“รู้จักตัวตนอย่างพวกข้า..
นับว่าความรู้รอบตัวดีไม่เบานี่เจ้าหนู”
ยมทูตหนุ่มร่างสันทัด ท่าทางร่าเริง เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ตัดสั้นที่ปลายผมชี้งอนขยับกรอบแว่นตาให้เข้าที่ แล้วก้มลงมองเด็กหนุ่มที่ตนเองหนีบกระเตงอยู่ข้างเอว ก่อนจะลงความเห็นว่าสิ่งที่จับมาได้โดยบังเอิญน่าสนใจใช่ย่อย
มือซึ่งสวมถุงมือหนังสีดำมันปลาบกระชับรอบร่างเล็กบางแล้วชูขึ้นสูงเพื่อที่จะมองให้ชัดๆ น่าสนใจจริงๆ
เขาไม่ได้กลิ่นของความลังเลจากร่างเล็กๆนี่เลยแม้แต่น้อย อาจกำลังตกใจ.. ใช่ ทว่าก็ไม่ใช่ความหวาดกลัว ตรงกันข้าม..
ดวงตากลมโตซึ่งเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ดิ้นรนลุกเรืองอยู่คู่นั้นกำลังสบตาเขาอย่างท้าทาย ยโสโอหัง
ทั้งๆที่เป็นเพียงสิ่งโสมม
..เป็นเพียงปีศาจกำเนิดใหม่ที่ไม่มีค่าอะไร ทว่าเจ้าอสูรน้อยตนนี้ก็กลับทำให้เขารู้สึกทึ่งจนไม่อยากปล่อยมือ ยิ่งกว่านั้นความจริงที่ว่านี่คือเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์ด้วยแล้ว...
“ปล่อยนะ!”
ราวกับลูกแมวตัวเล็กๆที่กางเล็บขู่ฟ่อ..
เมื่อปราศจากพ่อบ้านคนสนิทที่คอยดูแลรับใช้ไม่ต่างจากมือเท้าแล้ว ชิเอล แฟนธอมไฮฟ์ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าการพาตนเองเข้าไปให้ถูกจับ แถมยังป้องกันตัวได้อย่างอ่อนแอปวกเปียกและน่าสมเพชอีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ..ความคิดที่จะยอมจำนนกลับไม่เคยมีอยู่ในสมอง
“พูดอะไรอย่างนั้น” เจ้าของน้ำเสียงซึ่งเจือสำเนียงอังกฤษเข้มข้นหัวเราะขัน พร้อมด้วยประกายขี้เล่นในแววตา
“ฉันเป็นคนเจอเธอ ดังนั้นจงมอบน้ำตาฟินิกซ์ให้ฉันเสียเถอะ”
“แม้แต่พวกยมทูตอย่างแกก็เอาด้วยเรอะ”
ชิเอล
แฟนธอมไฮฟ์สบถด้วยความขุ่นเคือง
หนุ่มน้อยขบกรามแน่นพร้อมกับง้างเท้าเตะหน้าแข้งฝ่ายตรงข้ามเต็มแรง ส่งผลให้เจ้าตัวชะงักไปอึดใจหนึ่ง มิใช่เพราะเจ็บ.. แต่เป็นเพราะประทับใจกับแรงใจที่สู้ไม่ถอยของปีศาจน้อยตนนี้
และชิเอลก็ไม่ยอมพลาดโอกาสหนีที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไป เขาสะบัดตัวจนหลุดจากการกอดรัด ทันทีที่ตั้งหลักได้ปีศาจหนุ่มน้อยก็ออกวิ่งสุดกำลัง
“ฝันไปเถอะ เจ้าพวกวิตถาร!”
ถ้าหากในช่วงชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำอะไรได้ด้วยตนเอง เวลานี้ก็ถึงคราวที่ต้อง ‘ทำได้’ แล้ว.. เขาจะต้องหนี และต้องทำให้สำเร็จด้วย
เรื่องที่จะให้ยอมพลีกายเป็นบรรณาการให้ใครต่อใครนั่นฝันไปเถอะ.. ถึงแม้จะต้องตาย.. ไม่สิ
หนุ่มน้อยขบกรามแน่น
..เขาจะไม่มีวันยอมให้เรื่องอัปยศเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่
“จะหนีไปไหนล่ะ
..การยอมเป็นของฉันมันไม่แย่ถึงขั้นนั้นหรอกนะ”
ชิเอลชะงักงัน เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นจากเบื้องหลังพร้อมด้วยเสียงพูดกลั้วหัวเราะ
ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไล่ตามมา และเพียงอึดใจเดียวร่างในชุดสูทดำสนิทที่ทรงตัวอย่างมั่นคงอยู่บนรถตัดหญ้าก็แล่นปราดแซงหน้าขึ้นมา ยมทูตหนุ่มส่งยิ้มกว้างขณะชูสองนิ้วแตะขมับเป็นการทักทายแล้วขยิบตาให้ ก่อนจะรวบร่างเล็กๆที่กำลังจะหนีขึ้นมากอด
แต่แล้วก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกปีศาจตัวน้อยงับมือเสียจมเขี้ยว ..ช่างเป็นการตอบโต้ที่ไร้เดียงสาเสียจริง
“จุ๊ๆ ..เจ้าเด็กดื้อ”
เวลานี้ชิเอล แฟนธอมไฮฟ์ชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่าการหนีออกมาตามลำพังจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
เมื่อพบว่าการจะดูแลตนเองให้ปลอดภัยนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ตราบใดที่เจ้ายมทูตตนนี้ยังพยายามจะทำมิดีมิร้ายเขาอยู่โดยไม่สนใจจะฟังคำทัดทานใดๆแล้วล่ะก็..
