8/01/2555

Precious memories: Memory of Saito Hajime









“นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้ชาย

ถอยไปห่างๆเถอะ..  อย่ามาคอยเฝ้าอยู่แถวนี้เลย”


ไม่..   เขาไม่อาจวางใจปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ได้จริงๆ   ทั้งๆที่นางกำลังเจ็บท้องเพราะลูกที่กำลังจะเกิดมา   แต่ในฐานะสามีแล้วเขากลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย   ไซโต  ฮาจิเมะเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องที่ปิดเงียบเชียบมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้   หลังจากที่ส่งคนรับใช้ไปตามหมอตำแยมากลางดึก   จนบัดนี้ตะวันตกดินไปหลายชั่วโมงแล้วแต่ทุกอย่างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ   สองหูของเขายังคงได้ยินเสียงภรรยากรีดร้องอย่างน่าสงสาร   ขณะที่สองขายังคงเดินย่ำอยู่หน้าห้องนอนโดยไม่คิดจะหยุดพัก   เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งนางไว้ให้ต่อสู้ตามลำพังอย่างเด็ดขาด   แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตอนนี้ตนเองจำเป็นต้องสงบสติอารมณ์เสียก่อน..  นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฮาจิเมะพยายามจะทำให้ได้ในขณะนี้   แม้ว่าจะมิได้นอนหลับพักผ่อนหรือดื่มกินอะไรมากว่าหนึ่งวันเต็มๆแล้วก็ตาม   

ชีวิตของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในนาทีที่รู้ตัวว่ากำลังจะได้เป็นพ่อคนเมื่อแปดเดือนก่อน   ตั้งแต่นั้นมาฮาจิเมะก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะดูแลสุขภาพของภรรยาให้ดีที่สุด   จิสึรุของเขาทั้งตัวเล็กและแบบบางเสียจนชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่านางจะอ่อนแอเกินไปจึงได้บำรุงทั้งอาหารและสมุนไพร   ก็ด้วยความหวังว่านางแข็งแรงและคลอดง่าย   เขาไม่เคยรู้หรอกว่าจริงๆแล้วเวลาสตรีคลอดลูกนั้นจะต้องเจ็บปวดสักเพียงไหนนอกจากรู้ว่าเป็นตายเท่าๆกัน   ดังนั้นเขาจึงหวังว่าภรรยาจะปลอดภัยและมีชีวิตอยู่เคียงข้างกันไปนานๆ   

ทว่าเวลานี้เสียงร้องครวญครางของนางกำลังทำให้เขาประสาทเสีย..  ถึงแม้หลายเดือนที่ผ่านมานางจะพร่ำบอกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้หญิง   ทว่าในความรู้สึกของฮาจิเมะแล้วเรื่องที่จะมิให้คิดห่วงใยในตัวคนรักนั้นฟังดูกระไรอยู่   ทั้งๆที่เขาเคยคิดมาตลอดว่าตนเองเตรียมใจรับมือกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้วทว่าเอาเข้าจริงก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้   และอีกครั้งกับการเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องแล้วทำตัวราวกับเป็นสุนัขเฝ้ายามที่ไม่ต้องการจะไปไหนทั้งสิ้นนอกจากคอยชะเง้อคอมองเข้าไปข้างในทุกครั้งที่มีโอกาส  

ยิ่งกว่านั้นความเป็นห่วงภรรยาทำให้หัวหน้าหน่วยที่สามแห่งกลุ่มชินเซ็นไม่ได้กลับไปเข้าฐานวันนี้เป็นวันที่สองแล้ว   ทั้งๆที่เขาไม่เคยละทิ้งภาระหน้าที่มาก่อน.. เรื่องนี้ใครๆก็รู้   และนั่นก็ทำให้ทางกลุ่มตัดสินใจส่งใครบางคนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น  ..หรืออีกนัยหนึ่งคือมาเป็นกำลังให้   ช่วยไม่ได้จริงๆที่ฮาจิเมะอดคิดไม่ได้ว่าการที่พวกนั้นส่งโอคิตะ  โซจิมาดูนั้นช่างไม่ต่างอะไรกับการซ้ำเติมเลย   เมื่อตั้งแต่มาถึงหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น   นอกจากนั่งเอนหลังพิงเสาไม้อยู่ที่ระเบียงทางเดินอย่างเงียบๆขณะที่สายตาจับจ้องมองเขาอย่างสบายอกสบายใจ   และถ้าหากว่าฮาจิเมะไม่ได้รู้จักโซจิมานานพอล่ะก็   เห็นทีเขาคงคว้าดาบขึ้นมาแล้วลากอีกฝ่ายออกไปประมือกันที่ลานบ้านเพื่อสั่งสอนเสียแล้ว   เขารู้ว่าตนเองคงจะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการซัดโซจิให้หมอบเพื่อให้ลืมความกังวลเรื่องจิสึรุไปได้สักพัก

“ไม่เอาน่า..  กำลังจะเป็นพ่อคนอยู่แล้วยังจะทำตาขวางเช่นนั้นอยู่อีกหรือ” 

นั่นปะไร..  เสียงกลั้วหัวเราะของโซจิทำให้ฮาจิเมะรู้สึกหงุดหงิดอีกแล้ว   แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาที่จะยั่วเย้าให้เกิดโทสะทว่าชายหนุ่มก็อดขมวดคิ้วไม่ได้  

“มานั่งกับข้าดีกว่านะฮาจิเมะคุง   เจ้าเดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงจนพื้นใกล้จะสึกอยู่แล้ว 
ไม่เมื่อยบ้างรึไง”

เป็นอย่างที่คาดไว้..  โอคิตะ  โซจิถอนหายใจเมื่อไม่ได้รับคำตอบ   กระนั้นก็มิได้เบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย   กลับจะคิดว่าเป็นโชคของตนเสียด้วยซ้ำที่ได้มาเห็นอะไรดีๆเช่นนี้   ชายหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอกแล้วเฝ้ามองอาการนั่งไม่ติดของสหายอย่างขบขัน   เมื่อไซโต  ฮาจิเมะซึ่งเคยเยือกเย็นสุขุมกลับกลายเป็นคนละคนนั้นหาดูได้ง่ายๆที่ไหนกัน   ยิ่งกว่านั้นอาการเดินพล่านไม่หยุดของอีกฝ่ายกำลังทำให้โซจิคิดชั่งใจว่าควรจะนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นๆฟังต่อดีหรือไม่   เขายังกล้าพนันด้วยซ้ำไป.. ว่าดีไม่ดีเรื่องนี้อาจไม่มีใครเชื่อก็เป็นได้   และถ้าหากการมีครอบครัวแล้วจะสามารถทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้เขาเองก็อยากจะเห็นนัก   ว่าเมื่อมีลูกหลายๆคนเข้าฮาจิเมะจะเปลี่ยนไปสักเพียงไหน   ชายหนุ่มกระแอมกระไอพลางคิดถึงเรื่องในอนาคต   คงไม่ผิดกระมัง..  ที่คนป่วยอย่างเขาก็คิดอยากจะวาดฝันเหมือนคนอื่นๆ

