดยไม่มีการหยุดพักส่งผลให้รองเท้าหมดสภาพในที่สุด    เขาจึงจำใจถอดมันทิ้งแล้วหาคู่ใหม่เอาดาบหน้า    ยิ่งเข้าใกล้จุดเหนือสุดเพียงใดชายหาดทางซ้ายมือก็ดูเหมือนจะอยู่ใกล้เข้ามามากขึ้นเพียงนั้นขณะที่ส่วนที่เป็นแผ่นดินถูกบีบแคบลงเรื่อยๆ    และนาทีนั้นเองที่ซากะเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เบาบางมาก   บางอย่างที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีจนไม่ต้องเสียเวลาคิดหาคำตอบ     

...พลังคอสโมของคาน่อน!    ในที่สุด...

เขาแทบจะโห่ร้องแล้วกระโดดด้วยความดีใจสุดขีดที่ตนเองตามรอยมาถูกทาง    ซากะเร่งความเร็วเต็มฝีเท้าอย่างไม่แยแสความเจ็บปวดจากบาดแผลพุพองที่เกิดจากหินคมๆและหิมะกัดเท้าด้วยอยากจะไปให้ถึงโดยเร็ว    ร่างแกร่งพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วจนแลเห็นเป็นเพียงเงาลางๆขณะที่จุดหมายปลายทางใกล้เข้ามาทุกที    และด้วยความเร็วระดับนี้เขามั่นใจว่าจะสามารถไปถึงฟินน์มาร์คได้ก่อนพลบค่ำ   

กระแสจิตของคาน่อนอยู่ใกล้กว่าเดิมมากเมื่อเข้าเขตมณฑลเหนือสุดของนอร์เวย์    ซากะแลเห็นแสงไฟจากฟินน์มาร์คอยู่ไม่ห่างออกไปนักและรู้สึกดีใจที่ตนเองทำสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้   เวลานี้ท้องฟ้ายังคงมีแสงสว่างจากแสงเหนือที่สว่างพอจะทำให้เห็นทิวทัศน์รอบตัวอยู่บ้าง    ประกอบกับแสงไฟจากบ้านเรือนทำให้เขาใจชื้นขึ้น    ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้..  ซากะรู้ดีเกินกว่าที่จะกัดฟันเดินทางต่อ    เขาจำเป็นต้องหาที่พักหากไม่อยากแข็งตายเมื่อน้ำแข็งที่จับเป็นเกล็ดหนาอยู่ตามเสื้อผ้า   เส้นผม  และทั่วทั้งตัวทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นปลาแช่แข็ง    ยิ่งกว่านั้นเท้าเปล่าเปลือยซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลของเขาก็เจ็บระบมจากการเดินทางไกลจนไม่สามารถจะไปต่อได้อีกแล้ว    และครั้งนี้โชคชะตาก็เริ่มเข้าข้างเขาบ้างเมื่อหมู่บ้านชาวประมงแห่งแรกที่พบอ้าแขนรับและยินดีให้เขาพักค้างคืน   

ถึงแม้จะพูดภาษานอร์เวย์ไม่ได้เลยแต่ซากะก็ยังโล่งใจที่คนเหล่านี้เข้าใจภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี    พวกเขาให้ความเป็นมิตรและเข้ามารุมล้อมพลางจ้องดูสภาพหฤโหดจากการเดินทางไกลของเขาอย่างตรงไปตรงมาพร้อมด้วยสีหน้าอันตื่นตะลึงเมื่อได้รับรู้ว่าเขาเดินเท้าขึ้นมาจากทางตอนใต้ของประเทศ    ชายหนุ่มบิดเบือนความจริงเล็กน้อยว่าตนใช้เวลาเกือบสองเดือนในการเดินทางจากมณฑลนอร์ทแลนด์ซึ่งตั้งอยู่ช่วงกลางของนอร์เวย์ขึ้นมาถึงฟินน์มาร์ค   แทนที่จะบอกความจริงว่าใช้เวลาเพียงสามวันเดินเท้าเป็นระยะทางนับพันไมล์ขึ้นมาจากออสโลซึ่งอยู่เกือบจะใต้สุดของประเทศ

“เกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง    และผมสูญเสียทั้งรถยนตร์และโทรศัพท์มือถือ” นั่นคือเหตุผลที่เขาบอกกับทุกคนก่อนจะผล็อยหลับไปหลังจากนั้น

เมื่อได้แช่น้ำร้อนและพักผ่อนอย่างเต็มที่เมื่อคืนนี้   พร้อมด้วยของขวัญเป็นรองเท้าคู่ใหม่บุขนสัตว์อย่างหนาและเสื้อผ้าที่อบอุ่นรวมทั้งได้กินอาหารจนเต็มอิ่มทำให้ซากะมีเรี่ยวแรงอีกครั้ง    และอีกครั้ง..  ที่เขาหลับตาลงแล้วค้นหาร่องรอยของน้องชายก่อนจะลงความเห็นว่ากระแสจิตของคาน่อนยังอยู่ไกลออกไปอีก    มิใช่ในเขตฟินน์มาร์คหรือดินแดนข้างเคียงอย่างฟินแลนด์   แต่อยู่ไกลออกไปทางเหนือ..   ลึกเข้าไปในมหาสมุทรอาร์คติก   

“สฟาลบาร์” ชาวประมงคนหนึ่งบอกเมื่อเขาเข้าไปสอบถามเส้นทาง    หมู่เกาะสฟาลบาร์ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่อยู่เหนือสุดของประเทศนอร์เวย์นี้เปรียบเสมือนด่านคั่นกลางระหว่างนอร์เวย์กับขั้วโลกเหนือ    แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้องชายฝาแฝดของเขามีจินตนาการบรรเจิดเพียงใดเมื่อตัดสินใจดั้นด้นเดินทางจากกรีซขึ้นมาถึงที่นี่   

“มีเที่ยวบินตรงจากออสโลถึงสฟาลบาร์เลยนะ”  นั่นเป็นข้อมูลอีกอย่างที่ชาวประมงบอกกับซากะ  

“ทราบครับ..  แต่ผมมีเงินไม่พอ” เขาตอบไปตามความเป็นจริงในเมื่อตนใช้เงินเกือบทั้งหมดไปกับการเดินทางข้ามประเทศ   ทั้งที่พยายามประหยัดค่าที่พักด้วยการอาศัยนอนกลางแจ้งและถึงขั้นล่าสัตว์ประทังชีวิตตนเองแล้ว    ซากะยอมรับว่าภายหลังจากที่ขายทรัพย์สินติดตัวออกไปบางส่วนแล้วก็ยังมีเงินไม่เพียงพอต่อค่าตั๋วเครื่องบินอยู่ดี    แต่ช่างเถอะ..  เขากำลังจะถึงจุดหมายปลายทางอยู่แล้วและมั่นใจว่าสามารถออกวิ่งโดยใช้เวลาไม่เกินครึ่งวันเพื่อไปให้ถึงจุดที่บรรจบกันของแผ่นดินและผืนน้ำ    และหลังจากนั้นหากจำเป็นเขาจะว่ายน้ำข้ามไป  

“น้องชายของผมอยู่นี่นั่น   และผมจำเป็นต้องไป”

“เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าหนุ่ม” บรรดาชาวประมงใจดีพากันส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยทันทีที่รับรู้ถึงแผนการไม่เข้าท่า

 “ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรที่อุณหภูมิติดลบมากๆได้ด้วยระยะทางขนาดนั้น    ในช่วงปลายฤดูหนาวอย่างนี้..  แม้แต่เรือประมงก็ยังไม่กล้าออกทะเลเพราะคลื่นลมแรงและอันตรายมาก
แต่ถ้าเธอต้องการจะไปให้ได้จริงๆพวกเราก็ยังมีคนรู้จักที่พอจะให้ขอยืมเรือได้นะ   ว่ายังไงล่ะ..   สนใจรึเปล่า”


.......................................................................

