8/08/2555

น้ำตาฟินิกซ์ 4




“รู้จักตัวตนอย่างพวกข้า..   นับว่าความรู้รอบตัวดีไม่เบานี่เจ้าหนู”

ยมทูตหนุ่มร่างสันทัด  ท่าทางร่าเริง   เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ตัดสั้นที่ปลายผมชี้งอนขยับกรอบแว่นตาให้เข้าที่  แล้วก้มลงมองเด็กหนุ่มที่ตนเองหนีบกระเตงอยู่ข้างเอว  ก่อนจะลงความเห็นว่าสิ่งที่จับมาได้โดยบังเอิญน่าสนใจใช่ย่อย   มือซึ่งสวมถุงมือหนังสีดำมันปลาบกระชับรอบร่างเล็กบางแล้วชูขึ้นสูงเพื่อที่จะมองให้ชัดๆ  น่าสนใจจริงๆ   เขาไม่ได้กลิ่นของความลังเลจากร่างเล็กๆนี่เลยแม้แต่น้อย   อาจกำลังตกใจ..  ใช่   ทว่าก็ไม่ใช่ความหวาดกลัว  ตรงกันข้าม..  ดวงตากลมโตซึ่งเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ดิ้นรนลุกเรืองอยู่คู่นั้นกำลังสบตาเขาอย่างท้าทาย   ยโสโอหัง  ทั้งๆที่เป็นเพียงสิ่งโสมม  ..เป็นเพียงปีศาจกำเนิดใหม่ที่ไม่มีค่าอะไร   ทว่าเจ้าอสูรน้อยตนนี้ก็กลับทำให้เขารู้สึกทึ่งจนไม่อยากปล่อยมือ   ยิ่งกว่านั้นความจริงที่ว่านี่คือเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์ด้วยแล้ว...

“ปล่อยนะ!” 

ราวกับลูกแมวตัวเล็กๆที่กางเล็บขู่ฟ่อ.. 
เมื่อปราศจากพ่อบ้านคนสนิทที่คอยดูแลรับใช้ไม่ต่างจากมือเท้าแล้ว   ชิเอล แฟนธอมไฮฟ์ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าการพาตนเองเข้าไปให้ถูกจับ   แถมยังป้องกันตัวได้อย่างอ่อนแอปวกเปียกและน่าสมเพชอีกต่างหาก   แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ..ความคิดที่จะยอมจำนนกลับไม่เคยมีอยู่ในสมอง

“พูดอะไรอย่างนั้น”  เจ้าของน้ำเสียงซึ่งเจือสำเนียงอังกฤษเข้มข้นหัวเราะขัน  พร้อมด้วยประกายขี้เล่นในแววตา
  
“ฉันเป็นคนเจอเธอ   ดังนั้นจงมอบน้ำตาฟินิกซ์ให้ฉันเสียเถอะ”

“แม้แต่พวกยมทูตอย่างแกก็เอาด้วยเรอะ”

ชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์สบถด้วยความขุ่นเคือง   หนุ่มน้อยขบกรามแน่นพร้อมกับง้างเท้าเตะหน้าแข้งฝ่ายตรงข้ามเต็มแรง   ส่งผลให้เจ้าตัวชะงักไปอึดใจหนึ่ง  มิใช่เพราะเจ็บ..  แต่เป็นเพราะประทับใจกับแรงใจที่สู้ไม่ถอยของปีศาจน้อยตนนี้   และชิเอลก็ไม่ยอมพลาดโอกาสหนีที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไป   เขาสะบัดตัวจนหลุดจากการกอดรัด  ทันทีที่ตั้งหลักได้ปีศาจหนุ่มน้อยก็ออกวิ่งสุดกำลัง  

“ฝันไปเถอะ  เจ้าพวกวิตถาร!” 