“ ..จะกลายเป็นพ่อเจ้าระเบียบที่เข้มงวดกับทุกเรื่องรึเปล่านะ”  

คำถามที่ไม่เฉพาะเจาะจงนั้นส่งผลให้คนที่เดินพล่านไม่หยุดต้องหันกลับมามองด้วยความสงสัย  

“เจ้าว่าอะไรนะ”  ไซโต  ฮาจิเมะถูกดึงความสนใจในที่สุด   เขาหยุด..  ก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนผู้นั่งรออยู่นานแล้วพร้อมด้วยใบหน้าซึ่งระบายรอยยิ้มยียวน   โซจิหัวเราะเบาๆ

“ข้าแค่สงสัยว่าเจ้าจะเป็นพ่อแบบไหนกัน   ถึงแม้ว่าเวลานี้มันอาจเร็วเกินไปที่จะถาม   แต่ข้านึกภาพเจ้าที่ถูกเด็กๆรุมล้อมไม่ออกจริงๆ” 

อันที่จริงเขายังแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าผู้ชายมาดนิ่งสนิทจนติดจะเหมือนคนขี้อายอย่างเจ้าหมอนี่จะมีความสนใจในตัวสตรีอยู่ด้วยเหมือนกัน   แต่คงจะไม่มีอะไรทำให้โซจิประหลาดใจได้มากไปกว่าวันที่ฮาจิเมะกลับมาจากเยี่ยมบ้านเกิดพร้อมทั้งจูงมือจิสึรุเข้ามาบอกเรื่องการหมั้นหมายหรอก   เพราะการประกาศตัวแบบสายฟ้าแลบในวันนั้นพาให้ทุกคนในฐานชินเซ็นล้วนแต่อึ้งจนพูดไม่ออกไปตามๆกัน   และมันช่วยไม่ได้จริงๆที่เขารู้สึกว่าวันเวลาช่างผ่านไปเร็วนัก   ในเมื่อหนุ่มสาวคู่นี้แต่งงานอยู่กินมาเกือบสองปีแล้วกว่าจะมีลูกคนแรกด้วยกัน   โซจิอดนึกขันไม่ได้..  เช่นนี้ก็คงนับได้ว่าไซโต  ฮาจิเมะยังพอมีฝีไม้ลายมืออยู่บ้างกระมัง    

คำถามของเพื่อนทำให้รอยยิ้มเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮาจิเมะ  “จะเป็นแบบใดนั้นไม่สำคัญหรอก   ยังไงข้าก็ตั้งใจว่าจะอบรมสั่งสอนลูกตามวิธีการของข้า”  หัวหน้าหน่วยที่สามทรุดกายลงนั่งเหยียดขา  “ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง  ..นั่นไม่ต่างกัน”

“ฮะๆ  อย่าบอกนะว่าเจ้าจะสอนให้ลูกสาวจับดาบ   ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงข้าขอแสดงความเสียใจกับนางไว้ล่วงหน้าเลยที่มีพ่ออย่างเจ้า”

“หรืออาจเป็นลูกชายก็ได้..”  ฮาจิเมะขัดขึ้นทันควันพลางหันกลับไปมองที่ประตูห้องอย่างมีความหวัง 

“จริงๆแล้วข้าก็ไม่ได้รังเกียจการมีลูกสาวหรอกนะ   แต่หากเป็นลูกชายก็คงสบายใจได้เปลาะหนึ่งว่าอย่างน้อยก็มีผู้สืบสกุลแล้ว
และที่เจ้าพูดมามันก็ใช่..  ข้าตั้งใจไว้ว่าจะฝึกฝนให้เขาหรือนางสามารถเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์   เผื่อวันใดที่ไม่มีข้าคอยปกป้องจะได้..”

ทว่าชายหนุ่มทั้งสองถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหวีดร้องแหลมที่ดังออกมา    และคราวนี้มันทำให้ไซโต  ฮาจิเมะหมดความอดทนในที่สุด   เขาขยับลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ห้องก่อนที่โซจิจะทันห้ามปราม   หัวหน้าหน่วยที่หนึ่งถอนหายใจอย่างระอาเมื่ออีกฝ่ายกระชากประตูเปิดและหายเข้าไปในข้างในโดยไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าเป็นการสมควรหรือไม่

“ฮาจิเมะคุง..”

.. เจ้าบ้าเอ๊ย   แบบนี้ข้าไม่รับรู้ด้วยแล้วนะ  

และจิสึรุจังก็คงไม่ค่อยชอบใจนักหรอก..


“จิสึรุ!!

ความเป็นห่วงคนรักทำให้ฮาจิเมะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น   และท่ามกลางแสงสว่างจากโคมกระดาษในห้อง..   หัวหน้าหน่วยที่สามไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะได้พบเห็นอะไรอย่างนี้   ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักรบที่เคยชินกับการรบราฆ่าฟัน  บาดแผล  และคาวโลหิตมานักต่อนักแล้ว   ทว่าไม่มีอะไรเหมือนหรือใกล้เคียงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว..  ไม่มีเลยจริงๆ

มันเป็นความผิดของเขาเองที่พรวดพราดเข้ามาทั้งๆที่ควรจะรออยู่ข้างนอก..  เมื่อภาพภรรยาที่นอนหงายอยู่บนที่นอนโดยที่ต้นขาทั้งสองแยกออกจากกันพร้อมด้วยร่างกายท่อนล่างที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตปริมาณมากราวกับจะทำให้นางจะเสียเลือดจนถึงแก่ความตายได้นั้นทำให้เขาแทบหัวใจหยุดเต้น   ขณะที่หมอตำแยซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขานางกำลังโอบอุ้มทารกที่เพิ่งคลอด   ซึ่งดูแล้วเหมือนก้อนเมือกสีแดงที่เปียกลื่นมากกว่าที่จะเป็นลูกของเขา   เพราะทั้งตัวทารกและมือที่ช้อนอุ้มนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่หยดแหมะลงบนที่นอนสีขาว   ส่งผลให้ไซโต  ฮาจิเมะถึงกับปากคอสั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก   วินาทีนั้นเขารู้สึกว่ามือเท้าตนเองเย็นเฉียบก่อนจะชาจนหมดความรู้สึก   จากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย   

..ตึง!..