ซากะติดเครื่องเรือยนตร์ที่ขอยืมมาแล้วเริ่มต้นเดินทางอีกครั้ง    สายลมเหนือที่ปะทะเข้ากับร่างกายนั้นหนาวถึงกระดูกจนแม้แต่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่หนาและอบอุ่นกว่าเดิมก็ยังแทบไร้ความหมาย   ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฝูงนกทะเลบินที่วนเป็นวงกลมอย่างอัศจรรย์ใจที่ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆรอบตัวเลย   วันเวลาที่เหนื่อยล้าและเครียดจัดกับการวิ่งไล่ตามความหวังลมๆแล้งๆทำให้เขาพลาดอะไรไปมากเหลือเกิน    ซากะไม่เคยสังเกตเห็นนกนางนวล    ฝูงสุนัขลากเลื่อน    หรือแม้แต่หมีขั้วโลกสีขาวปลอดทั้งตัวที่เริ่มโผล่หน้าออกมาให้เห็นในช่วงปลายฤดูจนกระทั่งบัดนี้    และด้วยเหตุนี้กระมัง.. ที่ทำให้คาน่อนเกิดประทับใจในสีสันของชีวิตในดินแดนที่หลับใหลอย่างสฟาลบาร์..   เขตทุนดราที่กันดานที่สุดในโลกเช่นนี้

ถึงแม้เขามั่นใจว่าจะต้องพบตัวน้องชายที่ใดที่หนึ่งบนหมู่เกาะที่กำลังมุ่งหน้าไป    ทว่าด้วยระทางกว่าเจ็ดร้อยไมล์จากแผ่นดินใหญ่ส่งผลให้ซากะไม่แน่ใจว่าน้ำมันที่มีอยู่จะพอเพียง   เขาอาจต้องสละเรือลำนี้แล้วยอมกระโดดลงน้ำที่อุณหภูมิติดลบจนน่าใจหายแล้วว่ายต่อไปจนถึงที่หมาย..  ถ้าความหนาวนั่นจะไม่กัดมือเท้าแหว่งหรือทำให้หัวใจเขาเย็นเป็นน้ำแข็งเสียก่อน    แต่อย่างน้อยการที่เขามอบสมบัติที่ติดตัวมาทั้งหมดเพื่อแลกกับการขอยืมเรือก็อาจเป็นคำแก้ตัวที่พอฟังขึ้นเมื่อเขาต้องกลับไปมือเปล่า  

ซากะประคองพวงมาลัยเรืออย่างระมัดระวังเมื่อเข้าใกล้ก้อนน้ำแข็งจำนวนมากที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา   ด้วยตระหนักดีถึงความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติเหล่านี้    ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเป็นเพียงก้อนน้ำแข็งไร้พิษสงที่ลอยนิ่งอยู่บนผิวน้ำแต่บ่อยครั้งที่ลึกลงไปมันกลับกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่เป็นสาเหตุให้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่อัปปางมานักต่อนัก   ชายหนุ่มกำลังชั่งใจตนเอง..  ว่าควรระเบิดมันทิ้งเมื่อจวนตัวหรือควรทำอย่างไรดี    ก่อนจะตัดสินใจว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เพราะแรงจากการระเบิดคอสโมจะพลอยทำให้หิมะและน้ำแข็งในบริเวณข้างเคียงถล่มลงมาพร้อมๆกัน   และมันคือหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย

ดูราวกับโชคชะตาจะเล่นตลกอีกครั้งเมื่อจู่ๆก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นที่ใต้มหาสมุทรที่ทำให้ชายหนุ่มต้องใบหน้าซีดเผือด    ถึงแม้จะไม่รุนแรงนักทว่าผลกระทบที่ตามมากลับทวีคูณ   เมื่อมันบันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าใส่เรือลำน้อย    ซากะเกร็งข้อมือยึดพวงมาลัยเรือไว้แน่นขณะที่เรือพลิกตัวอย่างรุนแรงครั้งที่หนึ่ง   ครั้งที่สอง..   น้ำทะเลที่ซัดสาดเข้ามาเต็มลำทำให้เขาเปียกปอนไปทั้งตัวและหนาวสั่นจนฟันกระทบกัน    ทว่าโชคร้ายที่พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัวไม่ได้มีเพียงแค่คลื่นหนึ่งหรือสองลูก    ชายหนุ่มกัดฟันแน่นแล้วโถมร่างแนบติดพวงมาลัยเมื่อคลื่นลูกที่สามซึ่งอยู่เหนือศีรษะตนเองสูงไม่น้อยกว่าสามสิบฟุต    มันกลืนเรือทั้งลำหายลงไปใต้ท้องสมุทร


....คาน่อน......



............................................................

“โว้ย!!   หนาวฉิบหายเลย

เสียงสบถขุ่นเคืองตามด้วยเสียงจามติดๆกันเป็นชุดดังขึ้นท่ามกลางความมืดของกระท่อมที่ปลูกสร้างอย่างเรียบง่าย    เจ้าของกระท่อมทิ้งสัมภาระ ลงบนพื้นก่อนจะหันไปงมหาไม้ขีดไฟที่อยู่บนโต๊ะกลางห้อง   เปลวไฟในเตาผิงลุกเรืองขึ้นในอึดใจต่อมาพร้อมกับแผ่รังสีความร้อนให้กระจายออกไป   ชายหนุ่มถอนหายใจพลางหันไปมองดูผลงานจากอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง...  เขามั่นใจว่ามันจะต้องเป็นเพราะอารมณ์อ่อนไหวชั่วครั้งชั่วคราวแน่ๆที่ทำให้ตนเผลอเก็บอะไรแบบนี้กลับมาบ้าน    แถมยังเป็นการลงแรงที่หาประโยชน์อันใดไม่ได้เลยสักนิด   เมื่อสิ่งที่เก็บมาได้ในวันนี้ไม่ได้ช่วยได้อิ่มท้อง   แถมครั้นจะถลกหนังเอามาแขวนข้างฝาก็เกรงว่าคงไม่น่ามอง    ถ้าเช่นนั้น..  เอามาทำพรมเช็ดเท้าแทนก็แล้วกัน

นัยน์ตาสีน้ำทะเลกวาดมองไปทั่วร่างที่กองอยู่บนพื้นอย่างเกลียดชัง    นานเท่าใดแล้วที่เขาต้องทนเห็นใบหน้านี้กับการกระทำที่หลอกหลอนมานับครั้งไม่ถ้วน   จนป่านนี้แล้วน้ำคำโหดร้ายเหล่านั้นก็ยังทำพิษเอากับเขาอยู่เลย    แล้วเขาเกิดเป็นบ้าอะไรไม่ทราบ..  ยังเจ็บไม่พออีกหรือไรจึงได้แล่นออกไปเก็บคนๆนี้กลับมา    ทั้งๆที่เขาควรจะจับเจ้าตัวปัญหานี่โยนกลับลงไปในทะเลรึไม่ก็สับเป็นท่อนๆแล้วเอาไปเลี้ยงหมีขั้วโลก ...นั่นก็ยังดูเป็นความคิดที่เข้าท่ากว่า  


....แล้วอะไรทำให้เขาลืมตัวถึงเพียงนี้..  

เพียงแค่จับกระแสคอสโมที่ปั่นป่วนของซากะได้จากกลางมหาสมุทรเขาก็กระโจนลงไปในน้ำที่เย็นจัดโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
ทั้งๆที่รู้ดีว่าช่วงฤดูนี้มหาสมุทรอาร์คติกมิใช่มารดาผู้อารีย์    หากเป็นความบ้าคลั่งอย่างแท้จริงที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างลงไปโดยไม่มีคำเตือนล่วงหน้า...


“ช่างปะไร..  คนเราตัดสินใจผิดพลาดกันได้   แล้วข้าค่อยโยนเจ้าให้ฉลามกินภายหลังก็ยังไม่สาย”  เจมินี่  คาน่อนบ่นพึมพำกับตนเองพลางคุกเข่าลงข้างตัวพี่ชายที่ยังไม่ได้สติ    ชายหนุ่มถอดเสื้อชั้นนอกซึ่งเป็นผ้าเนื้อหนาที่อุ้มน้ำจนหนักอึ้งออกจากร่างที่นอนอยู่อย่างทุลักทุเลแล้วเหวี่ยงสะเปะสะปะไปที่มุมห้อง   ตามด้วยกางเกงและรองเท้าซึ่งเหลืออยู่เพียงข้างเดียว  

“ให้ตาย..  นี่เจ้าเอาเท้าไปทำอะไรมาถึงได้ยับเยินอย่างนี้”   คาน่อนถึงกับครางออกมาเมื่อเห็นสภาพบาดแผลที่เท้าของซากะ   “รึว่าเดี๋ยวนี้ท่านเคียวโกผู้สูงส่งค้ำฟ้ามีรสนิยมใหม่เสียแล้ว...”   น้องชายปากเสียยังไม่วายประชดแดกดันขณะที่มือปลดกระดุมเสื้อตัวในสุดออก   คราวนี้สภาพที่ได้เห็นส่งผลให้เขาต้องหุบปากสนิท    ถึงแม้ว่ารอยพกช้ำตามลำตัวจะไม่รุนแรงนัก   ทว่าซากะศีรษะแตก   ขาข้างซ้ายและแขนหักทั้งสองข้าง   ชายหนุ่มนิ่วหน้าให้กับอาการบาดเจ็บของพี่ชายฝาแฝดก่อนจะลุกขึ้นหันหลังเดินกลับไปที่มุมห้องแล้วรื้อค้นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่กองระเกะระกะอยู่ใต้กองเสื้อผ้าใช้แล้วและไม้ดามที่ขนาดเหมาะมือ   ก่อนจะกลับมาช้อนร่างพี่ชายขึ้นวางบนเตียงแล้วลงมือจัดการกับแขนขาที่หักเป็นอันดับแรก

...ไม่อยากเชื่อ..  ว่าเจ้าซากะจะออกมาเที่ยวเล่นไกลถึงขั้วโลกเหนือ   แล้วยังเกิดคลุ้มคลั่งจนกระโดดน้ำเล่นไล่จับกับปลาวาฬตามด้วยปล้ำกับหมีแก้กลุ้ม..