ปีศาจหนุ่มน้อยดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลังเมื่อถูกลากตัวเข้าไปยังมุมมืดระหว่างซอกอาคาร พลางปัดมือที่ไต่เข้ามายุ่มย่ามใต้เสื้อที่สวมอยู่ด้วยความรังเกียจขยะแขยง ทว่าทันทีที่กระชากมือซุกซนข้างหนึ่งออกจากหน้าท้องตนเองได้สำเร็จ อีกข้างที่เหลือก็กลับสอดเข้ามาในขอบกางเกงแล้วพยายามจะดึงทึ้งมันออก ชิเอลสบถอย่างเดือดดาลขณะที่ยึดขอบกางเกงตนเองไว้แน่น สัมผัสร้อนผ่าวจากมือ ริมฝีปาก
และเรือนร่างของยมทูตที่ไม่รู้จักตนนี้ทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้สุดทน
“ปล่อย! ปล่อยนะ..”
..สรุปแล้วความตั้งใจที่จะหนีของเขามาได้เพียงเท่านี้เองน่ะหรือ..
แต่ขณะที่กำลังพยายามต่อสู้ยื้อยุดเสื้อผ้าเอาไว้กับตัว
ไม่ให้หลุดเป็นชิ้นๆเหมือนหัวหอมที่ถูกปอกเปลือก จู่ๆก็มีสายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่งพร้อมด้วยเสียงโลหะกระทบกันดังกริ๊กที่ข้างหู
ตามด้วยการที่ชิเอล
แฟนธอมไฮฟ์ได้เป็นอิสระในวินาทีต่อมา
ปีศาจหนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมองหาสาเหตุที่ทำให้ตนรอดพ้นจากเงื้อมือยมทูตตนนี้ก่อนจะพบว่ามีก้านโลหะของเดธไซด์อันหนึ่ง
ซึ่งหน้าตาเหมือนกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ที่ยืดยาวได้สอดเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“นั่นคุณกำลังทำอะไรอยู่ไม่ทราบ.. โรนัลด์ น็อกซ์”
ที่บนหลังคาอาคารฝั่งตรงข้าม..
บุรุษหนุ่มร่างสูงเพรียวในอาภรณ์สีดำอีกคนยืนตัวตรงอยู่พร้อมด้วยอาวุธในมือ หนังสือปกแข็งเล่มโตที่หนีบอยู่ใต้ซอกแขน ท่าทางวางอำนาจ สีหน้าไร้อารมณ์ที่ราวกับไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น และผิวขาวจัด
ซึ่งตัดกันกับผมสั้นดำขลับที่หวีเรียบจนไม่กระดิกสักเส้นนั้นเป็นรูปลักษณ์ที่ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ยมทูตที่มาใหม่เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงด้วยความไม่พอใจกับภาพที่เห็น..
ประกอบกับแววตาเย็นเยียบหลังกรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมนั่นยิ่งชวนให้ดูเข้มงวดและเย็นชาขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“รุ่นพี่..”