“ฮาจิเมะซัง!”  จิสึรุที่ยังคงอ่อนเพลียร้องลั่นเมื่อหันไปเห็นร่างสูงใหญ่ของสามีทรุดฮวบลงกองกับพื้นแล้วสิ้นสติสมประดี  

“ปล่อยเขาไว้”  เสียงหมอตำแยดังขึ้นอย่างไม่สนใจประสานไปกับเสียงทารกที่กำลังร้องไห้จ้า  “ผู้ชายพวกนี้คิดว่าเด็กเกิดออกมาจากกระบอกไม้ไผ่หรือไงนะถึงได้เป็นเหมือนกันไปหมด   ใจเสาะเสียไม่มีละ”  นางถอนหายใจ  “รอให้ข้าล้างเนื้อตัวเด็กคนนี้ให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยจัดการกับเขาก็ยังไม่สาย” 

“ตะ..  แต่”

“ไม่ต้องตกใจไปหรอก..  ข้าเคยเห็นผู้ชายตัวโตกว่าเขาเป็นลมพับเพราะเรื่องพรรค์นี้มานักต่อนักแล้ว    ต่อให้เก่งกล้าแค่ไหนลองถ้าได้เห็นอะไรแบบนี้ล่ะก็รายไหนรายนั้น    ไม่ต้องกังวลไป”  นางพูดขณะที่มือก็ทำงานอย่างแคล่วคล่องว่องไว

“เจ้าได้ลูกสาวที่งดงามมากนะแม่หนูน้อย   ข้าดีใจกับพวกเจ้าทั้งคู่จริงๆ”  สตรีที่สูงวัยกว่าชำเลืองมองนาง    มีแววเอ็นดูปรากฏขึ้นที่หางตายับย่นขณะที่จิสึรุถึงกับหายใจไม่ออกเมื่อได้รับรู้

“ลูกสาวของข้า.. งั้นหรือคะ” 

ราวกับอยู่ในความฝันมากกว่าที่จะเป็นจริง   นางยื่นมือออกไปรับร่างเล็กกระจ้อยร่อยเข้ามาไปกอดไว้แนบอกอย่างแสนจะปลาบปลื้มพลางพินิจดูรูปหน้าและทุกสิ่งทุกอย่างของลูกน้อยเนิ่นนาน   พร้อมทั้งแน่ใจว่าตนคงไม่มีวันเบื่อที่จะได้เฝ้ามองเจ้าตัวน้อยที่น่ารักที่สุดนี้ราวกับว่ามีเวลาเท่าไรก็คงไม่พอ   ขณะที่หมอตำแยล้างมือในถังไม้จนสะอาดก่อนจะหันไปเปิดห่อผ้าเพื่อหยิบยาขวดเล็กๆออกมา   จากนั้นก็เดินเข้าไปหาร่างที่นอนเหยียดยาวสิ้นสติอยู่บนพื้นห้องพลางส่ายหน้า

“ข้าก็เตือนตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าเข้ามา  
เป็นยังไงล่ะพ่อหนุ่ม..  ลุกได้หรือยัง”

ไซโตฮาจิเมะฟื้นคืนสติหลังจากที่สูดกลิ่นฉุนจากขวดที่จ่ออยู่ตรงจมูกเข้าไป   ชายหนุ่มทำหน้าย่นพร้อมทั้งขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี   แต่แล้วก็นึกขึ้นได้..

“จิสึรุ”

ร่างงามในชุดนอนที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่หลับตาพริ้มอยู่พร้อมด้วยห่อผ้าเล็กๆในอ้อมแขน   และเป็นอีกครั้งที่ฮาจิเมะต้องตกตะลึง   มิใช่เพราะสาเหตุเดียวกับเมื่อครู่..  แต่เป็นเพราะตนไม่เคยเห็นภาพที่งดงามจับใจขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต   แม้ว่าหลังคลอดจิสึรุจะยังมีใบหน้าซีดขาวและดูอิดโรยนัก   ทว่าความเอิบอิ่มในสีหน้ายามที่นางโอบกอดลูกน้อยไว้แนบอกนั้นทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้   ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้แล้วคุกเข่าลงข้างที่นอน   ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปลูบศีรษะคนรัก

“..ฮาจิเมะซัง”  นางลืมตาขึ้นมองเขาแล้วยิ้มอย่างอ่อนแรง  “เป็นยังไงบ้างคะ”

“ข้าต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายถาม”  เขาเอ่ยเสียงพร่าขณะที่จับจ้องสองแม่ลูกที่นอนอยู่ตรงหน้า

“เจ็บที่สุดในชีวิตของข้าเลย” จิสึรุบอก   พลางก้มลงมองลูกน้อย “แต่ก็คุ้มค่าเหลือเกิน   ลูกสาวของเรางดงามมากใช่มั้ยคะ   ข้าคิดว่านางเหมือนพ่อนะ”  ไซโต  ฮาจิเมะรับห่อผ้าอ้อมมาจากภรรยาพลางจ้องมองดวงหน้าเล็กๆที่ยังไม่ลืมตา   ไม่ต้องสงสัยเลย..  เจ้าตัวน้อยนี่ย่อมต้องเหมือนเขาอย่างแน่นอน   อึดใจนั้นคลื่นแห่งความภาคภูมิใจและหวงแหนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง   และเขายิ่งกว่าพร้อมจะสังหารใครหรืออะไรก็ตามที่บังอาจมาคุกคามหรือทำให้นางเจ็บปวด

“ข้าเห็นด้วยกับเจ้า”  เขาบอกพลางก้มลงจุมพิตหน้าผากภรรยาอย่างแผ่วเบา

“เก่งเหลือเกินที่รัก   เจ้าอดทนได้ดีมาก”  โดยที่ยังมีลูกสาวอยู่ในอ้อมแขน   ฮาจิเมะก้มลงหอมแก้มคนรัก   ก่อนจะเคลื่อนไปยังริมฝีปากนุ่มแล้วประทับจูบเนิ่นนาน   ปลดปล่อยอารมณ์ให้ดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของทั้งคู่และซึมซับเอาบรรยากาศหวานล้ำไว้ในอกเมื่อความวิตกกังวลทั้งหมดมลายสิ้น