แถมวอลรัสให้อีกครึ่งโหลก็ยังได้...


คาน่อนขยี้เรือนผมเปียกโชกของตนเองอย่างขัดใจเมื่อรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาอยากให้เป็น    เขารู้ทั้งที่ไม่เต็มใจจะรับรู้ว่าซากะออกตามหาเขา..   และมาไกลถึงที่นี่โดยลำพัง    ชายหนุ่มเหลือบมองบาดแผลที่เท้าของพี่ชายซึ่งเขารู้จักมันดี    ในเมื่อตัวเขาเองก็เคยมีปัญหาถูกหิมะกัดเมื่อช่วงแรกๆที่เดินทางมาถึง    เขาอยากจะนึกให้ซากะเกิดประสาทกินขึ้นมาแล้วถอดรองเท้าวิ่งเล่นบนพื้นหิมะสักสามวันติดต่อกันมากกว่าความจริงที่พอจะเดาได้..  พี่ชายของเขาจะต้องเดินเท้าติดต่อกันเป็นระยะทางที่ไกลโขทีเดียวจึงจะทำให้เกิดบาดแผลได้ถึงขนาดนี้  

...ไม่ยุติธรรมเลย..  

ในเมื่อเจ้าเป็นเสียอย่างนี้แล้วข้าจะเอาเศษเสี้ยวจากตรงไหนมาเปลี่ยนให้เป็นความเกลียดชังล่ะ...


คาน่อนใช้มีดตัดผ้าพันแผลส่วนเกินออกจากศีรษะของซากะแล้วคลี่หนังกวางผืนใหญ่ออกห่มให้ก่อนจะหันมาจัดการกับสารรูปเปียกโชกของตนเอง   หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วชายหนุ่มจัดการรวบรวมผ้าเปียกทั้งหมดออกไปผึ่งลมให้แห้ง   ขณะนั้นเองที่เขาเหลือบเห็นชายผ้าสีเข้มที่โผล่ออกมาจากขอบกระเป๋าลับด้านในของเสื้อพี่ชาย    ด้วยความสงสัย    เขาดึงมันขึ้นมาแล้วคลี่ออกดู.. และจำมันได้ในทันที    วินาทีนั้น...  ที่ความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงพลันเอ่อล้นท่วมท้นหัวใจ    คาน่อนจ้องมองเศษผ้าสกปรกในมือพร้อมด้วยขอบตาร้อนผ่าวขณะที่ภาพวันเวลาเก่าๆของสองพี่น้องหมุนย้อนกลับมา    วันที่พี่ชายฉีกปลอกแขนสำคัญอันนี้ออกแล้วแบ่งกับตนคนละครึ่งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม..  เขานึกอยากให้ตนเองหัวเราะเยาะไอ้โง่ที่ยอมทำลายของมีค่าของตัวเพียงเพราะกลัวว่าน้องจะเสียใจ     แต่ความจริงที่ว่าซากะยังคงเก็บผ้าผืนนี้ติดตัวตลอดเวลากลับทำให้เขาร่ำไห้    คาน่อนเจ็บใจจนบอกไม่ถูก    เมื่อมันยิ่งกว่าเห็นได้ชัดว่าพี่ชายยังคงนึกถึงเขาตลอดมาแม้ว่าเขาจะเลวร้ายเพียงใด    แม้ว่าเขาจะเคยประกาศตัดความเป็นพี่น้องทว่า...    สำหรับซากะแล้วเขาก็ยังคงเป็น น้องชาย เสมอมาไม่เคยเปลี่ยน

“ไอบ้าเอ๊ย..  ครั้งนี้เจ้าเล่นงานข้าจนเดี้ยงสนิทเลยนะ   เล่นชกใต้เข็มขัดแบบนี้แล้วข้าจะเอาอะไรที่ไหนมาสู้ด้วย” คาน่อนปาดน้ำตาทิ้ง   หากก็ยังไม่วาบหันไปจิกกัดพี่ชายตนเอง


ทว่าซากะไม่อาจตอบสนองได้    คาน่อนหันไปมองร่างขาวซีดที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงของตนด้วยใจคอไม่ดี    เขาเคยได้ยินเรื่องคนที่เป็นปอดบวมตายเพราะตกน้ำในฤดูหนาวมามากพอที่จะทำให้ไม่อาจอยู่เฉยแล้วรอให้พี่ชายฟื้นคืนสติเองได้    และเมื่อแตะถูกต้นแขนเขาก็ต้องใจหายวาบ    เหตุใดเขาจึงไม่สังเกตตั้งแต่แรกว่าซากะตัวเย็นชืดราวกับซากศพ    และเป็นเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว    ชายหนุ่มรีบเลิกหนังกวางที่คลุมร่างพี่ออกแล้วก้มลงแนบหูเข้ากับแผ่นอกเพื่อฟังเสียงหัวใจ...   มันยังคงเต้นอยู่    คาน่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก    ถึงแม้จังหวะการเต้นของหัวใจจะอ่อนแรงนักทว่ามันก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่    และเขาได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะยังไม่สายเกินไป  

“อย่ามาทำเป็นใจเสาะ..  ทีเจ้าเอาข้าไปขังแช่น้ำไว้เป็นปีๆยังไม่เห็นจะเป็นไรสักนิด” คาน่อนยังไม่วายตะคอกใส่ร่างซึ่งนิ่งไม่ไหวติง    ชายหนุ่มโยนฟืนอีกหลายท่อนเข้าไปในเตาผิงเพื่อเร่งไฟ   ก่อนจะถอดเสื้อผ้าตนเองออกจนหมดแล้วคลานขึ้นไปบนเตียง   เพื่อทาบร่างเปลือยเปล่าของตนเข้ากับซากะอย่างระมัดระวัง   พยายามที่จะไม่สัมผัสถูกเฝือกที่แขนและขาพลางโอบกอดพี่ชายฝาแฝดไว้แน่น   หวังเพียงแค่ร่างเย็นชืดนี้อบอุ่นขึ้นแม้สักนิด

“ข้าไม่เคยทำอะไรแบบนี้เพื่อใครมาก่อนเลยนะ   ดังนั้นเจ้าจะต้องรอด  
อย่าได้บังอาจมาตายใส่ข้าเป็นอันขาด   ได้ยินที่พูดรึไม่”

ถึงแม้จะเป็นเสียงกระซิบดุดันปราศจากเยื่อใยทว่าแววตาคนพูดกลับแสดงออกในทางตรงกันข้าม   คาน่อนบรรจงซับโลหิตที่ซึมออกมาจากบาดแผลที่ศีรษะแล้วซบใบหน้าเข้ากับเรือนผมสีเข้มของพี่ชายพลางสวดภาวนา    เป็นเวลาปีแล้วปีเล่าที่เขาเคยชินกับการแช่งชักพี่ชายตนเองจากที่คุมขัง   ทว่านี่จะเป็นครั้งแรก..  ที่เขาปรารถนาจะเห็นซากะปลอดภัยด้วยใจจริง 


คาน่อนทิ้งถุงผ้าขนาดใหญ่ลงบนพื้นก่อนจะหันไปปิดประตูกระท่อมเสียงดัง   ชายหนุ่มเดินข้ามห้องไปจุดตะเกียงอย่างใจเย็นโดยไม่สนใจเสียงเตะถีบและเสียงร้องอู้อี้ที่ดังออกมาจากในถุง   ต่อเมื่อทั้งห้องมีแสงสว่างจึงยอมแก้มัดปากถุงออกในที่สุด    เขาจับก้นถุงยกขึ้นสูงและเทสิ่งที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ภายในออกมา   ชายสูงวัยผมขาวโพลนทั้งศีรษะที่กำลังตกใจกลัวสุดขีดกลิ้งออกมาจากถุง   ร่างอ้วนกลมที่กองอยู่บนพื้นอยู่ในชุดสีขาวมีเชือกมัดเท้าและมือไพล่หลังพร้อมด้วยผ้าปิดปาก    ชายหนุ่มจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้เงียบเสียงก่อนจะยอมแก้มัดให้