วิลเลียม ที สเปียร์
ยมทูตอาวุโสผู้ถูกเรียกว่ารุ่นพี่ขยับกรอบแว่นตาบนใบหน้าแล้วเก็บเคียวยมทูตของตนเองกลับไป
ทว่าประกายตาคมกล้าที่ยังคงจ้องมองคนทั้งสองที่ทำลับๆล่อๆอยู่ในมุมมืดนั้นราวกับจะทิ่มแทงทะลุทะลวงให้ถึงหัวใจ
และวาจาที่เปล่งออกมาก็ไม่ต่างกัน
“ถ้ามีเวลาว่างมากถึงขนาดมาไล่ปล้ำปีศาจตนหนึ่งได้ล่ะก็.. คุณควรจะเอาไปทำงานล่วงเวลาจะดีกว่านะครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ
รุ่นพี่” โรนัลด์ น็อกซ์แย้งขึ้นอย่างเสียมิได้ เพราะรู้ดีว่าตนพลาดโอกาสที่จะครอบครองน้ำตาฟินิกซ์ไปเสียแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม.. ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณมือใหม่อย่างเขาก็จำเป็นต้องฟังคำสั่งของผู้ที่อาวุโสกว่า
“เป็นเพราะน้ำตาฟินิกซ์ต่างหาก”
“นั่นเป็นความคิดที่เหลวไหลที่สุดเลยนะครับ” วิลเลียมไม่ฟังคำแก้ตัว ยมทูตหนุ่มกระโดดลงมายืนที่พื้นแล้วยกเดธไซด์ในมือขึ้นชี้หน้าชิเอล
“อสูรกายเน่าเหม็นอย่างนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะตัดญาติขาดมิตรไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม ผมเคยสอนคุณอยู่เสมอไม่ใช่หรือ ..ถึงแม้จะเป็นเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์ก็เถอะ”
“แต่ถ้าใครได้ครอบครองน้ำตาฟินิกซ์ก็จะ..”
“คุณเองเพิ่งอายุเท่านี้ก็คิดจะหลุดพ้นแล้วหรือไง
การมีช่วงชีวิตที่ยืนยาวทำให้คุณเป็นทุกข์มากนักหรือครับ” วิลเลียมขัดขึ้นกลางครันด้วยคำถามที่ดูเหมือนไม่ต้องการให้ตอบ เทวทูตหนุ่มยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึกและไม่แยแสชิเอลเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนยมทูตตนนี้จะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ..
ว่าครั้งหนึ่งทั้งคู่เคยพบกันเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กมนุษย์ธรรมดาที่กำลังตามสืบคดีแจค เดอะ
ริปเปอร์
“ยมทูตที่เพิ่งจะอายุเพียงร้อยกว่าปีอย่างคุณยังเร็วเกินไปที่จะเพ้อหาของพรรค์นี้นะครับ อีกอย่าง..” คราวนี้เทพแห่งความตายปรายหางตามองเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์ที่กำลังรีบแต่งตัวอย่างลนลานแล้วพ่นลมหายใจอย่างดูแคลน
“หลายพันปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครหน้าไหนสามารถยืนยันได้เลย
ว่าผลจากการครอบครองน้ำตาฟินิกซ์จะเป็นอย่างที่คิดจริงๆรึไม่ ในเมื่อเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์คนก่อนหน้านี้เป็นใครเราก็รู้ๆกันอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีใคร..”
ปีศาจหนุ่มน้อยไม่สนใจจะฟังอีกต่อไปแล้ว ว่าเรื่องราวข้อเท็จจริงที่ทำให้ตนเองต้องตกกระไดพลอยโจนนั้นเป็นอย่างไร เมื่อสบโอกาสชิเอล แฟนธอมไฮฟ์ก็รีบปลีกตัวออกมาจากการสนทนาระหว่างยมทูตทั้งสอง ขณะที่โรนัลด์ น็อกซ์ดูเหมือนจะยังไม่อยากตัดใจง่ายๆ และพยายามจะเล่นไล่จับอีกรอบ แล้วคงจะทำสำเร็จเสียด้วย หากว่ายมทูตอีกตนไม่เข้ามาขวางเอาไว้
“หากคุณไม่ฟังคำเตือนและยังพยายามจะทำเรื่องไม่เหมาะสมอยู่อีกจะถูกลงโทษนะครับ
ผมขอสั่งให้คุณรีบกลับไปสำนักงานใหญ่โดยด่วน แล้วทำหนังสือชี้แจงรวมทั้งหนังสือขออภัยเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยนะครับ
นอกจากนี้บัญชีรายชื่อผู้ตายล่วงหน้าหนึ่งเดือนในเขตที่คุณรับผิดชอบจะต้อง...”