ถ้าหากในช่วงชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำอะไรได้ด้วยตนเอง  เวลานี้ก็ถึงคราวที่ต้อง ทำได้แล้ว..  เขาจะต้องหนี  และต้องทำให้สำเร็จด้วย  เรื่องที่จะให้ยอมพลีกายเป็นบรรณาการให้ใครต่อใครนั่นฝันไปเถอะ..  ถึงแม้จะต้องตาย..  ไม่สิ  หนุ่มน้อยขบกรามแน่น ..เขาจะไม่มีวันยอมให้เรื่องอัปยศเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่  

“จะหนีไปไหนล่ะ  ..การยอมเป็นของฉันมันไม่แย่ถึงขั้นนั้นหรอกนะ”

ชิเอลชะงักงัน   เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นจากเบื้องหลังพร้อมด้วยเสียงพูดกลั้วหัวเราะ  ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไล่ตามมา  และเพียงอึดใจเดียวร่างในชุดสูทดำสนิทที่ทรงตัวอย่างมั่นคงอยู่บนรถตัดหญ้าก็แล่นปราดแซงหน้าขึ้นมา   ยมทูตหนุ่มส่งยิ้มกว้างขณะชูสองนิ้วแตะขมับเป็นการทักทายแล้วขยิบตาให้   ก่อนจะรวบร่างเล็กๆที่กำลังจะหนีขึ้นมากอด   แต่แล้วก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกปีศาจตัวน้อยงับมือเสียจมเขี้ยว  ..ช่างเป็นการตอบโต้ที่ไร้เดียงสาเสียจริง

“จุ๊ๆ  ..เจ้าเด็กดื้อ”

เวลานี้ชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์ชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว   ว่าการหนีออกมาตามลำพังจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด  เมื่อพบว่าการจะดูแลตนเองให้ปลอดภัยนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย   ตราบใดที่เจ้ายมทูตตนนี้ยังพยายามจะทำมิดีมิร้ายเขาอยู่โดยไม่สนใจจะฟังคำทัดทานใดๆแล้วล่ะก็.. 

ปีศาจหนุ่มน้อยดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลังเมื่อถูกลากตัวเข้าไปยังมุมมืดระหว่างซอกอาคาร   พลางปัดมือที่ไต่เข้ามายุ่มย่ามใต้เสื้อที่สวมอยู่ด้วยความรังเกียจขยะแขยง   ทว่าทันทีที่กระชากมือซุกซนข้างหนึ่งออกจากหน้าท้องตนเองได้สำเร็จ  อีกข้างที่เหลือก็กลับสอดเข้ามาในขอบกางเกงแล้วพยายามจะดึงทึ้งมันออก   ชิเอลสบถอย่างเดือดดาลขณะที่ยึดขอบกางเกงตนเองไว้แน่น   สัมผัสร้อนผ่าวจากมือ  ริมฝีปาก  และเรือนร่างของยมทูตที่ไม่รู้จักตนนี้ทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้สุดทน  

“ปล่อย!  ปล่อยนะ..”

..สรุปแล้วความตั้งใจที่จะหนีของเขามาได้เพียงเท่านี้เองน่ะหรือ..   

แต่ขณะที่กำลังพยายามต่อสู้ยื้อยุดเสื้อผ้าเอาไว้กับตัว   ไม่ให้หลุดเป็นชิ้นๆเหมือนหัวหอมที่ถูกปอกเปลือก   จู่ๆก็มีสายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่งพร้อมด้วยเสียงโลหะกระทบกันดังกริ๊กที่ข้างหู  ตามด้วยการที่ชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์ได้เป็นอิสระในวินาทีต่อมา   ปีศาจหนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมองหาสาเหตุที่ทำให้ตนรอดพ้นจากเงื้อมือยมทูตตนนี้ก่อนจะพบว่ามีก้านโลหะของเดธไซด์อันหนึ่ง  ซึ่งหน้าตาเหมือนกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ที่ยืดยาวได้สอดเข้ามาขัดจังหวะพอดี