“นี่เธอคิดจะทำอะไรจับฉันมาทำไม   แล้วที่นี่ที่ไหน!!” ทันทีที่เป็นอิสระ   คำถามก็ถูกระดมยิงเป็นชุด

“ใจเย็นๆครับ..  ผมก็บอกหมอแล้วไงว่ามีคนไข้พิเศษ   แต่หมอเอาแต่มากเรื่อง   จะขอดูบัตรอย่างนั้นอย่างนี้ผมเลยไม่มีทางเลือก”  คาน่อนเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ยี่หระ   ด้วยรู้ดีว่าแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะร้องโวยวายขอความช่วยเหลืออย่างไรก็ไม่เป็นผล   เพราะในรัศมีเกือบแปดสิบไมล์จากที่อยู่ของเขาไม่มีมนุษย์คนใดอาศัยอยู่เลย   และไม่มีทางให้หลบหนีไปไหน    ด้านหลังกระท่อมเป็นผาสูงที่เบื้องล่างเป็นมหาสมุทร   ขณะที่อีกสามด้านเป็นทุ่งหิมะขาวโพลนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนักล่าประจำถิ่นอย่างหมีขั้วโลกหรือฝูงสุนัขจิ้งจอกอาร์คติก  

“หมอช่วยดูนี่หน่อย” เขาเดินนำอีกฝ่ายไปที่เตียงนอน  “ผมพยาบาลเขามาสามวันสามคืนโดยไม่กินไม่นอน   แต่อาการเขาไม่ดีขึ้นเลย   หมอช่วยทำให้เขารู้สึกตัวที” คาน่อนจบคำแล้วหันมามอง   ก่อนจะพบว่าที่พึ่งยามยากของตนยังคงยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่เดิม

“ฉันเสียใจที่ช่วยอะไรไม่ได้   ในเมื่อพวกเธอลักลอบเข้าประเทศมาอย่างผิดกฎหมาย” นายแพทย์ออสไตล์  มิคาเยน   แพทย์ใหญ่ประจำโรงพยาบาลในตัวเมืองกล่าวปฏิเสธอย่างอ้ำๆอึ้งๆ   แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คาน่อนต้องการจะฟัง    ชายหนุ่มชักสีหน้าดุดันใส่พลางย่างสามขุมเข้าไปใกล้

“อยู่ที่นี่กฎหมายช่วยชีวิตคุณไม่ได้หรอก   ถ้าหมอไม่ยอมรักษาพี่ชายผม..  ผมจะจับหมอฉีกเนื้อกินทั้งที่ยังเป็นๆตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอาเศษซากชิ้นส่วนที่เหลือๆไปเลี้ยงพรรคพวกที่อยู่ข้างนอก   ที่บ้านเกิดเมืองนอนของผมเรายังกินเนื้อคนกันอยู่    รับรองว่าจะไม่มีใครรู้ว่าหมอหายตัวไปไหน    เชื่อมือผมได้เลย” คาน่อนสำทับด้วยน้ำเสียงชวนขนหัวลุก   และมันทำให้นายแพทย์ชาวนอร์เวย์ผู้นี้เชื่อสนิทใจ   ใบหน้ากลมสีชมพูแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันตาเห็น

“ถะ..  ถ้างั้นฉันขอตรวจอาการพี่ชายเธอหน่อย   เอาเครื่องมือของฉันคืนมา” ชายผู้น่าสงสารรีบกุลีกุจอเข้าไปที่ข้างเตียงแล้วลงมือตรวจอาการคนเจ็บ   โดยมีน้องชายคนเจ็บยืนตีหน้าโหดคุมเชิงอยู่ห่างๆ


“เธอควรจะพาเขาไปโรงพยาบาล” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเจือตำหนิ   “เพราะที่นี่ไม่มียารักษาอาการปอดบวมอีกอย่างเขาบาดเจ็บมากเหลือเกิน   มันเกิดอะไรขึ้น”  คุณหมอออสไตล์ถามพลางถอดหูฟังออกหลังจากจบการรักษา

“เราเถียงกันนิดหน่อยเรื่องแย่งชิ้นส่วนที่ดีที่สุดของเหยื่อคนก่อนหน้า   แต่ช่างเถอะ..   คุณก็รู้ว่าเราไม่มีใบอนุญาต   เท่ากับว่าตอนนี้เราต้องการแค่ยารักษาพี่ชายผม”  คาน่อนตัดบทพร้อมกับหยิบเชือกขึ้นมาถือไว้

“มาเถอะครับ...  ผมเป็นหนี้บุญคุณหมอแล้ว    ผมจะพาคุณกลับไปส่งที่เดิมอย่างปลอดภัยแต่จ่ายยาเผื่อให้ผมมากๆหน่อยก็แล้วกัน” 


................................................................

เจมินี่  ซากะได้สติในอีกสองวันต่อมา   ชายหนุ่มนิ่วหน้าให้กับความเจ็บปวดที่กระจายไปทั่วร่างก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆแล้วพยายามขยับตัว   ทว่ากลับถูกวงแขนของใครบางคนกอดไว้แน่น

“เจ้างับมือข้า” เสียงกระซิบทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู   ใกล้.. จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนพูด

ด้วยความตกใจ   ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นจากหมอนทันที   ส่งผลให้หน้าผากที่ยังมีเลือดออกซึมโขกเข้ากับน้องชายเต็มแรง    ทว่าเขากลับไม่สนใจความเจ็บปวด   ภาพคาน่อนที่เอามือกุมศีรษะตนเองอยู่ข้างๆทำให้ซากะลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง


“นี่ข้าไม่ได้ฝันไปสินะ..  คาน่อน” เขากระซิบเสียงเบาหวิวพลางจ้องมองน้องชายอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง   ท่ามกลางการเดินทางที่อาศัยเพียงการคาดเดา..   ในที่สุดเขาก็หาคาน่อนพบ   และเขาจะได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้เสียที

“ข้า...   อยากขอโทษ..” ทว่าซากะยังไม่ทันพูดจบคู่แฝดก็เอื้อมมือมาปิดปากเสียก่อน  

“หยุดเลย   เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” คาน่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางก้มลงมองสีหน้าซีดของคนเจ็บแล้วปล่อยมือ
“แค่ตอบข้า..   ว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง”

“ไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน”  ซากะตอบอย่างจริงใจ   ทว่านั่นกลับเรียกรอยยิ้มร้ายกาจจากแฝดอีกคนหนึ่ง   คาน่อนไล้ปลายนิ้วเคลียไรผมพี่ชาย   วงแขนที่โอบกอดพลันกระชับแน่นขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นอ้อมแขนของข้าคงจะทำให้เจ้าพอใจกระมัง” 

ซากะตะลึงมองรอยยิ้มยั่วบนเรียวปากของคู่แฝดอย่างงุนงงก่อนจะละสายตาจากใบหน้าเรื่อยลงไปยังแผ่นอกเปลือยเปล่า    และทันใดนั้นเขาก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ตระหนักว่าทั้งคู่อยู่ในสภาพใด    

“น..  นี่  เจ้าทำอะไรข้า..”  คาน่อนหัวเราะเสียงต่ำๆอยู่ในลำคอเมื่อได้เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มของพี่ชาย

“แล้วเจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ”

ไม่มีวันที่เขาจะยอมให้ซากะรู้ว่าใจจริงแล้วเขาห่วงแสนห่วงเพียงใด    ดังนั้นจึงตั้งใจเพียงแค่จะสัพยอกเล่นเพื่อปิดบังความรู้สึกของตนเอง   ทว่าเมื่อได้เห็นแววตาตำหนิจากพี่    ความรู้สึกที่ต้องการจะเอาชนะก็กำเริบทันที

“เราเป็นพี่น้องกันนะ  เจ้าไม่ควร..
“หุบปากเราไม่ใช่พี่น้อง”  คาน่อนแย้งเสียงแข็ง    นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ

ไม่ใช่แค่พี่น้องแต่เราเป็นยิ่งกว่านั้น    เราถือกำเนิดขึ้นมาจากเลือดเนื้อก้อนเดียวกัน    
และเราเคยใกล้ชิดกันยิ่งกว่านี้เมื่อครั้งที่อยู่ในท้องแม่ของเรา   เจ้าอย่าได้ทำท่าทางรังเกียจข้าอย่างนี้อีก”