ชิเอลวิ่งต่อไปโดยไม่ยอมหยุดพัก
ด้วยไม่อยากคิดเข้าข้างตนเองว่าจะสามารถหนีรอดปลอดภัยแล้ว แต่แล้วจู่ๆเขาก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง ข้อความจากหนังสือที่เคยอ่านสมัยยังเป็นมนุษย์บอกไว้ว่า.. ‘หากจะซ่อนใบไม้ก็ควรซ่อนไว้ในป่า’ หนุ่มน้อยเม้มริมฝีปากแน่นพลางตัดสินใจลองเสี่ยงดวง แล้วร่างเล็กในอาภรณ์สีดำสนิทก็กลืนหายไปในฝูงชนที่สัญจรอยู่กลางเมืองโดยคิดว่านั่นเป็นการอำพรางตัวที่ดีที่สุดแล้ว ..อย่างน้อยเขาก็เชื่อเช่นนั้น
ทว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ชิเอล
แฟนธอมไฮฟ์ได้เรียนรู้ในภายหลัง
ว่าสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์แล้ว.. เพียงเท่านั้นยังไม่พอ
และการตัดสินใจนั้นก็ทำให้ปีศาจหนุ่มน้อยได้รู้ว่าตนเองคิดผิดมหันต์ที่หนีออกมาตามลำพัง เมื่อพบว่าในเขตเป็นกลางนี้มิได้มีแต่เพียงเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้นที่มองเห็นตนเป็นเหยื่ออันโอชะ..
ชิเอลเพิ่งมาตระหนักถึงความหมายของคำว่า ‘เขตเป็นกลาง’
ก็ต่อเมื่อได้มีเวลาสังเกตเห็นสภาพความเป็นไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความยุ่งเหยิงที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและไม่ลงตัวของสิ่งปลูกสร้าง ถนนหนทาง
ที่บ้างก็ดูคุ้นเคยมากเท่าๆกับดูแปลกตา บ้านเรือนและร้านรวงที่จากสร้างจากหินสีขาวล้วน ดำล้วน และเทาอยู่ปะปนกันไป
เช่นเดียวกับรูปทรงทางสถาปัตยกรรมอันบ่งบอกถึงตัวตนผู้ถือครองซึ่งอยู่รวมๆกันอย่างไม่เป็นระเบียบ
เช่นเดียวกับผู้คนที่ประสมปนเปหลากหลายเผ่าพันธุ์ซึ่งชิเอลแยกแยะได้จากบุคลิกลักษณะเท่าที่ตามองเห็น รูปร่างหน้าตา
สีสรรค์ กลิ่นอาย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และอื่นๆอีกหลายอย่าง มากเท่าที่ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมเยี่ยงปีศาจกำเนิดใหม่อย่างเขาจะสัมผัสได้แบบพื้นๆ แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว.. อันที่จริงแล้วมากเกินพอด้วยซ้ำไป
น่าคลื่นไส้เสียจริง.. เขาไม่เห็นอยากจะรู้เลยสักนิดว่าตนเองกำลังเป็นที่หมายปองของทูตสวรรค์สามองค์ที่บังเอิญได้กลิ่นเขาเข้า รวมทั้งปีศาจหน้าตาแปลกๆอีกฝูงหนึ่ง และมนุษย์..
ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่การแต่งตัวด้วยชุดคลุมยาวรุ่มร่ามสีฉูดฉาดที่ตกยุคไปนานแล้วพร้อมด้วยไม้เท้าในมือ ทำให้คนพวกนั้นดูพิลึกพิลั่น น่าจะเป็นพวกที่เรียกตนเองว่าผู้วิเศษซึ่งมีอยู่แต่ในนิยายปรัมปรา และชิเอลก็ไม่มีเวลาจะสนใจกับรายละเอียดปลีกย่อยของคนเหล่านั้น ในเมื่อเขากำลังยุ่งหัวหมุนอยู่กับการหนีและหลบซ่อนตัวครั้งใหม่ ซึ่งนั่นก็กินแรงเกือบทั้งหมดของเขาแล้ว
ปีกขาวสะอาดของเทวดาองค์หนึ่งโฉบผ่านหัวไปพร้อมด้วยวงแขนที่เกือบจะคว้าตัวเขาได้สำเร็จ ..ถ้าไม่เพราะปีศาจอีกสองตนปรากฏตัวออกมาขวางหน้าและเปิดศึกแย่งชิงตัวเขาเสียก่อน จนกลายเป็นการต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งระหว่างเทวดากับปีศาจ ที่ยุ่งอีรุงตุงนังเสียจนทำให้ชิเอลมีโอกาสมุดหนีออกมาจากกลางวงได้สำเร็จ ทว่ายังไม่ทันได้สูดหายใจลึกๆให้หายเหนื่อยหนุ่มน้อยก็มีอันต้องเบิกตาค้างแล้วหนีหัวซุกหัวซุนอีก
เมื่อเทวดาอีกองค์หัวเราะร่าแล้วร่อนถลาลงมาจากฟ้า ตามด้วยอีกองค์ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมกัน
..มันจะอะไรกันนักกันหนา...
ครั้งนี้ชิเอลได้แต่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูกและคงจะถูกคว้าตัวไว้ได้
หากใครบางคนไม่ก้าวออกมาขวางกลางระหว่างตนกับทูตสวรรค์คู่นี้เสียก่อน
“คงเหนื่อยสินะ ท่านเอิร์ล”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น