“นั่นคุณกำลังทำอะไรอยู่ไม่ทราบ..  โรนัลด์ น็อกซ์”

 
ที่บนหลังคาอาคารฝั่งตรงข้าม..  บุรุษหนุ่มร่างสูงเพรียวในอาภรณ์สีดำอีกคนยืนตัวตรงอยู่พร้อมด้วยอาวุธในมือ  หนังสือปกแข็งเล่มโตที่หนีบอยู่ใต้ซอกแขน   ท่าทางวางอำนาจ   สีหน้าไร้อารมณ์ที่ราวกับไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น  และผิวขาวจัด  ซึ่งตัดกันกับผมสั้นดำขลับที่หวีเรียบจนไม่กระดิกสักเส้นนั้นเป็นรูปลักษณ์ที่ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย   ยมทูตที่มาใหม่เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงด้วยความไม่พอใจกับภาพที่เห็น..  ประกอบกับแววตาเย็นเยียบหลังกรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมนั่นยิ่งชวนให้ดูเข้มงวดและเย็นชาขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

“รุ่นพี่..”

วิลเลียม ที สเปียร์  ยมทูตอาวุโสผู้ถูกเรียกว่ารุ่นพี่ขยับกรอบแว่นตาบนใบหน้าแล้วเก็บเคียวยมทูตของตนเองกลับไป   ทว่าประกายตาคมกล้าที่ยังคงจ้องมองคนทั้งสองที่ทำลับๆล่อๆอยู่ในมุมมืดนั้นราวกับจะทิ่มแทงทะลุทะลวงให้ถึงหัวใจ   และวาจาที่เปล่งออกมาก็ไม่ต่างกัน

“ถ้ามีเวลาว่างมากถึงขนาดมาไล่ปล้ำปีศาจตนหนึ่งได้ล่ะก็..  คุณควรจะเอาไปทำงานล่วงเวลาจะดีกว่านะครับ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ  รุ่นพี่” โรนัลด์ น็อกซ์แย้งขึ้นอย่างเสียมิได้  เพราะรู้ดีว่าตนพลาดโอกาสที่จะครอบครองน้ำตาฟินิกซ์ไปเสียแล้ว   ไม่ว่ายังไงก็ตาม..  ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณมือใหม่อย่างเขาก็จำเป็นต้องฟังคำสั่งของผู้ที่อาวุโสกว่า

“เป็นเพราะน้ำตาฟินิกซ์ต่างหาก”

“นั่นเป็นความคิดที่เหลวไหลที่สุดเลยนะครับ”  วิลเลียมไม่ฟังคำแก้ตัว  ยมทูตหนุ่มกระโดดลงมายืนที่พื้นแล้วยกเดธไซด์ในมือขึ้นชี้หน้าชิเอล

“อสูรกายเน่าเหม็นอย่างนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะตัดญาติขาดมิตรไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม   ผมเคยสอนคุณอยู่เสมอไม่ใช่หรือ  ..ถึงแม้จะเป็นเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์ก็เถอะ”

“แต่ถ้าใครได้ครอบครองน้ำตาฟินิกซ์ก็จะ..”

“คุณเองเพิ่งอายุเท่านี้ก็คิดจะหลุดพ้นแล้วหรือไง   การมีช่วงชีวิตที่ยืนยาวทำให้คุณเป็นทุกข์มากนักหรือครับ”  วิลเลียมขัดขึ้นกลางครันด้วยคำถามที่ดูเหมือนไม่ต้องการให้ตอบ   เทวทูตหนุ่มยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึกและไม่แยแสชิเอลเลยแม้แต่น้อย   ดูเหมือนยมทูตตนนี้จะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ..  ว่าครั้งหนึ่งทั้งคู่เคยพบกันเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กมนุษย์ธรรมดาที่กำลังตามสืบคดีแจค  เดอะ  ริปเปอร์