ถึงแม้จะแสดงท่าทีโมโหเพียงใดหากซากะก็จับกระแสน้อยใจในน้ำเสียงน้องได้เสมอ    ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยถือโทษโกรธเคืองคู่แฝดอย่างจริงจังเลยสักครั้ง   ไม่ว่าอย่างไรคาน่อนก็ยังคงเป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่เคยเปลี่ยน 

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยรังเกียจเจ้า   ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ออกตามหาเจ้าไกลถึงเพียงนี้” วิธีปลอบโยนเช่นนี้ได้ผลดีเสมอมา    สีหน้าบึ้งตึงคลายลงเล็กน้อย   คาน่อนยอมคลายวงแขนออกแต่โดยดีแล้วปั้นหน้าเครียด 

“เจ้านี่มันชอบทำตัวเป็นภาระไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ” ชายหนุ่มยังไม่วายชักสีหน้าใส่พี่ชาย
  
“ข้าต้องตามไปเก็บเจ้าขึ้นมาจากทะเล   แบกเจ้ากลับมาที่นี่แล้วตามหมอมารักษา   จากนั้นเจ้าก็นอนไม่รู้เรื่องอยู่ตั้งหลายวันแถมยังดื้อไม่ยอมกินยา   พอข้าจะเปิดปากเจ้า..  เจ้าก็งับมือข้า    เจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนรู้รึไม่”

“แต่..  ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นสักหน่อย”   

“ใช่สิ!  เจ้าแค่บังเอิญแขนหักทั้งสองข้าง   ขาหัก   หัวแตก   เท้าเยิน    แค่นี้เอง  
และถ้าหากว่าเพียงเท่านี้เจ้ายังว่าน้อยไปข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้ด้วยการหักขาเจ้าอีกสักข้างก็ยังได้”คาน่อนไม่เปิดโอกาสให้คู่แฝดเถียงกลับ   ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นนั่งแล้วเลิกผ้าห่มสารพัดผืนออกจากร่าง   ก่อนจะลงจากเตียงแล้วคว้ากางเกงมาสวม

ซากะถอนหายใจแล้วปิดปากเงียบด้วยไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย   เมื่อบทสนทนาส่อแววว่าหากปล่อยไว้อีกไม่นานทั้งสองฝ่ายคงได้ระเบิดลงเป็นแน่    ชายหนุ่มเบนความสนใจมาสังเกตสิ่งที่อยู่รอบๆตัวแทน    เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกะทัดรัดที่ค่อนข้างมืดเพราะไม่มีหน้าต่าง    ฝาผนังทั้งสี่ด้านก่อขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยหินซึ่งพอจะเดาได้ว่าเจ้าของคงระเบิดออกมาจากภูเขาแถวๆนี้    ขณะที่เพดานห้องกลับต่ำเสียจนเกือบจะต้องก้มศีรษะเวลายืน   นอกนั้นก็มีเพียงเครื่องเรือนฝีมือหยาบๆอีกไม่กี่ชิ้น

“ไม่อึดอัดแย่หรือ”  เขาถามขณะที่มองขึ้นไปบนเพดานห้อง

“ไม่” คาน่อนแหงนหน้ามองตาม  “มันเป็นเรื่องจำเป็น   ในเขตอากาศหนาวเย็นแบบนี้การสร้างเพดานเตี้ยๆจะช่วยกักเก็บความร้อนในห้องได้ดีกว่า”  ชายหนุ่มเดินกลับมาที่เตียงพร้อมด้วยแก้วยา    ทว่าซากะส่ายหน้า

“เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังก่อน   เจ้ากินอยู่อย่างไรในสถานที่กันดารอย่างนี้”

คาน่อนยักไหล่ราวกับการใช้ชีวิตในทุ่งน้ำแข็งเป็นเรื่องไม่น่าใส่ใจและไม่มีค่าควรเล่า

“ข้าก็ทำนั่นทำนี่อยู่แถวๆกระท่อม   ล่าสัตว์   ตกปลา   นานๆก็เข้าเมืองไปหาซื้อของสักครั้ง” ชายหนุ่มเล่า  พลางลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง

“แล้วเจ้าเข้าไปในเมืองอย่างไรกับระยะทางไกลโขอย่างนี้  ..ละเมื่อครู่เจ้าบอกว่าตามหมอมารักษาข้า..”  ดูราวกับซากะไม่ต้องการที่จะพลาดอะไรเลยสักอย่างเดียว   ทว่าคำถามนี้กลับทำให้คาน่อนอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะตอบอย่างไม่เต็มใจ

“ข้า..  ข้าก็มีสโนโมบิล   ย..  อยู่ข้างนอกน่ะ 

ซากะหรี่ตามองน้องชายฝาแฝด   เมื่อไรก็ตามที่คาน่อนแสดงอาการพิรุธเช่นนี้ให้สงสัยเอาไว้ได้เลยว่าจะต้องมีอะไรสักอย่าง   และเขารู้ดีเป็นบ้าว่ามันไม่เคยเป็นเรื่องดีเลยแม้สักครั้งเดียว

“เจ้ากำลังปิดบังอะไรข้าอยู่   สโนโมบิลคันนั้นเจ้าได้มันมาอย่างไร” 

ยิ่งถูกคาดคั้นคาน่อนก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นสุข   ตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่งบัดนี้    แววตาเช่นนี้ของซากะไม่เคยทำให้เขาสบายใจเลยสักครั้ง   ทว่าการถกเถียงกันเหมือนเด็กทารกทำให้ความรู้สึกเก่าๆที่สูญหายไปนานแสนนานหวนกลับมา   เขารู้สึกว่าเท้าทั้งสองของตนเองได้แตะพื้นในที่สุด   กี่ปีมาแล้ว..  ที่เขารู้สึกราวกับรอบตัวมีแต่ความว่างเปล่า   ทว่าตอนนี้ไม่อีกแล้ว    มันสมบูรณ์แบบที่สุด    ชีวิตเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น

“คาน่อน!”

“ข้าขโมยมันมา!  แต่ช่างเถอะน่า    ข้าก็เล่าเรื่องความเป็นอยู่ให้ฟังแล้วทีนี้เจ้าต้องกินยาเสียที”

ครั้งนี้ซากะยอมผงกศีรษะขึ้นอย่างว่าง่ายและดื่มยาจากแก้วจนหมด 
“ช่วงที่ข้าไม่รู้สึกตัวเจ้าคงลำบากแย่   ขอโทษที่กัดมือเจ้า” เขาขยับลงนอนราบพลางนิ่วหน้าเมื่อมันกระเทือนถึงบาดแผล   จึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของน้องชาย

“ไม่เป็นไรหรอก   ยังดีที่อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้กัดริมฝีปากข้ายามที่ป้อนยา” คาน่อนพูดหน้าตาเฉยขณะเก็บแก้วยา   ทว่าที่แฝดผู้พี่กลับอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก

“เจ้า..  เจ้าทำอะไรนะ!”

“ข้าพยายามช่วยเจ้านะ!   ในเมื่อทั้งหมดที่เจ้าทำคือพยายามจะกัดข้า    ดังนั้นข้าคิดว่าข้าเป็นผู้เสียหายนะ  
แล้วตกลงเจ้าดั้นด้นมาถึงที่นี่เพียงเพื่อจะกล่าวโทษข้าอีกหรือไร” คาน่อนหันมาโวยวายและทำให้คู่แฝดเงียบเสียง   ซากะถอนหายใจพลางบอกตนเองว่าค่อยกลับมาคิดบัญชีเรื่องนี้ภายหลัง   เวลานี้คือโอกาสสำคัญที่เขาจะได้น้องชายกลับคืนมา

“ข้ากำลังขอให้เจ้ายกโทษให้ข้า   เวลาผ่านมานานนัก..  และมันก็ทำให้ข้าได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองโง่เขลาเพียงไร”

คาน่อนไม่ตอบ    ชายหนุ่มเดินกลับมาที่เตียงแล้วลงนั่งข้างๆพี่ชายก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้ดู   และทันทีที่เห็น..  ซากะเบิกตากว้างขณะที่หัวใจเต็มตื้นไปด้วยความสุข   มันคือปลอกแขนอันสำคัญที่ตนเคยฉีกแบ่งครึ่งกับน้องคนละชิ้น   ทว่าเวลานี้ทั้งสองชิ้นมีรอยเย็บบิดๆเบี้ยวๆที่เชื่อมระหว่างกัน   ถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่คาน่อนจะให้ได้โดยไม่ต้องอาศัยคำพูด   และนับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับเขาในรอบหลายปีที่ผ่านมา  