“อะแฮ่ม   ข้าว่าเจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าข้ายังอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงยียวนกวนประสาทของสหายหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งทำให้ไซโต  ฮาจิเมะถอนหายใจพรืดอย่างช่วยไม่ได้   ชายหนุ่มยืดกายขึ้นจากที่นอนพร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างภรรยาจนมิดชิดก่อนจะหันกลับไปยังต้นเสียง   ขณะที่โอคิตะ  โซจิหัวเราะขันท่าทางที่ราวกับจะตรงเข้ามาขย้ำคอตนเอง   กระนั้นก็ยังคงก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่สะทกสะท้าน  

“เอ..  หรือว่าเข้าไม่ควรจะเข้ามาขัดจังหวะนะ..  จิสึรุจัง”

ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว   เมื่อจิสึรุได้แต่ทำหน้าแดงก่ำแล้วปล่อยให้สามีจัดการกับคนปากมากด้วยตนเอง

“เจ้าอย่ายุ่งกับนางเลยน่า”  ฮาจิเมะปรามเพื่อนเสียงเข้มขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้แล้วก้มลงมองทารกน้อยในอ้อมแขน

“ถ้างั้นส่งอายากะจังมาให้ข้า”  โซจิไม่พลาดที่จะได้เห็นสีหน้างุนงงของสองสามีภรรยา   เขายิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปรับห่อผ้าอ้อมเข้ามากอดไว้  “หมายถึงมวลดอกไม้หลากสียังไงล่ะ..  เป็นชื่อที่ดีออกนะ   ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวสักครู่   ดังนั้น..”  ชายหนุ่มยังคงไม่สนใจกับท่าทีไม่เห็นด้วยของเพื่อน  โซจิขยับลุกขึ้นยืนพร้อมทารกน้อยก่อนจะออกไปจากห้อง  “ปล่อยให้พ่อแม่ของเจ้าได้จู๋จี๋กันอีกสักหน่อยเถอะ   ระหว่างนี้อาโซจิจะดูแลเจ้าเองนะ..  อายากะจัง”


“ไอ้เจ้านั่น..  มันกล้าดีอย่างไรถึงได้มาตั้งชื่อให้นางตามอำเภอใจเช่นนั้น” 

ทว่าภรรยาคนงามกลับหัวเราะขำท่าทางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงของสามีที่พลาดหวังที่จะได้ตั้งชื่อให้ลูกคนแรกของทั้งคู่   มือนุ่มเกาะกุมหลังมือใหญ่อย่างอ่อนโยนขณะที่จิสึรุสบตากับคนรัก

“แต่ข้าชอบชื่อนี้นะคะ”  นางยกหลังมือเขาขึ้นแนบแก้ม   และนั่นทำให้แววตาชายหนุ่มอ่อนลงทันที  “ข้าสังเกตเห็นมานานแล้วว่าโอคิตะซังมักจะชอบคลุกคลีอยู่กับเด็กๆ   บางที..  นอกจากเราสองคนแล้วก็คงจะมีเขาอีกคนนี่ล่ะค่ะที่ยินดีกับการที่เด็กคนนี้เกิดมา” 

ฮาจิเมะไล้ข้อนิ้วไปตามโครงหน้าแสนรักของภรรยาพลางคล้อยตามนางอย่างว่าง่าย   เมื่อได้ฟังจิสึรุพูดถึงโซจิเช่นนี้..  ความไม่พอใจเมื่อครู่ก็ดูจะบรรเทาเบาบางลง  “ก็ได้..  เป็นเพราะว่าเจ้าพอใจกับชื่อนั้นหรอกนะ    ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มีวันเห็นด้วยแน่ๆ   ลูกของเราจะต้องเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง..  ข้าจึงคิดว่าชื่อของนางก็ควรจะฟังดูเข้มแข็งด้วย”

“แต่..  นางเป็นเด็กผู้หญิงนะคะ” 

“ถึงอย่างไรนางก็เกิดมาในตระกูลของนักรบ   ตามธรรมเนียมแล้วสตรีทุกคนในตระกูลนักรบต้องสามารถปกป้องบ้านได้ตามสมควรอยู่แล้ว   อย่างน้อยยามเมื่อมีอันตรายพวกนางก็ควรกวัดแกว่งอาวุธเพื่อคุ้มครองชีวิตลูกๆและคนในบ้านได้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงขณะที่ภรรยาได้แต่นอนหน้าซีดด้วยอดสงสารลูกน้อยมิได้  “ข้าตั้งใจว่าจะฝึกให้นางเข้มแข็งและดูแลตนเองได้ไม่แพ้ลูกชายบ้านไหนๆ”

..ใช่สิ..   แล้วลูกสาวของนางก็คงจะมีปัญหากับการใช้ชีวิตในส่วนที่เหลือยังไงล่ะ..
หากถูกฝึกให้แกร่งถึงเพียงนั้นจริงแล้วความอ่อนโยนในแบบผู้หญิงจะเอาไปไว้ที่ไหนกัน   และวันข้างหน้านางมิต้องออกเรือนหรอกหรือ..  แล้วผู้ชายที่ไหนจะมาสนใจ   เพียงแค่คิดก็ทำให้คนเป็นแม่รู้สึกเครียดเสียแล้ว

ถึงแม้ว่าจิสึรุรักที่จะคล้อยตามความประสงค์ของสามีมาตลอด   ทว่ากับเรื่องนี้แล้วนางแทบไม่กล้าคิดเลยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป   แต่ไม่ว่ายังไงนางจะไม่มีวันทนมองลูกจับดาบออกไปรบกับพวกผู้ชายอย่างเด็ดขาด   และนั่นคงจะเป็นสาเหตุความขัดแย้งระหว่างนางกับสามีแน่ๆ



.................................................

หกปีผ่านไป..

จิสึรุไม่มีโอกาสขัดแย้งกับสามีอีกแล้ว   เมื่อนางต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดูแลลูกอ่อนวัยสี่เดือนเศษ..  บุตรชายคนที่สองของทั้งคู่   ขณะที่คนแรกเกิดหลังจากพี่สาวเพียงปีเศษๆเท่านั้น   และเพียงเท่านั้นก็ทำให้นางหมดแรงจะโต้เถียงเรื่องวิธีการที่ฮาจิเมะอบรมสั่นสอนลูกๆ   แน่นอนว่าเขายังคงอ่อนโยนกับนางเหมือนเช่นวันแรกที่แต่งงานกัน   จิสึรุใบหน้าแดงซ่านยามที่ภาพในอดีตผุดขึ้นในห้วงคำนึง   ..ในครั้งนั้นไซโต  ฮาจิเมะจูงมือนางพาหนีออกมาจากบ้านของบิดาเขากลางดึก   หลังจากที่ทั้งสองถูกวางยาแล้วจับแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ   แล้วจากนั้นเขาก็..