 “ยมทูตที่เพิ่งจะอายุเพียงร้อยกว่าปีอย่างคุณยังเร็วเกินไปที่จะเพ้อหาของพรรค์นี้นะครับ   อีกอย่าง..” คราวนี้เทพแห่งความตายปรายหางตามองเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์ที่กำลังรีบแต่งตัวอย่างลนลานแล้วพ่นลมหายใจอย่างดูแคลน 

“หลายพันปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครหน้าไหนสามารถยืนยันได้เลย   ว่าผลจากการครอบครองน้ำตาฟินิกซ์จะเป็นอย่างที่คิดจริงๆรึไม่   ในเมื่อเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์คนก่อนหน้านี้เป็นใครเราก็รู้ๆกันอยู่   ดังนั้นจึงไม่มีใคร..”  

ปีศาจหนุ่มน้อยไม่สนใจจะฟังอีกต่อไปแล้ว   ว่าเรื่องราวข้อเท็จจริงที่ทำให้ตนเองต้องตกกระไดพลอยโจนนั้นเป็นอย่างไร  เมื่อสบโอกาสชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์ก็รีบปลีกตัวออกมาจากการสนทนาระหว่างยมทูตทั้งสอง   ขณะที่โรนัลด์ น็อกซ์ดูเหมือนจะยังไม่อยากตัดใจง่ายๆ และพยายามจะเล่นไล่จับอีกรอบ   แล้วคงจะทำสำเร็จเสียด้วย  หากว่ายมทูตอีกตนไม่เข้ามาขวางเอาไว้

“หากคุณไม่ฟังคำเตือนและยังพยายามจะทำเรื่องไม่เหมาะสมอยู่อีกจะถูกลงโทษนะครับ 
ผมขอสั่งให้คุณรีบกลับไปสำนักงานใหญ่โดยด่วน   แล้วทำหนังสือชี้แจงรวมทั้งหนังสือขออภัยเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยนะครับ  นอกจากนี้บัญชีรายชื่อผู้ตายล่วงหน้าหนึ่งเดือนในเขตที่คุณรับผิดชอบจะต้อง...”

ชิเอลวิ่งต่อไปโดยไม่ยอมหยุดพัก  ด้วยไม่อยากคิดเข้าข้างตนเองว่าจะสามารถหนีรอดปลอดภัยแล้ว  แต่แล้วจู่ๆเขาก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง   ข้อความจากหนังสือที่เคยอ่านสมัยยังเป็นมนุษย์บอกไว้ว่า..  หากจะซ่อนใบไม้ก็ควรซ่อนไว้ในป่า   หนุ่มน้อยเม้มริมฝีปากแน่นพลางตัดสินใจลองเสี่ยงดวง  แล้วร่างเล็กในอาภรณ์สีดำสนิทก็กลืนหายไปในฝูงชนที่สัญจรอยู่กลางเมืองโดยคิดว่านั่นเป็นการอำพรางตัวที่ดีที่สุดแล้ว  ..อย่างน้อยเขาก็เชื่อเช่นนั้น  

ทว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ชิเอล  แฟนธอมไฮฟ์ได้เรียนรู้ในภายหลัง   ว่าสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของน้ำตาฟินิกซ์แล้ว..  เพียงเท่านั้นยังไม่พอ  และการตัดสินใจนั้นก็ทำให้ปีศาจหนุ่มน้อยได้รู้ว่าตนเองคิดผิดมหันต์ที่หนีออกมาตามลำพัง   เมื่อพบว่าในเขตเป็นกลางนี้มิได้มีแต่เพียงเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้นที่มองเห็นตนเป็นเหยื่ออันโอชะ..