“ข้าไม่เคยลืมเจ้าเลย    ไม่เคยเลยแม้แต่วันเดียว” ซากะเอ่ยเสียงแผ่วพร่าขณะประสานสายตากับน้องชายพลางรับรู้ถึงความรู้สึกของวิญญาณอีกครึ่งของตน   ทว่าบัดนี้เขาได้อยู่ในที่ซึ่งควรอยู่แล้ว   เขามีบ้านให้กลับพร้อมทั้งคนที่พร้อมจะทำทุกสิ่งเพื่อเขา   เช่นเดียวกับเขา..  ที่พร้อมจะทำทุกสิ่งเพื่อคาน่อน

“ข้ารู้” คาน่อนตอบเรียบๆ
“หลายปีที่ผ่านมาข้าต้องฉลองวันเกิดตนเองท่ามกลางความหนาวและหิวโหย   ในเมื่อตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของข้าหายสาบสูญไปตั้งแต่วันที่ข้าถูกคุมขัง    หลังจากนั้นข้าก็ไม่มีอะไรเหลืออีกเลยนอกจากความว่างเปล่า    ดังนั้นช่วยอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม  ซากะ..  
อย่าทำให้ข้าต้องรู้สึกอย่างนั้นอีก   เอาของขวัญของข้าคืนมาเถอะ   ข้าอยากกลับบ้านเต็มทีแล้วแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”

ซากะกัดฟันทนความเจ็บปวดแล้วยื่นมือออกไปหาน้องชาย   เขาได้ตระหนักว่าบัดนี้เมฆดำที่ตั้งเค้ามานานได้ผ่านพ้นไปแล้ว   และจะต้องมีหนทางที่สดใสรออยู่อย่างแน่นอน

“น่าขันนะ   เราต่างก็หลงทางกันทั้งคู่เลย
แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว   เพราะเราต่างก็หาที่ทางของเราพบในที่สุด..  และเจ้าจะเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดสำหรับข้า”


...เสมอไป...



~End~

5 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมากๆ น่ารักดีค่ะ ได้อารมณ์ของทั้งสองคนดีจัง

    #1 By peung (124.157.220.95) on 2010-05-05 15:59
    -------------------------------------------


    ช่างเป็นพี่น้องที่รักกันหเลือเกิน
    เปิดน้ำผลไม้หมักฉลอง
    แนนมีtweet หรือ FB มั้ยคะ จะได้ตามแบบไม่พลาดอีก


    #2 By moonyforever on 2010-05-18 00:57
    --------------------------------------------


    แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย(ขอดังๆสีกที)

    คู่นั่น....คู่นั่น....

    คาน่อน x ซาง่า บันซายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    รักพี่มูนที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดดดดด --กระโดดกอดพี่มูนเป็นหมีโคอาล่า--

    มันส่อแววดาร์กมาแต่ไกล น่อนเอ๊ย....ง่าเค้าจำเป็น เอ็งไปเสนอความคิดบ้าๆนั่นให้เค้าทำไมล่ะ =3=


    NaCl « ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 16, 2010, 03:51:08 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.0

    #3 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:32
    -------------------------------------------


    ขอบคุณที่จัดฟิคมาตามคำขอค่ะ แต่อย่ามายั่วให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ซิคะคุณมูนดรอป

    จะน่อนง่าหรือง่าน่อนเราชอบหมดค่ะ ขอแค่ง่าหล่อเท่น่อนเถื่อนโทรมเป็นพอค่ะ (เกี่ยวไหมเนี่ย)

    แต่ถ้ามีทั้งน่อนง่า ง่าน่อนในเรื่องเดียวก็คงดีนะคะ น่าสนุกดี

    รออ่านนะคะ > <


    Lazuri « ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 17, 2010, 12:15:32 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.0

    #4 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:34
    ------------------------------------------


    ง่าโศกมันโฮกมากกกกกกกกกกกกกกกก อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    ...ขอเพียงแค่ได้รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ที่ไหนสักแห่ง.. ขอเพียงเท่านั้นจริงๆ

    ประทับใจประโยคนี้มาก....มันให้ความรู้สึกเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงทรวง T^T ฝาแฝดเค้ารู้สึกอย่างนี้ล่ะมั้ง ไม่สมบูรณ์ ต้องอยู่ข้างกันเสทอไม่งั้นก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป

    ตอนนี้ง่าก็....ตามที่เราเข้าใจนะ....หา"สถานที่"ของตัวเอง แล้วน่อนๆก็เป็นสถานที่นั้น (นึกถึงเพลง somewhere I belong เลยแฮะ)

    ยกฟิคเรื่องนี้ให้เป็นน่อนง่าเถอะค่ะ TwT --ลงไปคุกเข่าขอ-- พรีสสสสสสสสสสสสสสส

    ปล.โห ฉีกของมีค่าทางใจแบบนั้นแบ่งครึ่ง มันให้อารมณ์ประมาณฉีกตุ๊กตาหัวตัวแบ่งครึ่งให้เลย (เป็นความรู้สึกที่ออกสงสารพิลึก อะไรๆก็ต้องแบ่งครึ่ง)


    NaCl « ตอบ #8 เมื่อ: มีนาคม 17, 2010, 03:52:49 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.0

    #5 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:35
    --------------------------------------------


    TwT!
    คุณมูนยังเขียนฟิคเก่งเหมือนเดิมจริงๆ ด้วยคะ T[]T !
    (อ่านแล้วก็แอบกรี๊ดไป)

    อยากบอกว่า ชอบที่ซางะฉีกผ้าแล้วแบ่งกับคาน่อนคนละครึ่งค่ะ T T มันดูแบบ ดูเป็นอะไรที่ความทรงจำดี

    ว่าแต่ ง่าจะไปหาน้องน่อนที่ไหนคะเนี่ย =[]='


    mummy « ตอบ #9 เมื่อ: มีนาคม 17, 2010, 07:13:40 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.0

    #6 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:35
    -------------------------------------------


    อ่านไปโฮกไปเลยค่ะ ถูกใจมากมาย

    อ่านแล้วซึ้งกับความผูกพันของพี่น้องค่ะ ตอนที่ซากะบอกว่าเวลาอยู่กับคาน่อนทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีที่ให้กลับไปนี่โดนค่ะ

    เราว่าฟิคนี้ไม่เชิงออกแนววายนะคะเหมือนคู่พี่น้องที่ผูกพันกันมากๆมากกว่า โดยส่วนตัวเราชอบแนวนี้นะคะดูผูกพันกันทางใจดี
    (แต่ถึงจะมีทางกายก็ไม่เกี่ยงค่ะ )

    รออ่านตอนต่อไปค่ะ > <

    ป.ล สนใจแต่งอัสเดฟบ้างมั้ยคะคุณมูน/ ได้คืบเอาศอกแฮะ

    Lazuri « ตอบ #10 เมื่อ: มีนาคม 18, 2010, 01:10:48 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.0

    #7 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:36

    ตอบลบ
  2. เห็นซางะพยายามตามหาคาน่อนแบบนี้แล้วก็นึกอยากจะให้สองคนนี้ได้เจอกันจริงๆ ค่ะ T T

    ทำไมแฝดคู่นี้มันถึงได้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้ คาน่อนไปอยู่กับท่านโพแบบนี้ซางะจะหาเจอได้ยังไงค่ะเนี่ย T[]T!

    แต่ชอบคุณมูนจังเลยค่ะที่เขียนออกมาไวมาก XD ได้อ่านฟิคแบบนี้ทุกวันแล้วรู้สึกชื่นใจจังค่ะ


    mummy « ตอบ #13 เมื่อ: มีนาคม 19, 2010, 02:24:38 am »


    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.0

    #8 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:37
    -------------------------------------------


    ไอ้ขี้เมา(ขอเรียกอย่างนี้นะ)มันช่างบังอาจนัก.........(เป็นบทเรียนว่าจงสงบปากสงบคำไว้ซะ ไอ้กระจอกเอ๋ย....)

    มันกล้าเชยคางง่าด้วย =[]=!!!! ไม่ถูกส่งไปมิติอื่นก็บุญแค่ไหนแล้ว (ข้อหา....แต๊ะอั๋งประมุขผู้ศักดิ์สิทธิ์....)

    เหมือนง่ากำลังเดินวนในความมืดเลยแฮะ ได้แต่ใช้สายสัมพันธ์ที่เบาบางนำทาง (แต่น่อนก็ไปเป็นเบ๊โปเซดอนแล้ว....ง่าจะว่ายนำไปรึ?)