“ท่านแม่!  ..ท่านพี่แกล้งข้า”

เสียงลูกชายคนโตที่วิ่งร้องไห้ได้ยินมาแต่ไกลส่งผลให้ภาพฝันในอดีตเลือนหายไป   จิสึรุวางลูกน้อยลงบนที่นอนก่อนจะห่มผ้าให้อย่างเบามือ  จังหวะเดียวกับที่เด็กชายวัยกำลังซนอีกคนหนึ่งกระโจนเข้ากอดจากด้านหลัง   หญิงสาวหันไปมองก่อนจะถอนหายใจพลางใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูก

“คราวนี้อะไรอีกล่ะ   นี่ถ้าท่านพ่อรู้เข้าล่ะก็..”

นางรู้ดีว่าสามีจะไม่โอ๋ลูกอย่างแน่นอน   ไซโต  ฮาจิเมะเป็นพ่อที่ค่อนข้างเข้มงวดกับลูกๆอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน   ดังนั้นทั้งลูกสาวและลูกชายซึ่งยังเล็กนักจึงต้องตื่นแต่ย่ำรุ่งเพื่อฝึกดาบไม้พร้อมๆกับผู้เป็นบิดา   และอาการร้องไห้โยเยเช่นนี้ทำให้จิสึรุพอจะเดาสาเหตุได้.. 

“เพราะท่านอาโซจิเอาแต่เข้าข้างท่านพี่.. ข้าถึงได้แพ้    ข้าไม่ผิดนะขอรับท่านแม่”  

“ข้าว่าข้าไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นเด็กขี้แยเลยนะ” 

ยามางุจิ  จุนอิจิโร่ยังไม่ทันให้มารดาปลอบก็มีอันต้องสะดุ้งเพราะเสียงทุ้มลึกที่ดังขึ้นเบื้องหลัง   เด็กน้อยหันไปมองร่างสูงของบิดาที่เพิ่งกลับจากทำงานอย่างหวาดๆแล้วหยุดร้องไห้ในที่สุด   ขณะที่ฮาจิเมะถอดเสื้อคลุมออกเก็บก่อนจะนั่งลงแล้วจึงกวักมือเรียกบุตรชายเข้าไปหา

“มานี่สิ”  ชายหนุ่มช้อนร่างน้อยขึ้นนั่งบนตักพลางสำรวจดูศีรษะที่บวมปูดเท่าลูกมะนาวแล้วถามเสียงเข้ม

“วันนี้แพ้พี่สาวมาอีกแล้วล่ะสิ”  เขาถามพลางซ่อนยิ้มไว้ในใบหน้าขณะที่จ้องมองลูกด้วยนัยน์ตาคมปลาบ   และเมื่อเจ้าตัวเล็กผงกหัวรับอย่างไม่เต็มใจฮาจิเมะก็กระชับอ้อมแขนแน่นเข้าแล้วพร่ำสอน

“ดีมากที่เจ้ากล้ารับความจริง  ..ถึงจะแพ้ก็ไม่เป็นไร   วันหลังค่อยสู้กันใหม่ก็ยังไม่สาย”  มือใหญ่ลูบศีรษะเล็กๆอย่างอ่อนโยน “ฝีมือดาบของเจ้ากับอายากะสูสีกันมาก   ข้าเชื่อว่าหากตั้งใจจริงเจ้าจะเป็นฝ่ายชนะ   แล้วสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องปกป้องพี่สาวได้อย่างแน่นอน”

“แต่ข้าไม่อยากปกป้องหรอกขอรับ!”  จุนอิจิโร่สูดน้ำมูกแล้วรีบฟ้องด้วยความคับแค้นใจ  “ท่านพี่มีท่านอาโซจิอยู่แล้วทั้งคน   ข้า..  ข้า..” 

ไซโต  ฮาจิเมะถอนหายใจเมื่อเจ้าตัวดีทำท่าจะเบะอีกรอบ   ชายหนุ่มชำเลืองมองภรรยาที่แอบยิ้มขำอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้องแล้วดันหลังบุตรชายให้ยืนขึ้น

“พอที..  ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้   ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าฝึกหวดอีกร้อยดาบหรือไม่ก็จนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น    ส่วนตอนนี้ไปได้แล้ว  ..ไปบอกท่านอาของเจ้าว่าข้ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย”   

จิสึรุได้แต่ยิ้มขำเมื่อตระหนักดีว่าสามีใจอ่อนเมื่อเห็นลูกเจ็บตัวจึงไม่อยากจะบ่นว่าไปมากกว่านี้   และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางไม่เคยโต้เถียงเรื่องลูกกับฮาจิเมะ   เพราะรู้ดีว่าภายใต้ความเข้มงวดเจ้าระเบียบนั้น..  สามีนางรักและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อลูกๆไม่แพ้พ่อคนไหน   และวงแขนที่ขยับเข้าสวมกอดจากด้านหลังนั้นก็ทำให้นางเผลออุทานออกมา  

“เจ้าไม่ช่วยข้าเลย”

หญิงสาวยิ้มให้กับถ้อยคำตัดพ้อก่อนจะเงยหน้าขึ้นรับจุมพิตจากคนรัก   พลางรับรู้ได้ถึงแรงปรารถนาจากอ้อมแขนร้อนผ่าวที่โอบกอดพร้อมกับเสียงหัวใจเต้นถี่รัวราวกับใกล้ระเบิด   ไซโต  ฮาจิเมะหมุนร่างงามให้หันมาหาแล้วกระชับอ้อมแขนให้กายแนบชิดกันมากขึ้น   แล้วจุมพิตแผ่วเบาในทีแรกก็ค่อยๆลึกซึ้งยิ่งขึ้น   พาให้อารมณ์ตื่นเพริด   ขณะที่มือใหญ่ซอนลึกอยู่ในกลุ่มผมนุ่มลื่นของภรรยา

“อย่าสิคะ  ข้ายัง..”  จิสึรุเบือนหน้าหนีแล้วพยายามดันแผงอกชายหนุ่มให้ถอยห่างทว่าอีกฝ่ายกลับขืนตัวไว้   วงแขนกว้างยังคงกระชับแน่นอย่างไม่ยินยอม 

“ช่างใจร้ายนัก..  ข้าจากบ้านไปเพราะภารกิจครั้งนี้ตั้งสองสัปดาห์   ยังไม่ทันหายคิดถึงเลยเจ้าจะรีบไล่ไปไหนกัน..”