ชิเอลเพิ่งมาตระหนักถึงความหมายของคำว่า เขตเป็นกลางก็ต่อเมื่อได้มีเวลาสังเกตเห็นสภาพความเป็นไปทั้งหมด   ไม่ว่าจะเป็นความยุ่งเหยิงที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและไม่ลงตัวของสิ่งปลูกสร้าง  ถนนหนทาง   ที่บ้างก็ดูคุ้นเคยมากเท่าๆกับดูแปลกตา   บ้านเรือนและร้านรวงที่จากสร้างจากหินสีขาวล้วน   ดำล้วน   และเทาอยู่ปะปนกันไป  เช่นเดียวกับรูปทรงทางสถาปัตยกรรมอันบ่งบอกถึงตัวตนผู้ถือครองซึ่งอยู่รวมๆกันอย่างไม่เป็นระเบียบ

เช่นเดียวกับผู้คนที่ประสมปนเปหลากหลายเผ่าพันธุ์ซึ่งชิเอลแยกแยะได้จากบุคลิกลักษณะเท่าที่ตามองเห็น  รูปร่างหน้าตา  สีสรรค์  กลิ่นอาย  เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย  และอื่นๆอีกหลายอย่าง   มากเท่าที่ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมเยี่ยงปีศาจกำเนิดใหม่อย่างเขาจะสัมผัสได้แบบพื้นๆ  แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว..  อันที่จริงแล้วมากเกินพอด้วยซ้ำไป

น่าคลื่นไส้เสียจริง..  เขาไม่เห็นอยากจะรู้เลยสักนิดว่าตนเองกำลังเป็นที่หมายปองของทูตสวรรค์สามองค์ที่บังเอิญได้กลิ่นเขาเข้า   รวมทั้งปีศาจหน้าตาแปลกๆอีกฝูงหนึ่ง  และมนุษย์..  ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น   แต่การแต่งตัวด้วยชุดคลุมยาวรุ่มร่ามสีฉูดฉาดที่ตกยุคไปนานแล้วพร้อมด้วยไม้เท้าในมือ  ทำให้คนพวกนั้นดูพิลึกพิลั่น   น่าจะเป็นพวกที่เรียกตนเองว่าผู้วิเศษซึ่งมีอยู่แต่ในนิยายปรัมปรา  และชิเอลก็ไม่มีเวลาจะสนใจกับรายละเอียดปลีกย่อยของคนเหล่านั้น   ในเมื่อเขากำลังยุ่งหัวหมุนอยู่กับการหนีและหลบซ่อนตัวครั้งใหม่   ซึ่งนั่นก็กินแรงเกือบทั้งหมดของเขาแล้ว

ปีกขาวสะอาดของเทวดาองค์หนึ่งโฉบผ่านหัวไปพร้อมด้วยวงแขนที่เกือบจะคว้าตัวเขาได้สำเร็จ  ..ถ้าไม่เพราะปีศาจอีกสองตนปรากฏตัวออกมาขวางหน้าและเปิดศึกแย่งชิงตัวเขาเสียก่อน   จนกลายเป็นการต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งระหว่างเทวดากับปีศาจ   ที่ยุ่งอีรุงตุงนังเสียจนทำให้ชิเอลมีโอกาสมุดหนีออกมาจากกลางวงได้สำเร็จ   ทว่ายังไม่ทันได้สูดหายใจลึกๆให้หายเหนื่อยหนุ่มน้อยก็มีอันต้องเบิกตาค้างแล้วหนีหัวซุกหัวซุนอีก  เมื่อเทวดาอีกองค์หัวเราะร่าแล้วร่อนถลาลงมาจากฟ้า   ตามด้วยอีกองค์ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมกัน  

..มันจะอะไรกันนักกันหนา...

ครั้งนี้ชิเอลได้แต่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูกและคงจะถูกคว้าตัวไว้ได้  หากใครบางคนไม่ก้าวออกมาขวางกลางระหว่างตนกับทูตสวรรค์คู่นี้เสียก่อน

“คงเหนื่อยสินะ  ท่านเอิร์ล”

“นะ..  นาย!








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น