    NaCl « ตอบ #14 เมื่อ: มีนาคม 19, 2010, 06:32:01 am »


    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.0

    #9 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:38
    --------------------------------------------


    อึงนิดๆแฮะที่พี่แกไปนั่งเครื่องบินแบบนั้น =w=""

    (แอร์ฮอสเตสอยากแอ้มคนสวย ฮ่า)

    ง่านี่ไปแบบพวกแบ็คแพ็คเลยแฮะ พวกนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวประเทศอื่นโดยมีแค่กระเป่าเป้ติดตัวอ่ะ

    เราว่าเนื้อเรื่องออกเศร้านะ ง่าไปตามหาน่อนเพื่อแค่ให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเจอแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ถ้ามือเปล่าไปจะต้องเจ็บอีกเท่าไรก็ไม่รู้


    NaCl « ตอบ #16 เมื่อ: มีนาคม 19, 2010, 03:31:54 pm »


    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #10 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:39
    -------------------------------------------


    แลดูเป็นอะไรที่ตามหาหัวใจ + ที่อยู่ของตัวเองมากเลยค่ะเรื่องนี้ TwT
    แอบรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวรอบโลกพร้อมซางะยังไงก็ไม่รู้ค่ะ XD แหม ซางะจ้า~ ไม่สนใจมาที่ไทยบ้างหรอ ถ้ามา mummy จะให้ยืมห้องอยู่เลยนะเอ้า ! แถมข้าวปลาอาหาร ที่พักฟรีเลย XD!

    แล้วเป็นอีกตอนที่เชียร์ให้ซางะหาคาน่อนพบค่ะ TwT แอบเดาทางคุณมูนไม่ออกเหมือนกันคะ ว่าคุณมูนจะใจดียอมให้สองคนนี้เจอกันหรือเปล่า T[]T! แต่ mummy แอบอยากให้เจอกันนะคะ T[]T! (แง้)


    mummy « ตอบ #17 เมื่อ: มีนาคม 19, 2010, 07:09:27 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #11 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:40
    -------------------------------------------


    ออกแนวผจญภัยนะคะเนี่ยแต่เดินทางหาคนตามลำพังเนี่ยมันดูโดดเดี่ยวจังนะคะ อ่านแล้วรู้สึกถึงความเหงาเลย

    แต่ซากะเค้าหัวดีออกน่าจะหาจนเจอเงื่อนงำได้แหละค่ะ ขอเชียร์ท่านพี่ต่อไปหาคุณน้องให้เจอให้ได้นะคะ


    Lazuri « ตอบ #18 เมื่อ: มีนาคม 19, 2010, 10:01:34 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #12 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:41
    -------------------------------------------


    โห....อยากส่งเมะสักคนไปกอดให้ไออุ่นง่าเค้าจัง....

    มันช่างทรหดมากมาย....จบภารกิจ(?)แล้วง่าจะเดินไหวมั้ยเนี่ย...(อย่าว่า แต่เดินเลย เจ้าตัวจะฟื้นไข้รึเปล่าเนี่ย ทั้งหนาวทั้งเปียก ถ้าไม่ล้มป่วยก็ซูปเปอร์แมนแล้ว)

    ง่าจมนำ =[]=!!! ม่ายยยยยยยยยยยยยย น่อนรีบมาผายปอดเร้วววววววววววววววววว


    NaCl « ตอบ #21 เมื่อ: มีนาคม 20, 2010, 03:19:48 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #13 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:42
    -------------------------------------------


    ... น่อนจ๊ะ ช่วยมาเป็นเมอร์เมดช่วยเจ้าชายทีสิจ๊ะ TwT
    คุณพี่ท่านเค้าอุตส่าห์ลงทุนขนาดนี้แล้ว T[]T! ให้อภัยพี่เค้าเถอะนะ T[]T !


    mummy « ตอบ #22 เมื่อ: มีนาคม 20, 2010, 11:19:46 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #14 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:43

    ตอบลบ
  3. เราฮาตอนที่ซากะบอกว่าอยากเค้นคอน้องตัวเองค่ะ สมควรค่ะต้องให้พี่มาตกระกำลำบากตามง้อข้ามประเทศขนาดนี้

    ชอบตอนที่บอกว่าจะคุยกันให้เข้าใจด้วยค่ะ ถึงเป็นแฝดกันแต่ก็เป็นคนละคนไม่ได้คิดอะไรเหมือนกันทุกเรื่องถ้าไม่พยายาม ยอมรับความแตกต่างของอีกคนมันก็ไม่เข้าใจกันซักที

    จบตอนได้ cliffhanger มากค่ะ ลุ้นอย่างแรง > <


    Lazuri « ตอบ #24 เมื่อ: มีนาคม 21, 2010, 12:45:43 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #15 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:44
    -------------------------------------------


    เห็นพี่ง่าแกโหยหาน้องซะขนาดนี้แล้วยอมแพ้ค่ะ..

    แล้วน้องน่อนแกจะคิดได้อย่างนี้ไหมอ่ะ? <--ตูไม่รู้ ตูไม่เห็นนี่หว่า

    ยังไงก็อยากเชียร์ให้เจอะกันด้วยดีค่า.. (แต่ก็มีแอบกลัวคุณพี่จะเจ็บหนักกว่าเดิม)

    ป.ล. แอบฝันสลายเรื่องอัสเดฟนิดๆ ง่ะ ..แต่ไม่เป็นไรค่ะ ขอแฝดภาคปกติเยอะๆ นะคะ^^


    nona09 « ตอบ #25 เมื่อ: มีนาคม 21, 2010, 06:11:05 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #16 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:44
    ---------------------------------------------


    พูดตรงๆ เราชอบตอนนี้ที่สุดตั้งแต่อ่านมาเลย....

    โอ้ววววววววววววววววววววววววววว

    โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววววว

    โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

    จะเมะจะเคะยังไงช่างหัวมันก่อน แต่ความรับอย่างพี่น้องมันซาบซึ้งกินทั้งใจกินทั้งอารมณ์จนพูดไม่ออกเลยอ่ะ T[]T

    น่อนก็ยังอภัยให้พี่ไม่ได้ อยากจะเกลียดแต่พอเห็นสภาพพี่แล้วก็เกลียดไม่ลง แต่เราว่าจริงๆเจ้าตัวคงดีใจลึกๆนะที่คนสำคัญลากสังขารมาได้ไกลถึงขนาดนี้

    ส่วนง่า.....ขอลงไปนั่งสวดกับน่อนอีกคนได้มั้ย....ท่านดูร่อแร่คางเหลืองเต็มทีแล้วงิ T T

    ว่าแต่ไอ้วิธีให้ความอบอุ่นโดยใช้ร่างกายนี่มันเป็นที่นิยมจังแฮะ....นึกภาพง่าตอนตื่นขึ้นมาแล้วเห็นน่อนเปลือยอยู่ข้างๆไม่ออกเลย

    ปล.น่อนประชดได้บรรเจิดได้อีก....จินตนาการลำลึกยิ่งนัก


    NaCl « ตอบ #28 เมื่อ: มีนาคม 21, 2010, 06:58:48 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.15

    #17 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:45
    --------------------------------------------


    คุณมูนคะ >[]< ปากก็ไปอย่างแต่การกระทำเนี่ยไปอีกอย่างเลย อยากบอกว่าพอน้องน่อนเป็นแบบนี้แล้ว mummy ก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูไม่ได้เลยอะคะ >[] <


    Lazuri « ตอบ #31 เมื่อ: มีนาคม 22, 2010, 01:14:27 am »


    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #19 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:47
    -------------------------------------------


    คาน่อนอุตส่าห์ตามไปงมพี่เชียวหรือคะ? .....


    .................

    (นั่นไง นั่นไง นั่นไง.....ตัดกันไม่ขาดจริงๆ ด้วย! )


    ................

    เจ็บนี้..ท่านง่าไม่เจ็บตัวฟรีแล้วค่ะ!