“แต่ข้าว่าพวกเจ้าแยกจากกันก่อนก็ดีนะ   ก่อนที่ข้ากับอายากะจังจะต้องรีบหาน้ำล้างตา”   โอคิตะ  โซจิส่งเสียงไอแห้งๆขณะที่เดินเข้ามาในห้องอย่างไม่ให้สุ้มเสียงพร้อมด้วยสาวน้อย..  ผู้เป็นต้นเหตุเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพี่น้องเมื่อครู่   หัวหน้าหน่วยหนึ่งเอามือที่ปิดตายามางุจิ  อายากะลงขณะที่โอบอุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมอก   

“ดูพ่อกับแม่ของเจ้าสิอายากะจัง  ..หวานใส่กันจนน่าอิจฉาจริงๆ”

“เจ้าบ้าโซจิ” 

ฮาจิเมะไม่รู้จะสรรค์หาคำใดมาบรรยายความทะเล้นทะลึ่งไม่เลือกเวลาของโซจิเลย   เขาจำต้องปล่อยมือจากภรรยาอย่างไม่เต็มใจก่อนที่อีกฝ่ายจะวางลูกสาวตัวน้อยให้ลงยืนกับพื้น   จากนั้นแม่หนูน้อยก็วิ่งเข้าหาอ้อมแขนมารดาก่อนที่ทั้งคู่จะพากันออกไปจากห้อง   ชายหนุ่มถอนหายใจ..  ไม่ว่าเมื่อไหร่โอคิตะ  โซจิก็พร้อมจะทำตัวเป็นก้างขวางคอได้ตลอดเวลา   เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเจ้าหมอนี่จึงได้ชอบแวะมาที่นี่นัก   ทั้งๆที่ระยะทางระหว่างบ้านของตนกับที่ตั้งฐานในปัจจุบันก็มิได้ใกล้กันเลย  

“ดูเหมือนเจ้าจะเข้าข้างอายากะออกนอกหน้าไปแล้วนะ”  เขายังไม่วายบ่นก่อนที่จะเริ่มต้นพูดคุยเรื่องงาน   ทว่าโซจิกลับยิ้ม 

“จุนอิจิโร่จังวิ่งมาฟ้องไวทันใจเสียจริงนะ   แต่ก็อย่างว่า..  ข้าแค่ให้คำแนะนำกับแม่สาวน้อยของข้าเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง”

“เจ้าทำราวกับว่ามีแต่นางเท่านั้นที่เจ้าห่วงใย  ..แต่ช่างเถอะ   มาเข้าเรื่องกันดีกว่า   งานของเราคราวนี้ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนัก   ยังไงก็ตามการจะซื้อใจคนจำนวนขนาดนั้นมาเป็นพวกย่อมต้องใช้เวลาและความอดทนมากกว่านี้   พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปรายงานผลการเจรจากับท่านรองด้วยตนเอง”

“นั่นสินะ..  ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าทางนั้นคงไม่ให้คำตอบง่ายๆ    ว่าแต่เจ้าคิดจะทำงานเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหนหรือ  ฮาจิเมะคุง”    

“สบายใจได้..  ข้ายังไม่คิดจะถอนตัวเวลานี้หรอก   แล้วตัวเจ้าน่ะ..  ทั้งที่อากาศเริ่มเย็นลงแล้วยังจะออกมาข้างนอกทำไมกัน   แบบนี้อาการจะไม่ทรุดลงหรือ”    

โซจิล้วงขวดแก้วเล็กๆที่บรรจุของเหลวสีน้ำตาลขุ่นออกมาจากอกเสื้อแทนคำตอบ   “รู้มั้ยว่านี่อะไร”  เขาชูมันขึ้นตรงหน้าแล้วแกว่งเบาๆ  “เจ้าน่าจะดีใจกับข้าได้แล้วนะ   เพราะมันคือยารักษาโรคตัวใหม่ล่าสุดที่ข้าได้มาจากหมอชาวต่างชาติ   เห็นว่ามีสรรพคุณดีกว่ายาของเราหลายเท่าทีเดียวล่ะ   และข้าเชื่อว่าอีกไม่นานประเทศของเราจะรับอะไรหลายๆอย่างมาจากตะวันตกไม่เฉพาะแค่ยาหรอก”

“ก็คงใช่   และนั่นหมายความว่าเจ้าอาจมีโอกาสหายขาดสินะ” 

“ใครจะรู้..  ก็คงต้องรอดูกันต่อไปล่ะนะ  
แต่ตอนนี้น่ะข้ายังสู้ไหว   และจะไม่ยอมหยุดพักอย่างแน่นอน”

ไซโต  ฮาจิเมะยิ้มบางๆ   เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของเด็กๆและข่าวดีจากสหายร่วมอุดมการณ์คือของขวัญล้ำค่าที่สุดเท่าที่ตนจะมีได้ในเวลานี้   ชายหนุ่มหันไปกุมมือนุ่มของภรรยาที่ยกน้ำชาเข้ามาให้ขณะที่ดึงให้นางลงนั่งเคียงข้าง   เขาอดใจหายมิได้เมื่อรู้ดีว่าโซจิพูดถูก..  ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งกระแสนิยมตะวันตกไม่ให้แพร่เข้ามาได้   แต่ถึงแม้จะตระหนักดีว่าสักวันหนึ่งยุคสมัยที่คนรุ่นตนไม่คุ้นเคยจะต้องมาถึง   แต่อย่างน้อยก็ยังมีมิตรสหายและคนรัก..  ที่พร้อมจะก้าวผ่านวันเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ไปด้วยกัน

จิสึรุ   ..เพราะมีเจ้าอยู่ข้าจึงมั่นใจว่าเราจะผ่านพ้นมันไปได้

ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมืดมิดสักเพียงใดนั่นไม่สำคัญ  เพราะข้าจะมีเจ้ากับลูกๆเป็นแสงสว่างไปจนชั่วชีวิต


 
 ~End~



------------------------------------ 
next: Memory of Higikata Toshizo

บอกกล่าว: ขณะนี้เวลาชักเริ่มหมดไป  เเถมยังมีรีเควสจากคนอ่านฟิคเซนต์ที่ต้องการให้มูนเขียนตอนต่อของเรื่องยาวเสียที

ดังนั้นเอาเป็นว่าถ้าสามารถ   จะเขียนเนื้อเรื่องของอีกสามหนุ่มที่เหลือมาให้อ่านนะคะ ^ ^


 

2 ความคิดเห็น:

  1. ง่า ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอกค่ะ
    ถ้ายุ่งๆก็ไม่ต้องเครียดหรอกค่ะ
    ดองเอาไว้ก็ได้ 55555
    เพราะยังไงๆ คนอ่านคนนี้ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว
    จะรออ่านนี่ล่ะค่ะ ยังไงก็จะรอถ้าบอกว่าจะเขียนล่ะนะค่ะ
    รอได้ตลอดอยู่แล้วค่ะ เพราะมันสนุกแล้วก็น่ารักขนาดนี้