    ไหนๆ ก็พยายามเรียกคะแนนสงสารจากน้องน่อนเข้านะค้าาาา <--เค้าเริ่มใจอ่อน หวั่นไหวแล้ว ..สู้ตายค่าท่านง่า >[]< ปากก็ไปอย่างแต่การกระทำเนี่ยไปอีกอย่างเลย อยากบอกว่าพอน้องน่อนเป็นแบบนี้แล้ว mummy ก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูไม่ได้เลยอะคะ >[] <


    nona09 « ตอบ #32 เมื่อ: มีนาคม 22, 2010, 04:42:21 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #20 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:47
    ---------------------------------------------


    เเละเเล้วมันก็จบเสียที (ไชโย10หน)


    หลังจากปั่นเรื่องนี้เเล้วทำให้มูนรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เเก่เกินเเกง วันละตอนยังไหว (เเล้วทำไมกะฟิคยาวมันไม่เป็นอย่างนี้บ้าง- -*)



    ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามกันมาตลอด6วันนะคะ ถ้ามีเวลามูนจะเขียนSAGAxKANON มาให้อ่านอีกค่ะ^ ^

    « ตอบ #33 เมื่อ: มีนาคม 22, 2010, 10:19:54 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #21 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:49

    ตอบลบ
  4. คุณมูนเก่งมากจริงๆ ค่ะที่เขียนวันละตอนได้ด้วย ><
    ยังไงคาน่อนก็เป็นน้องชายที่น่ารักได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆค่ะ >< ถ้ามีน้องชายแบบนี้ละก็รักตายเลย (ฮา) มีคอตกตอนโดนพี่ล้วงความลับอีกต่างหาก
    แอบอยากให้เรื่องจริงๆ เป็นอย่างในฟิคของคุณมูนจังค่ะ TwT/ แต่เอ๋ ? แล้วแบบนี้ที่แซงค์จะทำไงละคะเนี่ย =w='' เคียวโกหายตัว ...
    (แต่หายตัวไปแบบนี้ mummy ยอมค่ะ XD ถ้าหายตัวไปแล้วไปสร้างบ้านอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแบบนี้)
    จะว่าไปก็แอบฮาคุณหมอด้วยค่ะ XD โดนน้องน่อนขูซะ ... แหม คุณหมอขรา น้องน่อนเค้าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอกค่ะ XD ออกจะน่ารัก น่าเอ็นดูขนาดนี้

    ขออวยพรให้คุณมูนมีเวลาว่างอีกเยอะๆ เลยคะ XD ส่วนตัวแล้วชอบอ่านฟิคของคุณมูนมากมาย
    ยิ่งถ้าเป็นง่าน่อนนี้ *w* ไม่พลาดแน่นอนคะ !


    mummy « ตอบ #34 เมื่อ: มีนาคม 22, 2010, 10:53:27 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #22 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:50
    ---------------------------------------------


    ไชโย 10 ครั้งให้คุณมูนดรอปค่ะ ปิดฉากฟิคได้งดงามมาก คนอ่านอย่างเราสุขใจมากมายค่ะ

    เราก็เป็นเหมือนคุณมัมมี่ค่ะ อ่านตอนนี้แล้วอดยิ้มตามไม่ได้เลยคือบทพูดกับปฏิกิริยาโต้ตอบของแฝดคู่นี้ มันน่ารักมากจริงๆเลยค่ะ > <

    น่อนทำตัวร้ายๆเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพี่ซินะคะ น่ารักดีค่ะเหมือนเด็กประถมที่สาดทรายใส่หน้าคนที่ตัวเองแอบชอบเลย (ช่างเปรียบเทียบได้....)

    ขอเชียร์ให้เขียนง่าน่อนค่ะ คุณมูนดรอปเขียนฟิคแฝดได้โดนใจมากค่ะ

    ป.ล เรารออ่าน Angel, in the dark เสมอค่ะ


    Lazuri « ตอบ #35 เมื่อ: มีนาคม 22, 2010, 11:45:47 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #23 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:51
    -------------------------------------------


    โฮกท่านมูนมากค่ะ TwT มันช่างเป็นฟิคที่สุดยอดมาก (แค่อัพรายวันได้ก็เทพแค่ไหนแล้ว)

    อ่านแล้วอยากเป็นหมอในทันที....ได้พยาบาลคนสวยมันคุ้มค่าาาาา ถึงจะโดนลากมาและถูกขู่กินเนื้อก็เถอะ =w=" (น่อนมันช่างกล้า ไม่กลัวหมอแกวางยาพี่เป็นการแก้แค้นเรอะ)
    ตอนอ่าน "เจ้างับมือข้า" ครั้งแรก งงเลย....หา? งับมือ? (มันงับกันอีท่าไหนง่ะ)
    อยากจะตะโกนแอร๊ยดังๆตอนที่น่อนมันกอดง่าแบบ....เปลือย...(กดเลยน่อนนนน กดเลยยยยยยยยยยยยยยย พี่แกออกจะน่ารักปานนี้)
    อยากเห็นภาพง่ากัดมือน่อนวุ้ย....คงฮาพิลึก....
    แต่อยากเห็นภาพน่อนป้อนพี่ด้วยปากมากกว่า *[]*!! (ง่าถูกล้วงเกินไปเยอะเลยสินะ....)
    สุดท้ายมันก็คืนดีกันได้ ว่าแต่ง่าจะไม่กลับแซงค์แล้วหรอเนี่ย(ตำแหน่งเคียวโกยกให้ใครน่ะนั่น)

    ยำอีกครั้ง....น่อนกดพี่เอ็งเล้ยยยยยยยยยยยยย

    ขอบคุณคุณมูนมากค่ะที่ออกฟิคดีๆมาให้บริโภคกันแบบนี้....แต่ง่าน่อนไม่เอาน้าาาาาาาาาาาาาาา


    NaCl « ตอบ #37 เมื่อ: มีนาคม 23, 2010, 06:46:34 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #24 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:52

    ตอบลบ
  5. จริงๆ เเล้วมูนไม่ได้เน้นเรื่องกลับหรือไม่กลับเป็นประเด็นเท่าไหร่ค่ะ คำว่า "บ้าน" หรือ "ที่ทาง"ในฟิคเรื่องนี้ ที่จริงเเล้วค่อนข้างเป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม บ้านสำหรับ2พี่น้องในที่นี้คือ "ที่พักพิงของหัวใจค่ะ" ดังนั้นไม่ได้หมายถึงเเซงทัวรี่ หรือกระท่อมของคาน่อน เเต่เป็นที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นที่มีคน2คนอยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกับชื่อฟิค You're The Only Place คำว่า "Place"ในที่นี้ก็ไม่ใช่สถานที่ เเต่มันคืออาณาเขตเเห่งความสุขสงบในจิตใจ ซึ่งมันสูญเสียไปเพราะขาดใครบางคน


    มูนตั้งใจจะสื่อให้เห็นว่าของที่เป็นคู่กันเมื่อถูกนำมาเเยกออกจากกัน เเล้วมันไม่มีอะไรดีเลย มันมักจะขาดอะไรบางอย่างไปเสมอ เเต่เมื่อได้กลับมาอยู่รวมกันเเล้วมันก็สมบูรณ์เเละลงตัว อย่างที่เราจะเห็นว่าเมื่อซากะกับคาน่อนอยู่ด้วยกันเเล้วสีสันของเรื่อง เปลี่ยนไปค่ะ


    ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกๆคอมเม้นเเละกำลังใจค่า

    ปล.. เรื่องต่อไปเรามารั่วกันหน่อยดีรมั้ยคะ*0*


    « ตอบ #38 เมื่อ: มีนาคม 23, 2010, 09:35:59 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #25 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:52
    --------------------------------------------


    จบแบบมีน้ำมาหล่อเลี้ยงหัวใจอย่างนี้... พูดอะไรไม่ออกแล้วค่ะ (ลงไปกลิ้งดีกว่า)

    ขอบคุณ คุณมูนมากเลยค่า.. จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ ^^


    nona09 « ตอบ #42 เมื่อ: มีนาคม 26, 2010, 06:27:45 am »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #26 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:53
    -------------------------------------------


    อัพตอนไหนง้ะ =[]=""""

    ไม่ได้เข้าบอรืดนานมาก อ่านจุใจเลยครับ

    ผมชอบฟิคคุณมูนมากๆอ่ะ จะวายจะชายหญิงภาษาก็สวยลื่นตามากๆเลยครับ (เเต่อยากอ่านวายมากกว่า อุ๊ยหลุด)


    YorU « ตอบ #43 เมื่อ: เมษายน 25, 2010, 06:44:34 pm »

    http://www.saintseiyathaifanclub.com/smf_n/index.php?topic=13684.30

    #27 By ~Moondrop~ on 2010-10-22 07:54
    ------------------------------------------
    >< อร๊ายยยยยยย เป็นคู่ที่น่าโฮกคู่หนึ่งนะเนี่ย

    #28 By umi on 2012-04-22 17:30


    Read more: http://moon-drop.exteen.com/#axzz21PmdgQb0 http://moon-drop.exteen.com/20100323/you-re-the-only-place#ixzz22S4MvmAx
    Under Creative Commons License: Attribution

    ตอบลบ