    เข้าเรื่องก็ อ่านไป ขำไป น่ารักไป
    โอ๊ย เป็นลม ตายๆๆ นั่งอ่านไปหัวเราะไปเหมือนคนบ้า
    ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ แต่มุขนี้นี่ฮากว่าของซาโนะนะค่ะ ขำกลิ้งไปเลย ต้าย ฮาจิเมะเป็นลม ทำเป็นการ์ตูนให้ดูนี่คงนั่งขำน้ำตาร่วงแน่ๆ
    ดูเอ็นดูลูกๆดีนะ อยากดูตอนฝึกดาบให้ลูกสาวแฮะ ท่าทางสนุกแน่ๆ แต่ไหงจุนจังถึงได้ดูขี้แงซะเนี่ย สงกะสัยโดนโซจิแกล้งจนฝังใจ
    ว่าแต่โซจินี่เตรียมเลี้ยงต้อยรึเปล่าค่ะ น่ากลัวนะเนี่ย5555
    การเอาโซจิใส่มาทำให้มันดูมีสีสันขึ้นมาแยะเลยอ่า ชอบๆๆ โอคิตะก็ยังคงความกวนประสาทไว้ไม่หลุดนะค่ะ แต่ไอ้เลี้ยงต้อยนี่ก็น่าสนนะ 555555
    สรุปแล้ว
    ขำ ฮา น่ารัก และชอบที่สุด โอคิตะจะหายด้วย ดีมากกกก นี่แหละเจ๋ง5555

    ถ้ายังอยากได้คอมเมนต์นะค้า อ่านแล้วสะดุดกึกอยู่ตรงที่โอคิตะถามแล้วฮาจิเมะตอบด้วยการเดินกลับไปกลับมา เนี่ยค่ะ อ่านไปก็ หะ ตอบ ใครตอบ ตอนแรกนึกว่าเขียนผิด แต่พอมาอ่านอีกที อ้อ เก๊ตล่ะ
    อ่านแล้วงงตรงนี้ที่เดียวค่า มันขยายรายละเอียดน้อยไปมั้งค่ะ แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกัน5555

    ไม่ต้องเครียดหรือเร่งก็ได้นะค่ะ ว่างๆค่อยเขียน
    จะรออ่านอยู่เสมอนะค้า
    big smile

    #1 By Yushi_Res on 2011-11-26 19:19
    -------------------------------------------


    รับทราบค่า เเต่ยังไม่ค่อยเเน่ใจว่าตรงไหนที่งงระหว่าง

    (ป็นอย่างที่คาดไว้.. โอคิตะ โซจิถอนหายใจเมื่อไม่ได้รับคำตอบ)

    หรือ(คำถามที่ไม่เฉพาะเจาะจงนั้นส่งผลให้คนที่เดินพล่านไม่หยุดต้องหันกลับมามองด้วยความสงสัย )กันเเน่


    เเต่โดยส่วนตัวเเล้วตอนที่ติดอยู่ในใจก็คือการที่ฮาจิเมะเรียกจิสึรุว่า 'ที่รัก' นี่ล่ะ ว่ามันจะเข้ากันรึเปล่า เพราะตอนที่เขียนนั้นใจจริงเเอบอยากเห็นเค้าเรียกจิสึรุว่าที่รักน่ะค่ะ

    เขียนจบไปเเล้ว เเต่พอมาอ่านทวนอีกทีก็รู้สึกว่าหนนี้ฮาจิเมะดูจะมีฉากกุ๊กกิ๊กกะจิสึรุอยู่ ตลอดเวลาเลยเชียว ไม่รู้ว่าคนอ่านเห็นเหมือนกันรึเปล่าคะ>< สารภาพว่าเป็นเพราะ ในซีรีย์ One side ในตอนของฮาจิเมะน่ะเเทบไม่มีอะไรเเบบนี้เลย คนเเต่งเลยชดเชยให้ สลับกับการถูกโซจิเข้ามาเบรคเป็นระยะๆ555 ไปๆมาๆเลยเหมือนจะไม่น้อยหน้าซาโนะเลยนะเนี่ยsad smile


    ปล.. ตั้งใจว่าจะเขียนต่อเเหละค่ะ เเต่รอบนี้อาจจะมาช้าลงหน่อยสลับกับการที่มีฟิครื่องอื่นๆมาคั่นด้วย เพราะเสียงบ่นเริ่มมาเเระ ^ ^ เเต่พอได้ยินคนอ่านบอกว่าจะติดตามก็ดีใจมากเเล้วค่ะcry

    #2 By ~Moondrop~ on 2011-11-26 20:31
    -------------------------------------------


    มี อีกอย่างที่เห็นได้ชัดมากๆเลยคือ ดูเหมือนโซจิจะลำเอียงงง รักหลานสาวมากกว่าหลานชาย ที่จริงตอนเเต่งก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องเลี้ยงต้อยเลยนะคะ พอถูกทักก็เลยขำๆ มูนคิดว่าถ้าหากโซจิก็ยังรักหลานเท่ากัน ทุกอย่างมันจะเปอร์เฟคเกินไป เลยอยากจะเห็นอะไรที่มันขาดๆเกินๆบ้าง

    เเต่ถึงจะเลี้ยงต้อยจริงๆก็คงไม่พ้นข้ามศพฮาจิเมะไปก่อนเเน่ๆ ><

    #3 By ~Moondrop~ on 2011-11-27 10:22
    -------------------------------------------


    งงอันแรกค่า จิงๆก็เข้าใจนะ แต่มันสะดุดแค่นั้นเอง55

    น่านสิ หว้านหวานเนอะ ฮาจิเมะเนี่ยน่าร้ากกกก
    ไม่น้อยหน้าเหรอค่ะ พอๆกันเลยแหละ55 เพราะโซจิเอาแต่มาขัดจริงๆด้วย5555

    ไม่ต้องห่วง จะรออ่านแน่ๆค่ะbig smile

    #4 By Yushi_Res on 2011-11-27 10:23
    -------------------------------------------


    โทชิๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
    สติเตลิดเพราะเห็นชื่อท่ารองหนึ่งเดียวในใจคุณนี้เเหละ!!

    ต้องขอจั่วหัวไว้ว่า รออ่านอย่างจริงจังนะคะ!!
    ถ้าถึงตอนท่านเเล้วไม่เห็นข้าพเจ้ามาเม้นละก็ ให้ไำฟไหม้หัวไม่ขีด น้ำท่วมกาลามังซักผ้าเลยค่ะ!!!

    ---------------------------------------------

    ต้องบอกก่อนว่า รีบเข้ามาอ่านตอนของกิ๊กเบอร์หนึ่ง
    เพราะท่านรองเป็นสามี[โดนตบสลบ] เลิกเล่นซะทีสิเฮ้ย

    ต้องบอกก่อนว่ายังรีบเข้ามาอ่านตอนของไซโต้ซัง
    เพราะมีคำถามสงสัยในหัวตั้งเเต่เเรกว่า
    "คนเเบบเนี่ย! จะเลี้ยงลูกยังไงกัน"
    ถึงไซโต้ซังจะดูอ่อนโยน เเต่เค้าก็คือไซโต้ซัง!!
    จับลูกสาวฝึกดาบ =[]=! เห็นใจจิซึรุจริงๆ
    เข้าในความรู้สึกที่เป็นห่วงลูกออกเรือนเลยทีเดียว

    ถ้าเรืองนี้ไม่มีโอคิตะซังเป็นตัวชงคงจะไม่ฮาขนาดนี้
    =w=b ต้องชื่นชมมูนดรอปซังว่าสุดยอดจริงๆค่ะ
    ที่จ้างโอคิตะซังมาทำตัวทะเล้นน่ารักในฟิคนี้
    เลยให้ความรู็สึกสบายๆ บรรยากาศอบอุ่นหัวใจ

    เเต่ว่าโอคิตะซังเลี้ยงต้อยสินะ เอ็นดูออกหน้าออกตามากอะ!! =A=!! อ่อ ไม่ได้เเม่จะเอาลูกสินะ!! //พูดอะไรอยู่เนี่ย?!

    ปล.เเอบคิดว่าจะเห็นชินยะมาป่วน ฮะๆๆ -..-

    ตอบลบ
  2. เหตุผล ใหญ่ที่สุดที่โอคิตะ โซจิโผล่มาแทนชินยะก็คือ ในซีรีย์ One side.. ไม่มีเนื้อเรื่องของเค้าค่ะ(ทั้งที่ความจริงก็เเอบอยากเขียนนะเนี่ย ><)

    ส่วนตัวมูนรู้สึกว่าคาเเรคเตอร์ชองฮาจิเมะในตอนนี้เปลี่ยนไป เเต่เมื่อคิดดูเเล้วเนื้อหาในฟิคเกิดขึ้นเมื่อหลายปีผ่านไปจึงพออนุโลมให้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนอนิเมได้ อีกอย่างตอนนี้มีครอบครัวเเล้วก็เลยพอเอาตัวรอดไปได้เเบบน้ำขุ่นๆว่าทำไมถึง นิสัยไม่เหมือนเดิม (เเต่ถึงจะเปลี่ยนยังไงก็คงไม่ใช่คนชอบโวยวายหรือคร่ำครวญอยู่ดี sad smile )

    เรื่องของนิสัยเข้มงวดเจ้าระเบียบนั้น ที่จริงยังลังเลว่าควรจะเป็นของฮิจิคาตะซังมากกว่า เเต่พอมาคิดถึงภูมิหลังของฮาจิเมะที่เกิดในครอบครัวนักรบเเล้ว ดูๆไปก็เหมาะเหมือนกันเลยออกมาเป็นคุณ่พอจอมเฮี้ยบเเบบนี้ล่ะค่ะ^ ^

    ส่วนในเรื่องของท่านรองมูนคงจะไม่เอาพลอตคลอดลูกมาเล่นเเล้ว(เริ่มเบื่อ +หมดมุข55) ดังนั้นรอติดตามนะคะว่าจะเจาะที่ส่วนไหนของชีวิตเขา

    #6 By ~Moondrop~ on 2011-11-28 18:29
    -------------------------------------------


    คู่นี้ก็หวานเชียว
    ให้ความรู้สึกเหมือนตระกูลคุจิกิยังไงไม่รู้เลย
    confused smile confused smile confused smile
    เป็นพ่อที่น่ารักมาเลยนะไซโต้ซัง
    ใหนจะโซจิที่เป้นท่านอาที่แสนน่ารัก ><
    (เสียดายนะคะที่ท่านอากับท่านพ่อไม่ได้คู่กัน -//โดนตบกระเด็นออกนอกบล็อค)
    ได้ลูกสองด้วยแฮะคู่นี้ เอาซักสามเป็นไง [?]

    รออ่านต่อไปคร้า

    #7 By ][ZuiZen-:-Mukuyo][ on 2012-02-19 22:53
    --------------------------------------------


    ที่ให้หวานกันก็เพราะตอนก่อนหน้าไม่ค่อยได้มีโอกาสเท่าไหร่อะจ้า

    ส่วนโซจิก็ลอยไปลอยมาในเนื้อเรื่องของคนนั้นคนนี้ คอยทำหน้าที่เอนเตอเทนคนอ่าน มูนเลยรู้สึกว่าเค้าเหมาะกะบุคลิคน่ารักเเบบกวนๆนะ

    #8 By ~Moondrop~ on 2012-02-20 12:49
    -------------------------------------------


    ตอนนี้ก็ขำ แหม ทำไปได้ ไซโต้เป็นลมเพราะฉากคลอดลูก


    โซจินี่กวนประสาท+เลี้ยงต้อยลูกชาวบ้านเขาไปทั่วเลย โดยเฉพาะลูกสาว จะชอบเป็นพิเศษแฮะ (ไอ้โลลิคอน)

    น่าสงสารลูกสาวโดนฝึกจับดาบ - -" ถ้าแค่ป้องกันตัวเฉยๆยังพอว่า....

    สรุป ลูกโทชิยังสบายๆกว่าลูกไซโต้สินะ

    #9 By ♪ ๐PoupeE๐ ♪ on 2012-03-11 17:31
    -------------------------------------------


    มูนว่า 2 สาวดูจะไปกันคนลสไตล์เเต่ก็ไม่คิดว่าการที่เป็นลูกสาวสุดที่รักของท่านรองจะสบายหรอกนะ

    ส่วนโซจิ ออกมาเป็นตัวประกอบเเท้ๆเเต่ได้ใจคนอ่านซะงั้น

    #10 By ~Moondrop~ on 2012-03-12 22:21


    Read more: http://moon-drop.exteen.com/#axzz21PmdgQb0 http://moon-drop.exteen.com/20111126/hakuouki-fic-precious-memories-memory-of-saito-hajime#ixzz22GGPEZjf
    Under Creative Commons License: Attribution

    ตอบลบ